ในเวลาเช้าตรู่
เฟิ่งชิงเฉินได้ยัดสิ่งของทั้งหมดที่อาจทำให้เกิดปัญหาใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเครื่องมือหมออัจฉริยะใบนั้น ก่อนจะนำยาและผ้าพันแผลที่จำเป็นต้องใช้ไว้ข้างกายหลานจิ่วชิง
หลังจากตรวจดูครั้งแล้วครั้งเล่าพบว่ามิมีปัญหาใด เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เรียกซูเหวินชิงซึ่งเฝ้าอยู่นอกประตูเข้ามาด้านใน
ซูเหวินชิงยังคงทำดังเดิม นั่นคือตรวจร่างกายของหลานจิ่วชิงทันทีที่เข้ามา
เมื่อพบว่าบาดแผลของหลานจิ่วชิงถูกจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตกใจยิ่งนัก สายตามองไปยังเฟิ่งชิงเฉิน “ทักษะทางการรักษาของเจ้าสูงมากหรือ?”
แม้จะเป็นคำถาม แต่ก็มีความหมายบางอย่างแฝงไว้
“มิใช่หรอก ข้าเพียงแต่รับมือกับบาดแผลได้ดีเท่านั้น” เนื่องจากมิได้พักผ่อนมาทั้งคืน น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินจึงดูแหบแห้งเล็กน้อย น้ำเสียงต่ำทุ้มดูมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์
“เจ้าเป็นคนถ่อมตัวยิ่งนัก” ซูเหวินชิงเชื่อในความแข็งแกร่งของเฟิ่งชิงเฉินแล้วในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าหลานจิ่วชิงมิเป็นอะไรมากจึงได้ลุกขึ้นยืน
เมื่อสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับเฟิ่งชิงเฉิน จึงได้พบว่ามีรอยคล้ำจางๆ อยู่ใต้ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน และใบหน้าอันเหนื่อยล้าทำให้รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
มิว่าอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นเพียงสตรีธรรมดา ส่วนเขาทั้งคุกคามและข่มขู่ให้นางกลัว ช่างมิเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง
เหอะๆ เพิ่งจะมาเสียใจเอาบัดนี้
เฟิ่งชิงเฉินดูถูกเขาอยู่ในใจ แต่นางมิได้แสดงสัญญาณใดๆ บนใบหน้าของนางและอธิบายด้วยใบหน้าที่จริงจังว่าซูเหวินชิงควรให้ความสนใจ
“เจ้าไปหาคนมาสักสองสามคนเพื่ออุ้มเขาไปที่บนเตียง พยายามเคลื่อนย้ายเขาให้อยู่ในแนวราบมากที่สุด อย่าได้ไปถูกบาดแผล อาจจะลำบากมากกว่าเดิมหากแผลเปิดอีก เมื่อยาชาหมดฤทธิ์แล้วบาดแผลอาจจะเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งเป็นเรื่องปกติ”
“สองสามวันนี้พยายามกินอาหารอ่อนๆ บาดแผลจะมีรอยแดงและบวมบ้างเล็กน้อย หรือมีไข้บ้างซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ”
“ข้าได้เตรียมยาสำหรับใช้ห้าครั้งไว้ให้แล้ว จงทำการเปลี่ยนยาใส่แผลให้เขาทุกสามวัน หลังจากนี้ไปครึ่งเดือน แผลก็คาดว่าจะหายดีแล้ว เมื่อนั้นข้าจะเดินทางมาตัดด้ายออกให้”
“เข้าใจแล้ว” ซูเหวินชิงตั้งอกตั้งใจฟัง ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามเฟิ่งชิงเฉินอย่างนอบน้อมถึงวิธีการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงเฉินอธิบายอย่างอดทนอยู่หลายรอบ นางใช้มือทำท่าทางประกอบการอธิบายอย่างมิเบื่อหน่าย
เมื่อหลานจิ่วชิงลืมตาขึ้นก็เห็นว่าทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งมือของเฟิ่งชิงเฉินได้จับมือของซูเหวินชิงเอาไว้
มิรู้ว่าด้วยเหตุใด ในใจเขาจึงรู้สึกยากจะอธิบาย เขาอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วดึงทั้งสองคนออกจากกัน หัวใจของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยจากนั้นทำการขยับนิ้วมือ
หืม? ยาหมดฤทธิ์แล้วหรือ?
หลานจิ่วชิงดีใจยิ่งนัก ในเวลานี้สติของเขาได้กลับคืนมา เขามิได้ขัดจังหวะเฟิ่งชิงเฉินกับซูเหวินชิง แต่ได้นอนฟังการสนทนาของเฟิ่งชิงเฉินและซูเหวินชิงอย่างตั้งอกตั้งใจ
ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ในที่สุดซูเหวินชิงก็ได้เรียนรู้จนเข้าใจ จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็มิได้อยู่ต่อ นางให้ซูเหวินชิงจัดการส่งนางกลับไป
เมื่อเห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของเฟิ่งชิงเฉิน ซูเหวินชิงก็มิอาจปล่อยให้นางเหน็ดเหนื่อยต่อไป และรีบส่งคนออกไปและจัดการส่งนางไปยังจวนเฟิ่งอย่างปลอดภัย
ระหว่างทาง เขาได้ย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะเผยแพร่ออกไปมิได้ มิเช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินจะต้องตาย
เฟิ่งชิงเฉินให้การรับคำว่าในวันนี้นางเพียงนอนหลับอยู่ที่เรือนกระทั่งตอนกลางคืนโดยมิได้ทำสิ่งใดเลย
หลังจากส่งนางออกไปแล้ว ซูเหวินชิงก็กลับไปที่ห้องลับอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นหลานจิ่วชิงลุกยืนขึ้นก็มิได้แปลกใจแต่อย่างใด มีเพียงความปีติยินดีเท่านั้น
“จิ่วชิง ดูสิ ที่ข้ากล่าวนั้นมิผิดเลย เฟิ่งชิงเฉินเก่งยิ่งนัก แผลของเจ้าดูเกือบจะหายดีแล้ว”
“อืม มิเลวเลย มิส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของข้าเลย” หลานจิ่วชิงมิสามารถหักล้างสิ่งนี้ได้
แม้แต่หมอหลวงที่เก่งที่สุดก็ยังมิสามารถรักษาบาดแผลของเขาได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ อีกทั้งเมื่อเคลื่อนไหวก็มิมีเลือดออก
หลานจิ่วชิงขยับแขนไปมาเพื่อทดลองดูฝีมือการเย็บแผลของนาง ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ดูเหมือนว่าการใช้เข็มและด้ายของสตรีค่อนข้างจะมีประโยชน์ทีเดียว
“อย่า อย่า อย่า! จิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินกำชับไว้ว่าสองสามวันนี้เจ้าอย่าได้เคลื่อนไหว จงพักผ่อนอยู่เฉยๆ มิฉะนั้นหากบาดแผลเปิดอาจทำให้วุ่นวายได้”
“ให้ข้าพักหรือ? หากข้าสามารถพักผ่อนอยู่เฉยๆ ได้ ข้ายังต้องการนางหรือ?” หลานจิ่วชิงเยาะเย้ย แล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตนท่ามกลางสายตาอันมิเห็นด้วยของซูเหวินชิง
หากมิใช่เพราะรอยขาดบนเสื้อผ้าและคราบเลือด คงมองมิออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บเลย
บาดแผลยังเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่สำหรับหลานจิ่วชิงแล้วความเจ็บปวดนี้เหมือนกับมดกัด ซึ่งสามารถมองข้ามมันไปได้อย่างง่ายดาย
“ข้าไปก่อนนะ ฝากเจ้าทำความสะอาดที่นี่ด้วย” หลานจิ่วชิงเดินออกจากห้องลับไปยังด้านนอกอย่างคุ้นเคย
“จิ่วชิง ยังพอมีเวลาอยู่ เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าเป็นห่วงเจ้าที่เป็นเช่นนี้” ซูเหวินชิงหันกลับมาและเรียกให้เขาหยุด แต่หลานจิ่วชิงกลับหันหลังให้เขาแล้วโบกมือ
หลานจิ่วชิงเดินออกจากห้องลับ หลังจากกระโดดไปมาไม่กี่ที ร่างของเขาก็หายลับไป
ก่อนกลับ เขาได้ “แวะ” ไปที่จวนเฟิ่ง บังเอิญเห็นเฟิ่งชิงเฉินกำลังอาบน้ำอยู่
ด้วยหน้ากากที่ปิดหน้าเอาไว้ จึงมิสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ เพียงรู้สึกเบาๆ ว่าลมหายใจของหลานจิ่วชิงรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
มิเหมาะสม เขามิควรมอง!
หลานจิ่วชิงมองว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษ ดังนั้นเขาจึงนั่งอย่างสงบอยู่บนหลังคาของเรือนเฟิ่งชิงเฉินและจากไปหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินอาบน้ำเสร็จ
ครั้งนี้เขามั่นใจได้ว่ามิมีใครเห็นแน่!
เฟิ่งชิงเฉินมิรู้เรื่องนี้ นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน หลังจากเทน้ำอาบทิ้งแล้วก็เอนกายลงบนเตียงแล้วผล็อยหลับไป
หากนางมิหลับอย่างกับตาย อย่าเรียกนางว่าเฟิ่งชิงเฉิน
น่าเสียดายที่ความตั้งใจนั้นแม้นดูงดงาม แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย
ในตอนเช้าตรู่ เฟิ่งชิงเฉินถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น
“อ๊าก……” เฟิ่งชิงเฉินร้องออกมาด้วยความหงุดหงิด นางดึงผ้าห่มขึ้นแล้วซุกร่างเอาไว้ใต้ผ้าห่ม
แล้วแสร้งทำเป็นมิได้ยินเสียงนั้น
ปัง ปัง ปัง……!
เสียงเคาะประตูยังคงดังขึ้นกว่าเดิม
คุณหนูเฟิ่ง……
คุณหนูชิงเฉิน……
เฟิ่งชิงเฉิน!
เฟิ่งชิงเฉิน!
โจวสิงที่อยู่ข้างนอกประตูตะโกนเสียงดังพลางเคาะอย่างแรง
เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิดมากเสียจนนางเอามือทุบเตียง
เสียงเคาะประตูนั้นดังราวกับฟ้าร้อง หากนางยังหลับได้ลงคงมิต่างอะไรจากหมู
นางสวมชุดนอนแล้วเดินเท้าเปล่าไปเปิดประตู “โจวสิง หวังว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”
ขณะที่กล่าวนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็มิลืมที่จะทำท่าทางเชือดคอ
เมื่อมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินซึ่งผมเผ้ายังยุ่งเหยิงและดวงตาก็แดงราวกับผี โจวสิงก็รีบเอามือกุมคอของตนเอาไว้แล้วถอยหลังไปสองก้าว “คุณ คุณ คุณหนูชิงเฉิน”
“เรียกข้าว่าพี่สาว อย่าลืมว่าเจ้าเป็นบุตรพี่ลูกน้องของข้า มิใช่คนรับใช้ของจวนเฟิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินที่ไม่อยากลุกจากที่นอน ประกอบกับเมื่อคืนนี้นางเหนื่อยและหวาดกลัวมาก ในที่สุดกว่าจะได้ผล็อยหลับไปกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจินตนาการได้ว่านางจะโมโหเพียงใด
“ท่านพี่……” หากเป็นตามปกตินั้นโจวสิงคงจะลังเลอย่างแน่นอน แต่วันนี้แม้เขาจะตกใจกับความโกรธของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
การให้ความร่วมมือของโจวสิงทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาเร็ว”
“ขุนนางจากซุ่นเทียนฝู่เดินทางมา บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่านพี่” โจวสิงกล่าวอย่างรวดเร็วแล้วมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างจงใจ เพื่อพิสูจน์ว่าเขามิได้หลอกนาง
หา…… ทันทีที่เงยหน้าขึ้น โจวสิงก็อุทานร้องออกมาแล้วหลับตาลงทันที ใบหน้าของเขาแดงเรื่อ
บัดนี้เขาเพิ่งเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมิเพียงแต่สวมเสื้อผ้ามิเรียบร้อย แต่ยังเป็นเพราะท่าทางการนอนของนางที่มิได้ระมัดระวัง ทำให้คอเสื้อถูกเปิดออกเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าอันบอบบาง
เฟิ่งชิงเฉินก็ตกตะลึงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน นางรีบก้มศีรษะลงคิดว่าตนเปลือยกาย แต่เมื่อก้มมองก็พบว่าเพียงเห็นแค่คอเท่านั้น
โจวสิงมิรู้หรือว่าเมื่อครั้นนางอยู่นอกประตูเมือง ร่างของนางถูกเปิดเผยมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เฟิ่งชิงเฉินกล่าวเบาๆ ว่า “หยุดโวยวายเสียที คนจากซุ่นเทียนฝู่ต้องการพบข้าเพื่อสิ่งใด จะล้างแค้นบุตรชายของเขา?”
เมื่อกล่าวถึงซุ่นเทียนฝู่ เฟิ่งชิงเฉินก็นึกถึงคุณชายเหยียนที่เคยกล่าวว่า “บิดาของข้าคือผู้ตรวจการแห่งซุ่นเทียนฝู่” ซึ่งถูกนางเตะเข้าอย่างจังจนเป็นหมัน
หากเป็นเช่นนั้น นางคงจะแย่แน่ๆ
ในตอนนั้นนางโมโหยิ่งนัก โมโหเสียจนโจมตีเขาอย่างรุนแรง คาดว่าคุณชายเหยียนคงจะไปอยู่เป็นเพื่อนขันทีเลยก็ว่าได้
บัดนี้บิดาของเขาเดินทางมาหานางถึงที่ นางจะทำเช่นไรดี?
ผู้ตรวจการแห่งซุ่นเทียนฝู่ ขุนนางระดับสามเชียว สามารถฆ่านางได้ง่ายกว่าฆ่ามดเสียอีก
เฟิ่งชิงเฉินโมโหยิ่งนัก
ตงหลิงจื่อลั่ว เจ้ามันขี้โกง เจ้ามิช่วยข้าจัดการกับเรื่องนี้
บทที่ 025 ตื่นตระหนก
บทที่ 27 เข้าใจผิด