บทที่ 354 ผูกแค้น (2)
“เลือด!?” อยู่ๆ ยอดฝีมือคนหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าใต้ดวงตาเปียกชื้น จึงยื่นมือไปลูบดู กลับพบว่าสองตาของตนเองกำลังเลือดไหล
“ไม่!”
เสียงตึงๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง
คนสิบกว่าคนยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พากันล้มลงกับพื้น ค่อยๆ หมดลมหายใจ แต่ละคนมีเลือดไหลออกจากเจ็ดทวาร ถูกกระบี่กระแทกตายทั้งเป็น
เส้นสีแดงหลายสายมุดออกมาจากศพ แล้วพุ่งเลียบดาดฟ้าเรือไปถึงใต้ฝ่าเท้าลู่เซิ่ง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยความรวดเร็ว
เปลือกนอกลู่เซิ่งใช้วิชากระบี่ขับไล่อาทิตย์ธรรมดาๆ กับปราณจริงแท้ในการเพิ่มพลานุภาพ แต่ความจริงด้วยพลังฝึกปรือปราณจริงแท้ของเขาในปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจฆ่ายอดฝีมือระดับพันธนาการจำนวนมากในพริบตาแบบนี้ได้ สิ่งที่ส่งผลจริงๆ คือตาข่ายโลหิตอันเป็นปราณภายในที่เขาแอบปล่อยออกมา
เมื่อลงมือโดยใช้ปราณภายในที่คล้ายคลึงกับปราณจริงแท้ถึงขีดสุด ต่อให้ถูกพบก็ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไรนัก อย่างมากก็นึกว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาลับสนับสนุนที่แข็งแกร่งเพิ่ม
พลพรรคพยัคฆ์คลั่งที่เหลือเห็นท่าไม่ดี จึงพากันกระโดดน้ำหนีไป
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจพวกปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ เพียงกำจัดหยวนอิ่นเซียวกับยอดฝีมือระดับพันธนาการสิบกว่าคนที่เป็นตัวหลักอย่างแท้จริงก็พอแล้ว
“ลู่เซิ่ง…” เวลานี้ผู้อาวุโสจางซื่อหลงค่อยรู้สึกตัว ไม่ใช่เขาทึ่มทื่อ หากเป็นเพราะเมื่อครู่ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจริงๆ อีกทั้งประสิทธิผลและอานุภาพก็น่าตื่นตะลึงเกินไป ไม่เพียงทำลายยอดฝีมือพรรคพยัคฆ์คลั่งทุกคนเท่านั้น ยังได้สร้างความตกตะลึงให้แก่เขาเช่นกัน นั่นเป็นกระบี่ที่มีอานุภาพระดับปฐมปฐพีอย่างแน่นอน แต่ระดับปฐมปฐพีทั่วไปไม่อาจฟันกระบี่ที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้
ตามหลักเหตุผล ทุกระดับในชั้นปฐมปฐพีล้วนไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางจำนวน แต่เป็นการยกระดับทางคุณสมบัติ ทว่ากระบี่ของลู่เซิ่งกลับเหมือนระดับปฐมปฐพีหลายคนลงมือพร้อมกัน อาณาเขตที่ส่งผลสุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการออกอย่างแท้จริง คุณสมบัติไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ขอบเขตการทำลายกลับเหนือกว่ายอดฝีมือระดับปฐมปฐพีในระดับสามขั้นล่างไปไกลโข
เวลานี้จางซื่อหลงได้สติกลับมา พอมองเห็นสภาพเละทะบนดาดฟ้าเรือเบื้องหน้า เขาก็อดยิ้มขื่นขมขึ้นมาไม่ได้
“ครั้งนี้ยุ่งยากแล้ว…”
“ประมุขพรรคธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ฆ่าก็ฆ่าไป ผู้เฒ่าจางเป็นห่วงสิ่งใด” ลู่เซิ่งไม่สะทกสะท้าน เสียบกระบี่กลับเข้าฝัก เพียงแต่กระบี่ได้เสียหายไปเพราะการโจมตีเมื่อครู่นี้ คาดว่าอีกไม่นานต้องทิ้งแล้ว
“พรรคพยัคฆ์คลั่งพรรคเดียวย่อมไม่นับเป็นอะไร แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังพวกเขาเป็นขุนนางระดับสามท่านหนึ่งของราชสำนัก มิหนำซ้ำยังเป็นแม่ทัพที่กุมอำนาจทางการทหารเสียด้วย อีกทั้งพี่ชายของหยวนอิ่นเซียวก็คือผู้อาวุโสประจำจังหวัดของสำนักผูกวิญญาณในไร้เหมันต์ สามารถทำให้สำนักผูกวิญญาณกับขุนนางใหญ่ของราชสำนักร่วมมือกันเคลื่อนไหวได้ ภารกิจที่พรรคพยัคฆ์คลั่งรับผิดชอบจะต้องสำคัญถึงขีดสุดแน่ ขุมกำลังและฉากหลังที่เกาะเกี่ยวกันเบื้องหลังสุดที่จะจินตนาการออกทีเดียว”
“พูดมากมายเพื่ออะไรกันขอรับ ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว ถ้ามีปัญหาก็ให้พวกเขามาหาข้าเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“เจ้า…เจ้านะเจ้า!” จางซื่อหลงจนปัญญา “อาจารย์ของเจ้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้หรอก สำหรับนางเรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว ต่อให้เจ้าตายไปอย่างมากนางก็แค่เปลี่ยนลูกศิษย์ เรื่องนี้ได้แต่พึ่งพาตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น”
“แล้วนั่นจะเป็นไร” ลู่เซิ่งไม่ยี่หระ “การฝึกฝนของข้ากำลังหยุดชะงัก มาหยุดอยู่ที่ช่วงมีข้อจำกัดพอดี การมีแรงกดดันจากคู่ต่อสู้มาช่วยข้าเลื่อนระดับไม่ใช่ดีกว่าเดิมหรอกหรือ”
“ปัญหาคือหากแรงกดดันมากเกินไปเจ้าจะถูกทับตายน่ะสิ!”
“หากตายก็เป็นเพราะข้าอ่อนแอเกินไป โทษใครไม่ได้”
จางซื่อหลงโดนโต้จนไร้คำพูดจะเถียง ชี้หน้าลู่เซิ่งโดยไม่รู้จะเตือนอย่างไรดี เพราะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก
ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว มิสู้มาไตร่ตรองดีกว่าจะแก้ไขอย่างไร
“พอขึ้นฝั่งแล้ว ให้เจ้าตามข้าไปเจอคนผู้หนึ่งก่อน ประมุขถ้ำมู่ซานอาจารย์ของข้ามีเส้นสายในจังหวัดไร้เหมันต์กว้างขวาง บางทีอาจจะหาวีธีได้!” จางซื่อหลงคว้ามือของลู่เซิ่งแล้วกล่าวเสียงทุ้มด้วยอารามรีบร้อน
“ผู้เฒ่าจาง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก คนของสามสำนักไม่อาจฆ่ากันเองได้ ขอแค่พวกเขาทำตามกฎ ไม่ว่ากระบวนท่าใดข้าล้วนไม่กลัว” ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“กลัวแต่ว่าพวกเขาจะเล่นไม่ซื่อน่ะสิ!” จางซื่อหลงพูดอย่างจนใจ
…
จังหวัดไร้เหมันต์ แท่นบูชาหลักพรรคพยัคฆ์คลั่ง
ตึงตึงตัง ตึงตึงตึง ตึงๆ ตึงๆ ตึงตึงตึง
บนน้ำ จ้าวเฉียนจงเปลือยร่างท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีทองแดงที่กำยำหนั่นแน่น สองมือถือไม้กลอง กำลังฟาดหน้ากลองสีขาวน้ำนมที่อยู่ตรงหน้าอย่างเป็นจังหวะ
เขากำลังยิ้ม คอยหมุนตัวเพื่อใช้แรงจากเอวฟาดกลองจนเกิดเสียงดังเป็นระยะ
กลองใหญ่ถูกวางไว้บนแท่นสูง ใต้แท่นเป็นน่านน้ำกลางแจ้งที่กว้างใหญ่
เรือมังกรสีเหลืองหลายลำกำลังไล่ตามกันด้วยความเร็วสูง โดยแล่นรอบแท่นที่วางกลองใหญ่เป็นวงขนาดใหญ่
เสียงกลองอันดังสนั่นกระแทกให้ผิวน้ำด้านล่างกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
“ปีศาจแดง! ปีศาจแดง! ปีศาจแดง! ปีศาจแดง!”
“ฉลามดำ! ฉลามดำ!”
“วาฬขาว! วาฬขาว!”
เสียงโห่ร้องอันสับสนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลพรรคนับไม่ถ้วนที่กำลังชมความครึกครื้น ยืนอยู่บนเรือหอรอบๆ แหล่งน้ำ
วันนี้เป็นวันแข่งเรือมังกรของพรรคพยัคฆ์คลั่งที่หนึ่งปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ปกติประมุขพรรคจ้าวเฉียงจงไม่มีงานอดิเรกใด เพียงชอบตีกลองใหญ่ มิหนำซ้ำยังเป็นกลองใหญ่หลายชั้นที่ขึงด้วยหนังกระทิงของกระทิงสองเขาด้วย
คนปกติไม่สามารถตีกลองนี้ให้เกิดเสียงได้ มีแต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งถึงจะตีจนเกิดเสียงได้
จ้าวเฉียนจงชอบตีกลอง และชอบให้คนเยอะๆ มองดูตนตีกลอง
คนยิ่งเยอะ เขายิ่งกระตือรือร้น
เสียงกลองกระแทกกระทั้น รองประมุขพรรคนั่งอยู่ไม่ไกลออกไป คอยต้อนรับแขกสูงศักดิ์ที่มาเข้าร่วมงาน ในนี้มีพวกผู้จัดการกับผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักซ่อนธาตุอยู่ด้วย
การแข่งขันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่เรือมังกรเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลพรรคบนเรือหอที่อยู่รอบๆ คึกคักกว่าเดิม ส่วนใหญ่เริ่มส่งเสียงตะโกน
พวกเขาลงพนันในเรือมังกรลำต่างๆ และกำลังรอคอยผลลัพธ์สุดท้าย
ตึง!
จ้าวเฉียงจงฟาดกลองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจบการแข่งขัน จากนั้นก็โยนไม้กลองไปให้บริวารที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะหมุนตัวลงจากแท่นสูง พร้อมกับมุ่งหน้าไปหาขบวนที่ได้รับชัยชนะ
อยู่ๆ ระดับสูงในพรรคหลายคนก็รีบร้อนเดินเข้ามาขวางเขาไว้ แล้วกระซิบวาจาส่วนหนึ่ง
ใบหน้าที่ตอนแรกยังยินดีของจ้าวเฉียงจงแดงก่ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เคร่งขรึมลงเพราะคำพูดของบริวาร ความผ่อนคลายและความสุขก่อนหน้านี้ไม่ทราบหายไปไหน
“เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ” เขาถามเสียงเย็นชา
“ศพของรองประมุขพรรคได้รับการนำกลับมาแล้วขอรับ” ระดับสูงของพรรคกล่าวเสียงขรึม
“พาข้าไปดู” สีหน้าของจ้าวเฉียงจงสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว เขาถึงขั้นยิ้มบาง ทำให้คนอ่านอารมณ์ไม่ออก
พวกระดับสูงของพรรคพาเขาเข้าไปในห้องโถงเล็กอันกว้างขวางในท้องเรือของเรือลำหนึ่งที่เทียบอยู่ริมฝั่ง จ้าวเฉียนจงมองเห็นหยวนอิ่นเซียวที่ตายตาไม่หลับแล้ว
ด้านในโถงเล็กยังมีคนอีกคน อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีแดง ด้านหลังปักใบหน้าคนแปลกประหลาดที่มีผมสีดำตาสีทอง
คนผู้นี้ไพล่สองมือไว้ด้านหลังและยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างศพของหยวนอิ่นเซียวโดยไม่พูดอะไร
“ออกไปให้หมด” จ้าวเฉียงจงโบกมือ ยอดฝีมือในพรรคทุกคนพากันออกไปจากโถงเล็กทันที ไม่นานก็เหลือแค่เขากับคนสวมเสื้อคลุมสีแดง
“หยวนเฉิงเต้า หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน อิ่นเซียวเพียงแค่ไปค้นหาซากเดนของพรรคน้ำแข็งร้าวคนหนึ่งเท่านั้น คล้ายกับได้รับเบาะแสบางอย่าง จึงไปขวางเรือสินค้าลำหนึ่งเข้า นึกไม่ถึง…” จ้าวเฉียงจงกล่าวเบาๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนหน้านี้บริวารได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว
“ไม่โทษท่าน” คนสวมเสี้อคลุมแดงหันหลังให้เขา ก้มหน้ามองศพของหยวนอิ่นเซียว เขายื่นมือออกไปปิดดวงตาของศพอย่างแผ่วเบา
“คนลงมือคือศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งของสำนักพันอาทิตย์ที่มาจากเขตจันทราสารท” หยวนเฉิงเต้าเอ่ยอย่างราบเรียบ “ถึงแม้การตรวจค้นอีกฝ่ายของอิ่นเซียวจะทำให้เกิดเรื่องขึ้น พวกเขากลับไม่เป็นไร ทว่าน้องชายข้ากลับตายไปแล้ว”
จ้าวเฉียนจงเงียบงัน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะปลอบอีกฝ่ายอย่างไร ได้แต่ยืนรอคำพูดของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ
“ช่วงนี้สำนักพันอาทิตย์นั่งบนภูเขาดูเสือสู้กัน สบายมานานพอแล้ว อาจจะนึกว่าต่อให้พวกเรากับสำนักซ่อนธาตุลงมือ พลังคงสู้เมื่อก่อนไม่ได้ ก็เลยลำพองใจ” หยวนเฉิงเต้าเอ่ยอย่างเฉยชา
“เจ้าจะทำอย่างไร” จ้าวเฉียงจงขมวดคิ้ว
“ข้าต้องการให้เจ้าคนที่สังหารน้องชายข้าตาย” หยวนเฉิงเต้าหมุนตัวมา เผยให้เห็นใบหน้าดุร้ายอัปลักษณ์ ใบหน้ามากกว่าครึ่งของเขาถูกไฟไหม้ แผลเป็นหลังถูกเผากับบาดแผลที่เพิ่งสมานตัวกระจายเต็มใบหน้า
“เรื่องนี้ทำได้ อัจฉริยะของสาขาย่อยเพียงคนเดียวไม่นับเป็นอะไร” จ้าวเฉียงจงพยักหน้า “ผู้อาวุโสที่ชื่อจางซื่อหลงของสำนักพันอาทิตย์กับทุกคนที่อยู่บนเรือลำนั้นล้วนกำจัดในที่ลับได้ แค่มีคนธรรมดาเพิ่มมาบางส่วนเท่านั้น”
“เจ้าของเรือสินค้าคือไป๋โฮ่วเหรินแห่งสมาคมการค้าธงขาว เขาซ่อนตัวหลบหนีโทษ ทำผิดสมควรตายหมื่นครั้ง ต้องกำจัดทิ้ง” หยวนเฉิงเต้าจ้องมองจ้าวเฉียงจงอย่างเรียบเฉย
“ไป๋โฮ่วเหริน…เป็นเบื้องหลังของหุบเขามืด…เกรงว่าอาจจะ…” จ้าวเฉียนจงนิ่วหน้า
“ท่านไม่ต้องลงมือ ข้าจัดการเอง”
“…ก็ได้ ข้าจะให้คนของนพดาราร่วมมือกับเจ้า” จ้าวเฉียวจงถอนใจกล่าว
หยวนเฉิงเต้าพยักหน้า แล้วหมอบลงไปข้างศีรษะของหยวนอิ่นเซียวผู้เป็นน้องชายอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็แตะหน้าผากกับหลังมือของศพ ปากพึมพำอะไรบางอย่าง คล้ายกับกำลังหลับตาอธิษฐาน
……
หลังจากผ่านการสอบสวนจากทัพอาทิตย์เจิดจ้าที่มาถึงเสร็จ จางซื่อหลงก็แสดงป้ายแขวนเอวที่มีสัญลักษณ์ของสามสำนัก จึงได้หลุดพ้นออกมาอย่างปลอดภัย
คนบนเรือสินค้าที่เหลืออยู่ ยังต้องได้รับการตรวจสอบ ถึงอย่างไรการเกิดเรื่องที่เลวร้ายแบบนี้บนแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ก็เป็นคดีใหญ่ที่หายากถึงขีดสุดแล้ว
ดีที่สำนักพันอาทิตย์หน้าใหญ่พอ จางซื่อหลงพาลู่เซิ่งลงเรือแล้วเข้าเมือง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่หน่วยหลักในนครจังหวัดของสำนักพันอาทิตย์โดยไม่เสียเวลาแม้แต่นิดเดียว
หน่วยหลักในนครจังหวัดสำนักพันอาทิตย์เป็นเมืองในเมืองที่มีหลังคาสีเหลืองและกินพื้นที่ใหญ่โต มีชื่อว่าเมืองพันอาทิตย์ พื้นที่เทียบเท่ากับตำบลเล็กๆ สามารถจุคนได้หลายพันคน สิ่งก่อสร้างก่อด้วยอิฐขาวและมีหลังคาสีเหลืองที่เชื่อมต่อกันมองไปไม่เห็นขอบเขต
พอเข้ามาในเมืองเล็กอันเป็นหน่วยหลักหลังจากผ่านการตรวจสอบที่ประตูใหญ่แล้ว จางซื่อหลงค่อยระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง
“ไป! ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ของข้า จากนั้นค่อยไปรายงานตัว” เขาลากลู่เซิ่งพุ่งไปตามถนนทางซ้ายมือของเมืองเล็ก
พอตัดทะลุถนนไปหลายเส้น ลู่เซิ่งก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักที่เดินทอดน่องบนถนน ชายแก่หญิงชราที่กำลังพูดคุยถกเถียงกันรอบบ่อน้ำ หรือประกายแสงหลงเหลือจากของขลังที่บินผ่านศีรษะไปเป็นระยะ เมืองเล็กอันเป็นหน่วยหลักของสำนักพันอาทิตย์แห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ธรรมดาสงบเงียบ
มองดูไม่เหมือนหน่วยหลักของสำนักระดับจังหวัด แต่เหมือนตำบลเล็กๆ แถบชายแดนที่ใช้พักผ่อนในยามบั้นปลายมากกว่า
จางซื่อหลงลากเขาวิ่งไปตามถนนที่ไม่มีคนอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ แล้วหยุดลงตรงหน้าร้านที่แขวนป้ายสีขาวแห่งหนึ่ง
“ร้านนี้เป็นกิจการของอาจารย์ข้า ปกตแล้วเขาจะหลอมอาวุธดำเนินกิจการที่นี่ ทั้งยังจ้างคนในสำนักที่รู้เรื่องหลายคน กิจการไม่เลว” จางซื่อหลงพูดพลางผลักประตูหมุนของร้าน
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจก็คือ ประตูหมุนนี้ใกล้เคียงกับประตูหมุนด้านหน้าโรงแรมในโลกใบเดิม เมื่อมีคนเข้าไปด้านใน ช่องช่องหนึ่งจะหมุนตามประตู และสามารถเดินเข้าโถงด้านในได้
พวกเขาผลักประตูหมุนสี่ปีกเดินเข้าไปในร้าน ด้านในเป็นโต๊ะยาวที่ตรงกลางเจาะเป็นช่อง เสาต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รอบๆ เป็นโต๊ะยาว พนักงานหนุ่มคนหนึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดฝุ่นบนโต๊ะยาวอย่างคล่องแคล่ว
……………………………………….