ตอนที่ 184 เริ่มก่อน
“อาสะใภ้สาม เหตุใดท่านจึงปล่อยให้เซียงเอ๋อแล่นไปที่บ้านของผู้อื่นทุกวัน? ท่านต้องตักเตือนนางไม่ให้ไปไหนมาไหนโดยพลการอีก” หยุนเชวี่ยไม่อดทนอีกต่อไป
เรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากนางไม่ไปที่บ้านของเหอยาโถวทุกวัน แม้พวกเขานึกเอ็นดูที่หยุนเซียงเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยและไม่คิดตำหนิแต่อย่างใด ทว่านานวันเข้าย่อมต้องรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง
“ข้าจะรู้เหตุผลของนางได้อย่างไรกัน?” แม่นางเฉินชักสีหน้า “หากนางพอใจจะไปเช่นนั้นข้าจะห้ามอย่างไรได้ เพียงดื่มกินสิ่งที่พวกเขาหยิบยื่นให้เป็นเรื่องเสียหายตรงไหนกัน?”
“ท่านไม่ตระหนกบ้างรึที่นางไปอยู่โยงที่บ้านผู้อื่นตลอดทั้งวันเสียจนมืดค่ำ!”
“ตระหนกด้วยเหตุใด? ข้าไม่ได้บังคับให้นางไปเสียหน่อย…”
หยุนเชวี่ยถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออกเมื่อเห็นว่าใบหน้าของแม่นางเฉินหนาถึงเพียงนี้ “เซียงเอ๋อแม้ยังเล็กแต่ก็เป็นสตรี การร่อนเร่ไปบ้านผู้อื่นเพียงลำพังเป็นเรื่องพึงควรหรือไม่?”
“จะเป็นไรไปเล่า? อย่างน้อยนางก็กลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่รึ?” แม่นางเฉินเพียงยกยิ้มอย่างไม่แยแส
หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าตนควรเกลี้ยกล่อมอย่างไรอีกจึงก้มหน้าก้มตาเดินจากไปอย่างยอมแพ้
ครั้นเดินไปถึงปากประตูบ้านฝั่งปีกตะวันตกจึงหันกลับมามองอีกครั้ง เป็นจังหวะพอดีกับที่หยุนเชวี่ยเห็นว่านางเฉินลูบคลำไปตามเสื้อผ้าของหยุนเซียง จากนั้นหยุนเซียงจึงยื่นบางสิ่งซึ่งมองเห็นไม่ชัดนักให้กับผู้เป็นแม่
หยุนเชวี่ยขมวดคิ้วโดยพลันแล้วหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว นางรีบคว้าแขนหยุนเซียงและเค้นถามทันที “เมื่อครู่นี้เจ้าซ่อนสิ่งใดไว้?”
หยุนเซียงก้มหน้างุดทันทีและยอบตัวขดลงเป็นลูกบอลคล้ายหวาดกลัวเมื่อถูกจับได้
หยุนเชวี่ยหันขวับกลับไปมองที่แม่นางเฉินอีกครั้งและพบว่าบนฝ่ามือของนางมีร่องรอยเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนมหลายชิ้น
“เชวี่ยเอ๋อ ทำอะไรของเจ้าน่ะ!” แม่นางเฉินเหลือบเห็นหยุนเชวี่ยสังเกตฝ่ามือของตนจึงรีบยัดขนมลงในกระเป๋าเสื้อทันที “นางมอบให้ข้าเพียงสองชิ้นเท่านั้นเอง ป้าเหอมอบให้เซียงเอ๋อ เซียงเอ๋อก็มีน้ำใจนำกลับมามอบให้ข้า นางไม่ได้ไปช่วงชิงมาเสียหน่อย…”
หยุนเชวี่ยไม่สนใจถ้อยคำแก้ต่างเหล่านั้น นางปล่อยแขนหยุนเซียง จากนั้นจึงลดระดับเสียงลงและเอ่ยถามอย่างใจเย็น “ท่านป้าเหอเป็นผู้มอบให้เจ้าจริงรึ?”
หยุนเซียงพยักหน้ารับด้วยท่าทีราวเขินอาย
“หากเจ้ากินไม่หมดเหตุใดจึงไม่นำไปคืนให้ป้าเหอเสีย?”
หยุนเซียงไม่ตอบคำถาม สายตาจับจ้องไปยังแม่นางเฉินด้วยความจนใจ
“ลูกสาวของข้าเป็นคนกตัญญู อีกอย่างบ้านตระกูลเหอก็ใช่ว่าจะยากจนอะไร ลูกสาวหลายคนก็แต่งงานออกเรียนเข้าตระกูลเศรษฐีไปจนหมดแล้ว ขนมเลิศรสไม่กี่ชิ้นคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของพวกเขาร่วงหรอกกระมัง” แม่นางเฉินยังคงหยิบยกเหตุผลมาตอบโต้
“ที่เจ้าไปที่บ้านตระกูลเหอทุกวันนั่นเป็นเพราะคำสั่งจากแม่ของเจ้าใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยตั้งคำถามอีกครั้ง
หยุนเซียงมองไปที่แม่นางเฉินเพื่อขอความช่วยเหลืออีกตามเคย
“ข้าไม่ได้สั่งให้นางไปเสียหน่อย!” แม่นางเฉินขยับเข้ามาใกล้และใช้ร่างกายอวบอ้วนของตนขวางระหว่างหยุนเชวี่ยและหยุนเซียงไว้ “เซียงเอ๋ออยากไป ข้าจะห้ามนางได้อย่างไรกัน?”
หยุนเชวี่ยกล่าวคำใดไม่ออก
หากต่อปากต่อคำมากกว่านี้เกรงว่าอาจไม่ต่างจากการสีซอให้ควายฟัง หยุนเชวี่ยอธิบายเหตุผลให้กับแม่นางเฉินโดยละเอียดว่าเหตุใดจึงควรปรามลูกสาวของตน ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้เหตุผลไร้สาระมาหักล้างแทบทุกครั้ง
หยุนเชวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกพลางมองดูแม่นางเฉินและเหลือบมองหยุนเซียงที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นจึงจำใจเดินกลับบ้านของตนไปโดยไม่ปริปากใด ๆ อีก
วันถัดมา
เช้านี้หลายคนตื่นนอนเร็วกว่าปกติ ยังไม่ทันที่แม่นางเหลียนจะเริ่มก่อไฟทำอาหาร หยุนเชวี่ยก็แบกตะกร้าไว้บนหลังและเดินออกไปเสียแล้ว
“เจ้าไม่กินมื้อเช้าก่อนหรือ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถาม
“ไม่กิน ไม่กิน” หยุนเชวี่ยเหลือบมองไปยังห้องชั้นบนทางฝั่งปีกตะวันออก จากนั้นจึงโบกมือและเอ่ยต่อด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “เรื่องกินไว้ก่อนเถิด วันนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่า!”
“จะสำคัญเพียงใดก็ต้องกินอะไรรองท้องเสียหน่อย เจ้ายังต้องเดินทางอีกเป็นสิบลี้!” หยุนเยี่ยนโน้มน้าวอีกครั้ง
“หากเข้าเมืองแล้วข้าจะหาซื้อซาลาเปาสักลูกเพื่อพอประทัง ตอนนี้ข้ายังไม่หิวหรอก พี่สาวอย่าได้กังวลไป…”
แม้ที่ผ่านมาหยุนเชวี่ยทำท่าทีราวไม่ใส่ใจว่าครอบครัวอีกฝั่งจะลอกเลียนแบบการค้าขายของตนอย่างไรหรือไม่ ทว่านางไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้อีกฝ่ายดำเนินการอย่างราบรื่นเช่นกัน
ใคร่ฉกฉวยก็ฉกฉวยไป ทว่าเรื่องการค้าขายนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครดีใครได้ และหยุนเชวี่ยไม่มีวันเปิดทางให้พวกเขาอย่างง่ายดายเป็นแน่
ไม่ว่ายุงตัวเล็กกระจ้อยร่อยเพียงใดทว่ามันก็เป็นสิ่งมีชีวิต แม้จำนวนเงินจะน้อยเพียงใดอย่างไรก็ยังเป็นเงินอยู่วันยังค่ำ หากต้องการรายได้ที่มากขึ้นก็ต้องริเริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อยเช่นนี้
ซึ่งแน่นอนว่าสหายอีกสามคนก็คิดเช่นเดียวกันกับหยุนเชวี่ย ไม่จำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้า แต่ทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านของเหอยาโถวตั้งแต่เช้าตรู่
ทั้งสี่คนมองหน้ากันและกันด้วยรอยยิ้มที่มีความหมาย ฝ่าเท้าย่ำเหยียบไปบนผืนหญ้าที่ยังชุ่มชื้นด้วยน้ำค้างในยามเช้าที่ยังไม่ระเหยไปเพื่อออกเดินทางตรงไปยังเมืองอันผิง!
“พวกเรากินนี่สักสองสามคำเพื่อประทังความหิวเสียก่อนเถิด” ระหว่างทางเหอยาโถวเปิดกล่องที่บรรจุติ่มซำอยู่ภายในและบิออกแบ่งให้แต่ละคนเป็นสัดส่วนเท่า ๆ กัน
“พวกเจ้าเหลือบ๊วยดองกันกี่ถุง?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามขณะที่ในปากยังเคี้ยวอาหาร
เผยเสี่ยวส้วย “ข้ายังเหลืออีกยี่สิบแปดถุง”
เหลียวชีจิน “ข้าเหลือสามสิบสองถุง”
เหอยาโถว “ส่วนข้าเหลือเพียงสิบเก้าถุงเท่านั้น”
“ยี่สิบแปด สามสิบสอง สิบเก้า รวมกับของข้าอีกเป็น…” หยุนเชวี่ยคำนวณอย่างรวดเร็ว “หนึ่งร้อยถุง! เห็นทีวันนี้พวกเราต้องทำงานให้หนักเสียแล้ว!”
เมื่อนึกไปถึงคู่แข่งรายใหม่ ทุกคนดูเหมือนจะเกิดแรงฮึกเหิมและความกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าทุกครั้ง
“จำได้หรือไม่? เถียนตวนสื่อและเหล่าสมุนของเขาเอาแต่หัวเราะเยาะพวกเราในตอนแรก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาริษยาที่พวกเราสามารถทำเงินได้มากกว่า” เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าว
“เหตุใดจะจำไม่ได้ล่ะ!” เหลียวชีจินเขย่ากำปั้นของตน “เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาพาโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนมาข่มขู่ที่หน้าบ้านของข้าว่าเขาจะทำลายกิจการของเราให้อยู่ไม่รอด!”
“ฮึ่ม! ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลายิ่งนัก!” เสี่ยวส่วยเอ๋อกรีดแขนเสื้อและยกมือขึ้นเท้าเอว “พวกเราต้องทำให้เขาอับอายให้จงได้!”
“เถียนตวนสื่อกล้าไปที่บ้านของเจ้าเผื่อข่มขวัญเชียวรึนี่?” หยุนเชวี่ยแค่นเสียงหัวเราะและรู้สึกว่าเด็กอันธพาลเหล่านี้ช่างหยิ่งยโสเสียจริง!
เหลียวชีจินพยักหน้า “เขาวางท่าราวเป็นหัวโจก ไม่ว่าโฉ่วเหือ โฉ่วช่วน และคนอื่น ๆ ต่างเชื่อฟังเขา”
“โอ้! ถึงขั้นยกพวกมารังแกเราเช่นนี้ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?” เหอยาโถวกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง
เหลียวชีจินติดตามเขาย่อมถือว่าเป็นเพื่อนพ้องพวกเดียวกัน การที่ชีจินถูกกลั่นแกล้งก็เสมือนตนถูกกลั่นแกล้งด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีเช่นนี้
หยุนเชวี่ยหันไปมองเหอยาโถวพร้อมเผยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไปรึ? เจ้าอยากต่อกรกับพวกนั้นหรืออย่างไร?”
เหอยาโถว…
หากไม่นับเรื่องการใช้กำลังแต่เป็นการใช้ถ้อยคำเข้าสู้ เหอยาโถวนับว่ามีฝีปากจัดจ้านไม่เป็นสองรองใคร ต่อให้มีศัตรูนับสิบก็ไม่นึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ทว่าหากวัดกันด้วยการต่อยตี เห็นทีเขาคงลงไปกองหมดสภาพกับพื้นและถูกบดขยี้ด้วยแรงหมัดเพียงครั้งเดียว
“พวกนั้นมีกันตั้งกี่คน? หากปะทะกันแล้วจะได้เปรียบอย่างไรกัน? ต่อให้พ่นถ้อยคำมาด่าทออย่างเจ็บแสบก็ไม่คุ้มค่าคล้ายนำพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอก จริงหรือไม่?” หยุนเชวี่ยเตือนสติด้วยรอยยิ้มพร้อมยกคิ้วข้างเดียว
“พี่เชวี่ยเอ๋อกล่าวถูกต้อง ปล่อยให้พวกเขาอวดดีต่อไป พวกเราเพียงสงบอารมณ์ไว้และมุ่งมั่นไปกับการหาเงินเป็นการดีที่สุด!” เสี่ยวส้วยเอ๋อปรบมือชื่นชม
เวลานี้นางกลายเป็นแฟนตัวยงอันดับหนึ่งของหยุนเชวี่ยไปเสียแล้ว ไม่ว่าหยุนเชวี่ยจะกล่าววาจาใด ๆ นางล้วนสนับสนุนและคิดว่ามันถูกต้องทั้งยังสมเหตุสมผลเป็นที่ยิ่ง
“เช่นนั้นในวันนี้หากผู้ใดขายจนหมดเกลี้ยงก่อน ให้ไปช่วยอีกคนที่ยังขายไม่หมด จากนั้นทั้งสองค่อยแบ่งเงินกันอย่างยุติธรรม” หยุนเชวี่ยประกาศ
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังกระแอมไอในลำคอครั้งหนึ่งและกล่าวปลุกเร้าขวัญกำลังใจต่อไป “วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งนัก ในช่วงเที่ยงข้าขอเชิญให้ทุกคนไปพบกันที่ภัตตาคารหลงชิ่งและสั่งไก่ย่างมากินให้หนำใจ!”
หากต้องการเปลี่ยนอาหารจากซาลาเปาเป็นอื่นก็ต้องต่อสู้จนสุดความสามารถ!
ทันทีที่ได้ยินว่าหลังเลิกงานแล้วจะได้กินไก่ย่างเป็นรางวัลตอบแทนความพยายาม เหลียวชีจินพลันรู้สึกถึงพลังงานที่ไหลเวียนอยู่รอบร่าง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง เขาเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัวและร้องตะโกนด้วยความมุ่งมั่น “ถูกแล้ว! เราต้องสั่งสอนพวกเขาเสียบ้าง!”
วันนี้ภายในมณฑลอันผิงดูแปลกตากว่าทุกครั้ง เด็ก ๆ ต่างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในเขตตัวเมือง
ช่วงนี้ยังไม่ถึงช่วงเทศกาลและยังเร็วเกินไปกว่าจะถึงงานเฉลิมฉลอง ทว่าเช้านี้บนท้องถนนกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเปี่ยมชีวิตชีวา ผู้คนต่างเดินไปมาขวักไขว่ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ
เหอยาโถวสอบถามความเอาจากเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง จึงรับรู้ว่าวันนี้คุณหนูแห่งตระกูลเหลียว… ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ของมณฑลอันผิงได้ฤกษ์จัดขบวนแต่งงานอย่างเอิกเกริก