ตอนที่ 185 ตระกูลเฉียนและตระกูลเหลียว
ถึงแม้นี่เป็นเพียงการแต่งงานของบุตรสาว ทว่าครอบครัวตระกูลใหญ่ก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและจัดขบวนเกี้ยวไว้อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเป็นหน้าตาแก่วงศ์ตระกูล ดังนั้นงานมงคลนี้จึงถือเป็นงานเฉลิมฉลองหนึ่งของมณฑลเลยก็ว่าได้
ผ้าไหมสีแดงสดถูกผูกระโยงระยางตั้งแต่จวนของตระกูลเหลียวทอดยาวไปจนสุดถนน เหล่าผู้บรรเลงดนตรีและอุปรากรต่างยึดเอาลานหน้าจวนเป็นฐานที่มั่นและเริ่มขับขานบทเพลงตั้งแต่เช้าตรู่
เด็กหญิงสองคนแต่งกายคล้ายสาวใช้ยืนขนาบข้างสองฟากฝั่งลานแสดงและถือตะกร้าไว้ในมือคนละใบ นานครั้งจึงหยิบผลไม้แห้งและขนมหวานขึ้นมาหนึ่งกำมือและหว่านโปรยไปโดยรอบ ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้นเหล่าเด็กน้อยมากหน้าหลายตาจะวิ่งกรูกันเข้าไปแย่งชิงและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“พวกเขาเป็นเศรษฐีกระนั้นหรือ? พิธีแต่งงานช่างมีชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน…” เสี่ยวส้วยเอ๋อก้มลงไปหยิบขนมขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งหยิบเข้าปากตนเอง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งหยิบยื่นให้กับหยุนเชวี่ย จากนั้นนางจึงถอนหายใจ “ค่าขนมเหล่านี้ก็มีมูลค่าตั้งเท่าไรแล้ว ไหนจะการแสดงเหล่านั้นอีกเล่า!”
“เฮ้! เป็นพวกเจ้าเองหรอกรึ!” ท่านป้าคนหนึ่งซึ่งจดจำพวกเขาได้กล่าวทักทายและรีบกระจายข่าวดีให้เด็ก ๆ รับรู้ “อีกไม่นานคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหลียวก็จะออกมาจากจวนแล้ว ยังมีพิธีโปรยเงินมงคลอีก เพราะฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้ไปไหนไกลเชียวล่ะ!”
“โปรย… โปรยเงินมงคลงั้นรึ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อทวนถ้อยคำเหล่านั้นอย่างไม่เชื่อหูก่อนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความคาดหวัง
“แม่เจ้า!” เหอยาโถวยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อชะเง้อมองเข้าไปในจวนตระกูลเหลียว “ตระกูลเหลียวนี่ต้องร่ำรวยมหาศาลเป็นแน่!”
“ตระกูลเฉียนอยู่ทางทิศใต้ของมณฑล… ส่วนตระกูลเหลียวอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลอันผิง แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังต้องพึ่งพาบารมีของทั้งสองตระกูลนี้!” ท่านลุงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกล่าวเสริม
“ตระกูลเฉียน… ใช่ตระกูลของเฉียนเสี่ยวปังหรือไม่?” เหลียวชีจินเอ่ยถามพร้อมกดเสียงลงต่ำ
หยุนเชวี่ยหวนนึกถึงเสียงร้องตะโกนของเจ้าอ้วนเฉียนที่ช่วยเชื้อเชิญให้ผู้คนมาซื้อบ๊วยดองของนาง อีกทั้งเขายังไม่นึกถือสาว่าตนเป็นลูกชายคนใหญ่คนโต ทั้งยังยินดีให้นางเรียกชื่อเล่นโดยไม่ถือสา
“เจ้าหมายถึงตระกูลเฉียนใช่หรือไม่? หากเปรียบเทียบเรื่องฐานะทางการเงินแล้วละก็ ฝั่งตระกูลเฉียนคล้ายจะมั่งคั่งกว่าตระกูลเหลียวอยู่บ้าง ว่ากันว่านายท่านใหญ่ของตระกูลทั้งสองต่างแข่งขันกันอย่างลับ ๆ!” ท่านลุงคนเดิมอธิบาย ดวงตาทั้งคู่วูบไหว “หากตระกูลเฉียนคิดจ่ายเงินเพื่อซ่อมบำรุงถนน… ตระกูลเหลียวจะสร้างสะพานแห่งใหม่ ตระกูลเฉียนสร้างวัดในหัวเมืองทางทิศเหนือ… ตระกูลเหลียวก็สร้างวิหารเจ้าแม่กวนอิมขึ้นทางทิศตะวันตกเช่นกัน ครั้งนี้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหลียวแต่งงานก่อน ดังนั้นเมื่อตระกูลเฉียนมีงานมงคลบ้างจะต้องจัดงานอย่างใหญ่โตมากกว่านี้อีกหลายเท่า!”
ทุกคนนิ่งฟังแล้วก็ได้แต่ตกตะลึง โลกของเหล่าคนรวยช่างแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญราวฟ้ากับเหว…
“เช่นนั้นตระกูลเฉียนและตระกูลเหลียวเพียรพยายามนำทรัพย์ส่วนตนมาใช้เพื่อการสาธารณะทั่วทั้งมณฑลอันผิงอย่างนั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
“นั่นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว… ท่านเจ้าเมืองผูกขาดสองตระกูลให้บูรณะความเจริญเฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น สังเกตหรือไม่ว่าถนนเส้นนี้ถูกปูด้วยแผ่นหินปูนอย่างดีซึ่งจัดวางอย่างเป็นระเบียบยิ่ง ต่อให้ฝนสาดซัดลงมาอย่างไรเท้าของพวกเราก็ไม่มีทางเปื้อนดินโคลน ทว่าบนถนนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณรอบนอกยังคงเป็นพื้นดินทรายธรรมดา…”
ท่านลุงยังคงพูดคุยกับเด็ก ๆ ซึ่งไม่เคยมองเห็นโลกกว้างอย่างใจดี ทันใดนั้นกลับมีใครคนหนึ่งตบไหล่ด้านซ้ายของหยุนเชวี่ยจากทางด้านหลัง
หยุนเชวี่ยหมุนตัวหันกลับไปทางขวา ครั้นมองย้อนกลับไปจึงรู้ว่าตนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเฉียนเสี่ยวปัง ดวงตาทั้งคู่ของเขาหรี่เล็กเพราะยกยิ้มเสียจนตาหยี
“เฮ้! ข้าไม่อาจเล่นกลลวงกับเจ้าได้หรือนี่?!” เจ้าอ้วนเฉียนเกาศีรษะ วันนี้เขาสวมชุดสีเขียวน้ำทะเลใหม่เอี่ยม บนเนื้อผ้าปักลายด้วยดิ้นทองอย่างวิจิตรบรรจง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปี่ยมไปด้วยราศีแห่งความมั่งคั่ง
“เจ้าอ้วนเฉียน!”
“พี่อ้วนเฉียน…”
ทั้งสี่โบกมือให้เขาอย่างยินดี ส่วนต้าจี๋ที่เดินตามหลังผู้เป็นนายกลับจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจนัก “ข้าบอกพวกเจ้ากี่หนแล้วว่าให้เรียกขานนายน้อยของข้าว่านายน้อยเฉียน… นายน้อยเฉียน… นาย…”
เฉียนเสี่ยวปังยังคงยิ้มกว้างเช่นเดิม “ต้าจี๋ ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเชวี่ยเอ๋อคือสหายของข้า รวมถึงอีกสามคนนั้นก็เช่นกัน นั่นเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น อย่าได้ถือสาเป็นเรื่องใหญ่โต!”
ต้าจี๋กอดอกและไม่ปริปากคำใดอีก ใบหน้ายังคงงอง้ำด้วยความไม่พึงใจเช่นเดิม
“เจ้าอ้วนเฉียน เจ้าเองก็มาชมพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยหรือ?!” ทุกครั้งที่หยุนเชวี่ยเห็นเจ้าอ้วนเฉียน เขามักมีท่าทางสดใสร่าเริงอยู่เสมอ
“นายน้อยของข้าได้รับเกียรติให้มาเป็นแขกของตระกูลเหลียวต่างหาก” ต้าจี๋เชิดคางขึ้นพร้อมยกนิ้วโป้งเป็นเชิงภาคภูมิใจ
“ข้ามาที่นี่เพื่อร่วมงานนี้ล่ะ” เจ้าอ้วนเฉียนอธิบาย
“สำหรับตระกูลที่ร่ำรวยถึงเพียงนี้จัดเลี้ยงอาหารใดในงานแต่งหรือ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อเลียริมฝีปากเมื่อนึกถึงอาหารขณะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คงเป็นอาหารที่ปรุงจากเนื้อเป็ด เนื้อไก่ และปลากระมัง ไม่น่ามีสิ่งอื่นวิเศษไปกว่านี้” เจ้าอ้วนเฉียนพูดพลางก็กลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายราวลิ้มรสอาหารเหล่านี้มาทั้งชีวิตจนเอียนเสียแล้ว
เหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยนึกอิจฉาคนเหล่านี้ไม่น้อย บนโต๊ะอาหารในแต่ละมื้อย่อมเรียงรายไปด้วยเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และปลาตัวโตที่ปรุงอย่างพิถีพิถันนับไม่ถ้วนเป็นแน่ เมื่อนึกถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอีกครั้ง
“เอาอย่างนี้เป็นไร…” เจ้าอ้วนเฉียนเกี่ยวปลายนิ้วของตนเข้ากับปลายนิ้วของสหายอีกสองคน จากนั้นจึงกระซิบด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้าไปด้านในกับข้าเพื่อกินเลี้ยงในพิธีแต่งงานร่วมกันดีหรือไม่?”
“พี่อ้วนเฉียน พวกเราเข้าไปได้จริงหรือ?!” เสี่ยวส้วยเอ๋อขยับตัวด้วยความตื่นเต้นทันทีที่จะมีโอกาสได้เห็นภายในจวนของตระกูลเศรษฐีว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร!
เจ้าอ้วนเฉียนขยับเสื้อคลุมตัวนอกของตนและกล่าวย้ำอีกครั้ง “ถูกแล้ว พวกเจ้าเพียงแจ้งว่ามาในนามของตระกูลเฉียน ตามหลังข้าและต้าจี๋เข้าไปก็พอแล้ว”
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองครอบครัวใหญ่อย่างตระกูลเหลียวจะแบ่งออกเป็นสามส่วน หรือเก้าชั้น ชั้นบนสุดคือที่นั่งสำหรับแขกเหรื่อระดับสูง ชั้นถัดมาเป็นที่นั่งสําหรับมิตรสหายบ้านใกล้เรือนเคียงที่มาร่วมแสดงความยินดี และชั้นสุดท้ายคือโต๊ะสําหรับเหล่าคนรับใช้ แม้แต่อาหารในส่วนนี้ก็ยังเป็นอาหารรสเลิศเช่นเดียวกัน
สำหรับตระกูลใหญ่โตแล้วพวกเขาไม่ใส่ใจว่าบรรดาผู้ที่มาแสดงความยินดีจะมาจากตระกูลใดบ้าง พวกเขาเพียงต้องการให้คนเหล่านั้นกินและดื่มในวันมงคลอย่างมีความสุข
“พวกเราคงไม่เข้าไปด้านในหรอก เพราะยังมีงานอื่นต้องจัดการอีกมากทีเดียว” หยุนเชวี่ยชี้ไปที่ตะกร้าบรรจุถุงบ๊วยดองสำหรับเร่ขาย “เพียงยืนมองจากนอกประตูจวนก็พอแล้ว”
หยุนเชวี่ยนึกขึ้นได้ในเวลานั้นว่าตนยังมีธุระที่ต้องทำไม่ใช่เพียงมาร่วมสนุกกับงานเฉลิมฉลองเท่านั้น ถึงกระนั้นสายตาของนางยังจับจ้องไปที่ประตูจวนสีแดงเข้มด้วยความผิดหวังระคนเสียดายเล็กน้อย “ช่างเถิด ข้ายังต้องหาเงินอีกมากทีเดียว!”
“พวกเจ้าขายบ๊วยดองทั้งหมดให้กับข้าก็ย่อมได้” เจ้าอ้วนเฉียนรีบเสนอด้วยความใจกว้าง จากนั้นจึงหันไปส่งสัญญาณให้ต้าจี๋เตรียมนำเงินออกมา “ข้าจะนำเข้าไปแจกจ่ายให้เหล่าแขกเหรื่อในงานได้ลองชิมอย่างไรล่ะ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก!” ทั้งสี่ส่ายศีรษะพร้อมกัน
“เพราะเหตุใดกัน?” ต้าจี๋แสดงท่าทางไม่พอใจอีกครั้งขณะล้วงเอาถุงเงินออกมาจากอกเสื้อ “ไม่เต็มใจขายให้นายน้อยของข้าอีกหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นแต่อย่างใด เจ้าอ้วนเฉียน… หากเจ้าอยากกินละก็ข้าสามารถแบ่งให้เจ้าได้เพียงสองถุง” หยุนเชวี่ยกล่าวจบแล้วจึงหยิบบ๊วยดองออกจากตะกร้าและยัดใส่มือของอีกฝ่าย “ส่วนที่เหลือข้ายังต้องเก็บไว้เพื่อขายให้กับผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายราย!”
เหลียวชีจินพยักหน้า “ถูกแล้ว หากพวกเราไม่กระจายสินค้า เห็นทีอาจเป็นการเปล่าประโยชน์!”
“พวกเจ้านี่… รู้ได้อย่างไรว่าขายให้ข้าแล้วจะเปล่าประโยชน์? หรือมีผู้ใดคิดรังแกพวกเจ้าอีกแล้ว?” เจ้าอ้วนเฉียนยังไม่เข้าใจ
“เปล่าเลย ที่มาที่ไปค่อนข้างยาวพอดู…”
“เผอิญว่ามีคนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับพวกเราต้องการลอกเลียนแบบและขายบ๊วยดองน้ำตาลเช่นเดียวกันกับเรา พวกเขาข่มขู่ว่าต้องการบีบให้เราไม่สามารถค้าขายได้โดยราบรื่น!”
“พวกเขามีกันหลายคน เป็นเด็กชายจำนวนสิบคนทีเดียว!”
“ก่อนหน้านี้ผู้ที่เป็นหัวโจกของกลุ่มยังเยาะเย้ยพวกเราว่ากระทำการไร้แก่นสาร ทว่าตอนนี้กลับอิจฉาตาร้อนที่เห็นพวกเรามีรายได้…”
“ซึ่งพวกเราไม่อาจปล่อยให้เขาฉกฉวยความได้เปรียบด้านการซื้อขายไปเป็นอันขาด!”
เหอยาโถว เสี่ยวส้วยเอ๋อ และเหลียวชีจินสลับกันกล่าวอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าอ้วนเฉียนได้รับรู้ เขานิ่งฟังและเอ่ยถาม “เช่นนั้นพวกเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลืออย่างไรหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น!”
คราวนี้ทั้งสี่กล่าวปฏิเสธเป็นเอกฉันท์
“พี่เชวี่ยเอ๋อกล่าวว่าจำนวนคนไม่ใช่ปัญหา ต่อให้พวกเขามีกันสิบคนก็ไม่อาจค้าขายได้เก่งกาจเท่าพวกเราสี่คนอย่างแน่นอน!” เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าว
“พวกเราจะพึ่งพาทักษะความสามารถส่วนตนให้เป็นที่ประจักษ์ ให้พวกเขาตระหนักเสียบ้างว่าการดูแคลนผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป” เหลียวชีจินเอ่ยสมทบ
“ปล่อยให้พวกนั้นตายใจไปก่อนเถิด!” เหอยาโถวกรีดนิ้วเรียวเล็กดั่งกล้วยไม้ เหล่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านไป๋ซีล้วนแสดงท่าทีขึงขัง
ส่วนหยุนเชวี่ยยืนอยู่ด้านหน้าสหายอีกสามคน สองแขนยกขึ้นกอดอกด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมพร้อมยักคิ้วข้างหนึ่ง เจ้าอ้วนเฉียนเห็นเช่นนั้นแล้วจึงอดยกยิ้มจนมุมปากกระตุกไม่ได้
อืม… ดูน่ากลัวกระไรเช่นนี้…
……………………………………………………………..