ตอนที่ 186 เงินสร้างสุข

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 186 เงินสร้างสุข

“นายน้อยขอรับ นายท่านเรียกนายน้อยให้ไปที่นั่นแล้ว!” ต้าจี๋ชี้ไปที่ประตูจวนตระกูลเหลียวขณะกล่าวเตือน

หยุนเชวี่ยมองตามและพบว่านายท่านผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนซึ่งมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายเจ้าอ้วนเฉียนไม่มีผิดเพี้ยน ใบหน้าของเขาอวบอิ่มทั้งยังเปี่ยมด้วยสง่าราศี สังเกตเพียงปราดเดียวก็คาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็นว่าต้องเป็นเครือญาติกัน

“หากพวกเจ้าไม่เข้าไปพร้อมข้า เช่นนั้นข้าขอตัวไปแสดงความยินดีกับครอบครัวตระกูลเหลียวก่อน” เจ้าอ้วนเฉียนกล่าว

เขาเดินห่างออกไปสองสามก้าว หลังจากนั้นจึงหันกลับมา “เชวี่ยเอ๋อ หากวันไหนพวกเจ้ามีเวลาว่างข้าขอเชิญมาเที่ยวเล่นในเมืองให้สำราญร่วมกัน!”

“ย่อมได้!” หยุนเชวี่ยตอบกลับ “ข้าเองก็มีเรื่องต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าเช่นกัน เจ้าว่างเวลาใดบ้างล่ะ?”

“ข้ามีเวลาว่างเสมอ!” เจ้าอ้วนเฉียนแสดงท่าทีกระตือรือร้น “เช่นนั้นเป็นวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงข้าจะมารอเจ้าอยู่บริเวณหัวมุมถนน!”

“ตกลง!”

หลังเสร็จสิ้นการนัดหมาย เจ้าอ้วนเฉียนจึงเดินจากไปด้วยท่าทางเปี่ยมสุขราวหมีได้กินน้ำผึ้ง

หยุนเชวี่ยปรบมืออย่างมาดหมาย “เราควรฉวยโอกาสทองในเมื่อวันนี้มีฝูงชนมารวมตัวกันมากมายเป็นพิเศษ พวกเราต้องพยายามให้มากขึ้น ยิ่งขายได้มากเพียงใด เงินก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น!”

“เช่นนั้นพวกเราแบ่งกลุ่มกันเดินจากปลายสุดถนนเข้าไปบรรจบกันตรงกลางทางเถิด เชวี่ยเอ๋อไปกับเสี่ยวส้วยเอ๋อ… ส่วนข้าจะไปกับชีจินเอง”

ทันทีที่เหอยาโถวแบ่งแยกหน้าที่เสร็จสรรพ เด็กทั้งสี่จึงแยกย้ายกันไปเป็นคู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการค้าขาย

“นี่! พวกเจ้าไม่รั้งรออยู่ทีนี่จนกว่าคุณหนูใหญ่จะโปรยเงินมงคลให้ก่อนหรือ?” ท่านป้าคนหนึ่งที่พูดคุยกับพวกเขาในตอนแรกเอ่ยถาม

“ไม่แล้วล่ะเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ

“มีผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ แม้รอแย่งชิงก็ใช่ว่าจะได้รับมันมาโดยง่าย สู้หาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองดีกว่า!” เผยเสี่ยวส้วยยิ้มตอบ

“ถูกแล้ว การแย่งชิงเงินมงคลเป็นเพียงธรรมเนียมสนุกสนานที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ทว่าการค้าขายสามารถหาเงินได้ทุกวัน!” เหลียวชีจินทำหลังตรงพร้อมยืดอก

เหอยาโถวโบกมือพร้อมร้องตะโกน “ไปกันเถอะ! เรามีไก่ย่างเป็นรางวัลในครั้งนี้ ผู้ใดขายได้มากที่สุดจะได้กินน่องไก่ที่มีชิ้นใหญ่ที่สุด!”

“เยี่ยม!” ทั้งสี่ส่งเสียงเฮลั่นและแยกย้ายไปคนละทางอย่างรวดเร็วราวลมที่พัดกระโชก

อันที่จริงแรงจูงใจสำคัญนั้นไม่ใช่ไก่ย่างเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะบรรยากาศครึกครื้นโดยรอบที่เอื้อต่อการค้า ทำให้พวกเขาเกิดความกระตือรือร้นยิ่งกว่าวันอื่น

พวกเขาต่างทบทวนชีวิตของตนเองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ละคนต่างเพียรพยายามจนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกวันที่ผันผ่านเต็มไปด้วยรอยยิ้มและชีวิตชีวา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกที่พวกเขาจะบังเกิดเป้าหมายอันแรงกล้าและพร้อมจะฝ่าฟัน

กลุ่มของหยุนเชวี่ยมาถึงตัวเมืองเร็วกว่าทุกวัน ทั้งยังมาถึงก่อนกลุ่มของเถียนตวนสื่อ โฉ่วเหือ โฉ่วช่วน และคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน พวกนางทำตามแผนคือเริ่มเร่ขายจากปลายถนนไปสู่ใจกลางเมือง

ผ่านไปครู่ใหญ่แต่ละคนต่างขายบ๊วยดองไปหลายถุงแล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่เถียนตวนสื่อและลูกสมุนของเขาปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางกร่างราวนักเลงโต

เด็ก ๆ สองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่บนถนนเสมือนไก่ชนที่พร้อมพุ่งเข้าจิกคู่ต่อสู้ ต่างคนต่างจองหองอย่างไม่มีใครยอมใคร

เถียนตวนสื่อลำพองว่าตนมีพวกมากจึงกอดอกพร้อมหัวเราะเย้ยหยัน “ลอบเข้าเมืองมาก่อนพวกเรากระนั้นรึ? เป็นอย่างไร… ขายได้สักกี่เหรียญเชียว?”

“ขายได้กี่เหรียญก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าแต่อย่างใด!” เหลียวชีจินไม่ยอมอ่อนข้อให้

“พวกเรามีกันนับสิบคน ส่วนพวกเจ้ามีเพียงสี่คนเท่านั้น จะหาญกล้าเอาสิ่งใดมาต่อกรเล่า?! ล้มเลิกกิจการเสียเถอะ มิฉะนั้นอย่าได้ร้องไห้คร่ำครวญภายหลัง! ”

“ฮึ่ม! อย่าต่อปากต่อคำให้มากความเลย คอยดูเถิด!”

“เช่นนั้นก็ลองดู! ข้าจะแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าด้อยค่าอย่างไร!”

ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะคารมกันอย่างดุเดือดไม่คิดยอมแพ้ ทันใดนั้นเสียงป่าวประกาศจึงดังขึ้น “เชิญเจ้าสาวเดินออกจากประตูจวนและหว่านเงินมงคล!”

สิ้นเสียงนั้นทุกคนบนถนนต่างวิ่งกรูกันเข้าไปเบียดเสียดอย่างไม่รอช้า ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีต่างมีเป้าหมายหนึ่งเดียวกันคือประตูจวนตระกูลเหลียว

“หว่านเงินมงคลเช่นนั้นรึ? เงินอะไรกัน?” เถียนตวนสื่อตื่นตะลึงระคนสับสน เรื่องดีงามเช่นนี้เกิดขึ้นประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เขาเข้าเมืองเช่นนี้เชียวหรือนี่?!

“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหลียวจัดพิธีแต่งงานอย่างเอิกเกริกในวันนี้ ทั้งยังเตรียมการจะหว่านเงินมงคลให้กับผู้คน เหตุใดเจ้าไม่คิดเข้าไปแย่งชิงบ้างเล่า?” หยุนเชวี่ยได้ทีจึงรีบกล่าวยุยง “หากไม่ไปเห็นทีคงพลาดลาภใหญ่อย่างน่าเสียดายไม่น้อย!”

“จริงหรือ? เพียงแย่งชิงก็ได้มาโดยง่ายเลยรึ?! เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าคงพูดปดแล้วกระมัง!” โฉ่วเหือเอ่ยถามย้ำด้วยความไม่เชื่อหู

“หากเป็นเรื่องโป้ปดแล้วผู้คนจะกรูเข้าไปเบียดเสียดอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเหตุใดกัน? หากไม่เชื่อก็อย่าได้เสนอหน้าเชียว ไม่พูดคุยกับเจ้าแล้ว… ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” หยุนเชวี่ยพับแขนเสื้อขึ้นตั้งท่าราวจะพุ่งตัวไปทางประตูจวน

ครั้นเถียนตวนสื่อและพรรคพวกตระหนักว่าเป็นเรื่องจริงทั้งยังเป็นโจรกรรมสีขาวจึงเลิกสงสัย ทุกคนออกวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อพุ่งไปด้านหน้าราววิ่งแข่งขัน ไม่นานนักจึงหายลับไปหลังกระโจนเข้าสู่กลุ่มฝูงชน

“เรา… เราเองก็จะไปแย่งชิงเช่นกันงั้นหรือ?” เหอยาโถวเหลือบมองไปทางกลุ่มคนและนึกขยาดว่าเด็กชายร่างอรชรเช่นตนไม่มีทางเบียดเสียดเข้าไปท่ามกลางชาวบ้านรูปร่างบึกบึนได้เป็นแน่

“พวกเราจะแย่งชิงให้เปลืองแรงไปไย? มีคนมากมายถึงเพียงนี้เจ้าจะแย่งชิงกับพวกเขาได้รึ?” หยุนเชวี่ยปลีกตัวมายืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้ข้างทางพลางยกยิ้มจนตาหยี “รอให้ผู้คนแย่งชิงเงินมาได้และนำมาซื้อบ๊วยดองของเราอยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว พักผ่อนสักครู่เถิด”

“ข้าได้มันมาแล้ว!” เสียงตะโกนของใครสักคนดังขึ้นด้วยความยินดี เหลียวชีจินที่ได้ยินเช่นนั้นจึงนึกกระตือรือร้นจะที่จะลองบ้าง

“ข้าใคร่เข้าไปดูเสียหน่อย” เสี่ยวส่วยเอ๋อถูฝ่ามืออย่างหมายมาดเช่นกัน

“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองไปเถิด ฝากตะกร้าเอาไว้ที่นี่เสีย ข้าและเชวี่ยเอ๋อจะเป็นผู้เฝ้าไว้ให้เอง” เหอยาโถวหยิบผืนผ้าออกมาปูลงกับพื้นและหย่อนก้นนั่งลงพิงต้นไม้ “รีบกลับมาโดยเร็วด้วยล่ะ! หากผู้คนกระจายตัวออกมาแล้วจะได้ถือโอกาสเร่ขายให้กับพวกเขาอีกครั้ง!”

ทันทีที่เหอยาโถวอนุญาตทั้งสองจึงวางตะกร้าลงกับพื้นและรีบวิ่งกึ่งกระโดดตรงไปยังกลุ่มฝูงชนอย่างร่าเริง

หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวนั่งพักผ่อนคลายอยู่ใต้ร่มไม้พลางจับจ้องไปยังบริเวณประตูจวนตระกูลเหลียว จำนวนผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าประสงค์เดียวกันคือแย่งชิงเงินมงคลจากเจ้าสาว

หยุนเชวี่ยหรี่ตามอง “เจ้าคิดว่าเขาใช้เงินจำนวนมากมายเพียงใดกัน?”

เหอยาโถว “ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ คงไม่ได้มากมายถึงขั้นสร้างวัดเจ้าแม่กวนอิมหรอกกระมัง”

หยุนเชวี่ย “อืม… มีกองเงินกองทองมหาศาล เท่านี้ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง”

เหอยาโถว “เชวี่ยเอ๋อ หากวันข้างหน้าเจ้ามีเงินก้อนโต เจ้าคิดจะนำมันไปใช้จ่ายกับสิ่งใดหรือ?”

หยุนเชวี่ย “หากข้ามีเงินมากโขเช่นนั้นจริงคงไม่นำไปสร้างวัดเป็นแน่ ข้าจะนำไปสร้างโรงเรียน สร้างหอตำรา และสร้างโรงหมอเพื่อให้ผู้ยากไร้ได้มีโอกาสเข้าถึง ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรย่อมได้รับการศึกษาและการรักษาโรคภัยอย่างเท่าเทียม”

เหอยาโถว “เชวี่ยเอ๋อ สิ่งที่เจ้าวาดฝันไว้ช่างดียิ่งนัก”

ทั้งสองหลับตาลงและนั่งนิ่งอยู่ในห้วงภวังค์ส่วนตัวโดยไม่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังขึ้นอีกครั้ง ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าบริเวณจวนตระกูลเหลียวอย่างยิ่งใหญ่

เจ้าบ่าวผู้มารับเจ้าสาวถึงที่นั่งอยู่บนหลังม้าลักษณะดีสีน้ำตาลแดงซึ่งมีผืนผ้าสีแดงผูกคล้องอยู่ตรงหน้าอก แม้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาจากระยะไกล ท่วาท่าทางของชายผู้นี้ดูสง่าผ่าเผยไม่น้อยทีเดียว

ด้านหลังม้าของเจ้าบ่าวเป็นเกี้ยวของเจ้าสาวที่มีขนาดกว้างและสูงโปร่งพอสมควร มุมหลังคาเกี้ยวทั้งสี่ห้อยระโยงระยางด้วยผ้าตกแต่งสีแดงแกว่งไกวไปตามจังหวะเคลื่อนที่

ด้านหลังเกี้ยวเจ้าสาวเป็นขบวนผู้หอบสินสอดทองหมั้น หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวช่วยกันนับและพบว่ามีหีบหนักอึ้งซึ่งบรรจุสินสอดไว้ภายในทั้งหมดยี่สิบแปดหีบ

เมื่อเป็นตระกูลใหญ่และลูกสาวคนโตออกเรือนเป็นคนแรกสินสอดจึงอลังการเป็นที่ยิ่ง ทุกสิ่งจะต้องเพียบพร้อมและเป็นหน้าตาให้กับตระกูล ยิ่งมีทรัพย์สินมากเพียงใดยิ่งต้องนำมาแสดงต่อสาธารณชนเท่านั้น

สินสอดยี่สิบแปดหีบนับมูลค่ารวมกันแล้วมากมายเกินคณานับ หลายหีบบรรจุเงินเหรียญ หลายหีบบรรจุทอง และหลายหีบบรรจุเครื่องประดับสวยงามประณีต พร้อมด้วยผ้าไหมผ้าแพรชั้นดีซึ่งใช้ตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม

นอกจากนี้ยังมีสิ่งของหลายชิ้นซึ่งคนธรรมดาสามัญไม่มีโอกาสเอื้อมถึง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเครื่องประทินผิวที่ผลิตจากไม้จันทน์แดงซึ่งได้รับการแกะสลักลวดลายโดยช่างฝีมือชั้นสูง เครื่องหยกต่าง ๆ สิ่งของมูลค่าสูงงดงามแปลกตา ทั้งยังมีโฉนดที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง บรรดาพ่อครัว คนงาน และสาวใช้ที่ติดตามไปด้วย…

“จุ๊… จุ๊… ช่างอู้ฟู่เสียจริงเชียว!” เหอยาโถวตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “ขบวนแต่งงานของพี่สาวข้าเปรียบเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

“พี่สาวของเจ้าได้รับจำนวนสินสอดทองหมั้นมากที่สุดในหมู่บ้านของเราแล้ว อาชิ่วเอ๋อรู้เรื่องแล้วอิจฉาแทบแย่”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากอาหญิงของเจ้ามาเห็นขบวนแต่งงานนี้ด้วยตนเอง ดวงตาจะไม่ถลนออกมาจากเบ้าเชียวรึ?”

“นั่นก็ไม่แน่หรอก…”

เมื่อทั้งสองกล่าวจบจึงหันมองหน้ากันและหัวเราะคิกคัก

เวลานี้ฝูงชนที่กรูเข้าไปแย่งเงินมงคลทยอยแยกย้ายกันไปแล้ว ทว่าบางคนยังคงดูตามขบวนเจ้าสาว หรือบางคนยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

……………………………………………………………..