ตอนที่ 187 ขอบคุณพี่สาวแล้ว
เหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยเดินแหวกออกมาจากกลุ่มฝูงชน พวกเขาโบกไม้โบกมือไปมาด้วยความตื่นเต้น
“ข้าแย่งชิงเงินมาได้สองเหรียญ ทั้งยังได้ขนมหวานมาเต็มกระเป๋าเลยทีเดียว! พี่เชวี่ยเอ๋อ พี่เหออวี้ รับไปเถิด!” เสี่ยวส้วยเอ๋อแบ่งขนมที่ได้รับมาให้กับทุกคน
“ส่วนข้าได้มาถึงห้าเหรียญ!” เหลียวชีจินกางฝ่ามือออกให้เห็นเงินเหรียญภายในพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง
“ตระกูลเหลียวช่างร่ำรวยนัก เงินมงคลที่เขาโปรยลงมาราวหยาดฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า! หลายคนเบียดเสียดกระแทกเข้ามาจนเหรียญหลุดจากมือข้าไปก็มี” เสี่ยวส้วยเอ๋อเบ้ปากด้วยความเสียดาย
“เจ้าไม่เห็นรึว่ามีคนจ้องจะแย่งชิงเงินมงคลมากเพียงใด? พวกเขาจะปล่อยให้เจ้าได้รับแต่เพียงผู้เดียวหรืออย่างไร?” หยุนเชวี่ยยกยิ้มอย่างนึกเอ็นดูในความโลภของอีกฝ่าย
“ฮิฮิ สองเหรียญเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับซื้อซาลาเปาไปแบ่งให้ท่านแม่แล้ว!” เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าวจบก็หย่อนเหรียญเงินลงในกระเป๋าเสื้อของตนเอง
“ข้าเห็นตวนสื่อ โฉ่วเหือ และโฉ่วช่วนด้วยล่ะ พวกเขาพุ่งเข้าแย่งเงินมงคลอย่างดุเดือดทีเดียว คาดเดาว่าคงได้ไปไม่น้อย!” เหลียวชีจินกล่าว
“ไม่เพียงเท่านั้น เจ้านั่นยังจงใจผลักข้าให้พ้นทางอีก!” เสี่ยวส้วยเอ๋อจ้องเขม็งไปยังตำแหน่งที่พวกเขาจากมา
เด็กตัวใหญ่สองสามคนยังคงก้มเงยค้นหาเหรียญเงินที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้นต่อไป ตะกร้าบรรจุบ๊วยดองที่พวกเขาแบกไว้บนหลังถูกฝูงชนที่แออัดเบียดจนบุบบู้บี้เสียทรง ทั้งยังขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นทรายสกปรก
“อย่าได้สนใจพวกเขาเลย ไปขายบ๊วยดองกันเถิด!” หยุนเชวี่ยลุกขึ้นพร้อมปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า “เราจะฉวยโอกาสในช่วงจังหวะที่คนเหล่านั้นยังจดจ่ออยู่กับเงินมงคลเพื่อขายให้ได้มากขึ้นอีกหน่อย!”
ฝูงชนที่ได้รับเงินแยกย้ายกันไปแล้ว ทั้งสี่จึงกระจายตัวกันออกไปอีกครั้งและเริ่มร้องตะโกนเชิญชวนอย่างสุดกำลัง
บนถนนมีคนพลุกพล่านผนวกกับมีการจัดงานรื่นเริงพอดี การขายบ๊วยดองจึงดีกว่าช่วงสองวันก่อนมาก แต่ละคนต่างยุ่งเหยิงอยู่กับการรับเงิน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว… พริบตาเดียวเท่านั้นก็ล่วงเลยเข้าใกล้เที่ยงแล้ว
“เชวี่ยเอ๋อ ข้าขายจนหมดเกลี้ยงแล้ว เจ้าล่ะ?” เหอยาโถววิ่งตรงมาจากทางปลายสุดถนน
“ข้ายังเหลืออีกสองถุง”หยุนเชวี่ยเอ่ยตอบพร้อมยกตะกร้าขึ้นกอดไว้แนบอก พลันใดนั้นเองก็มีกลุ่มเด็กน้อยอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบวิ่งตรงมาและร้องเรียกเสียงเจี๊ยวจ๊าว “พี่สาว ข้าต้องการซื้อบ๊วย! ขอซื้อบ๊วยหน่อยเจ้าค่ะ!”
“ต้องการกี่ถุงล่ะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
เด็ก ๆ หยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าเพื่อรวบรวมกัน จากนั้นจึงยื่นให้กับหยุนเชวี่ยและเงยหน้ามองด้วยสายตารอคอย
“บ๊วยหนึ่งถุงมีราคาหนึ่งเหรียญ ขอข้านับสักครู่…” หยุนเชวี่ยนับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโค้งกายลงและชูนิ้วขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้ม “เงินที่พวกเจ้ามีสามารถซื้อบ๊วยดองได้จำนวนสามถุง หากจะซื้อสี่ถุงต้องเพิ่มเงินอีกสองเหรียญ ว่าอย่างไร?”
เด็กกลุ่มใหญ่ซึ่งรายล้อมหยุนเชวี่ยแสดงออกถึงความเสียดายเล็กน้อย
“นี่คือเงินมงคลที่พวกเจ้าแย่งชิงมาได้อย่างนั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอีกครั้ง
ทั้งหมดพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
“เอาล่ะ พี่สาวจะลดราคาให้พวกเจ้าสองเหรียญและจะขายให้พวกเจ้าสี่ถุงก็แล้วกัน!” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหญิงคนหนึ่งด้วยความเอ็นดูจากนั้นจึงหันไปทางเหอยาโถว “วานเจ้าไปตามหาเสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินทีเถิด ดูว่าผู้ใดยังมีบ๊วยดองหลงเหลืออยู่”
รอเพียงไม่นานนักเหอยาโถวจึงวิ่งกลับมาพร้อมกับบ๊วยดองน้ำตาลสองถุง เด็ก ๆ เห็นดังนั้นจึงยื่นมือไปรับด้วยความยินดี ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสแห่งวัยเยาว์ “ขอบคุณแล้วเจ้าค่ะ พี่สาว…”
“ข้าด้วย!” เหอยาโถวหันนิ้วชี้เข้าหาตนเอง
เด็กคนหนึ่งหันกลับมาและเผยรอยยิ้มกว้าง “ขอบคุณแล้ว พี่สาว…”
เหอยาโถว…
“อุ๊บ…” หยุนเชวี่ยพยายามกลั้นหัวเราะแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมา นางโบกมือให้เด็ก ๆ เหล่านั้น “กินบ๊วยดองให้อร่อยนะ!”
จากนั้นพวกเขาจึงกระโดดโลดเต้นวิ่งจากไปด้วยท่าทางราวมีความสุขเสียเต็มประดา
หยุนเชวี่ยหย่อนเงินลงในกระเป๋าพร้อมตบเบา ๆ “เงินของข้าขาดไปสองเหรียญ ทว่าไม่เป็นไร… ข้าจะชดเชยในส่วนนี้เอง”
“เสี่ยวส่วยเอ๋อและชีจินเหลือบ๊วยอยู่ไม่มากแล้ว พวกเขาแจ้งว่าต้องการตะโกนหาลูกค้าต่อไปอีกสักครู่ ให้พวกเราไปที่ภัตตาคารหลงชิงก่อนและสั่งไก่ย่างไว้รอได้เลย”เหอยาโถวกล่าว
“เจ้าจะเลี้ยงไก่ย่างพวกเขาจริงหรือ?”
“แน่นอนสิ” เหอยาโถวเขย่าถุงเงินหนักอึ้งของตนไปมา “สำนวนโบราณว่าไว้อย่างไรนะ? ม้าสี่ตัววิ่งเตลิด…”
“หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน* ต่างหากเล่า!” หยุนเชวี่ยกุมขมับทันที
* หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน = เป็นสำนวนซึ่งมีความหมายว่าคำพูดของเรา เมื่อพูดออกไปแล้ว จะกลับกลายเป็นนายเราทันที เหมือนดั่งม้าสี่ตัวที่ยากจะตามกลับมา (ห้ามคืนคำ)
“ใช่… ใช่! ฮ่าฮ่า…”
ภัตตาคารหลงชิง
ทั้งสองเลือกที่นั่งบริเวณริมหน้าต่าง ขอชาร้อนที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายจำนวนหนึ่งกา จากนั้นจึงสั่งไก่ย่างหนึ่งตัวกับเสี่ยวเอ้อ ทั้งยังกำชับว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เพราะหากรอจนเย็นชืดแล้วรสชาติอาจไม่อร่อยเท่าที่ควร
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อจึงนำชาสมุนไพร ผลไม้สดหั่นชิ้น น้ำผึ้ง พร้อมด้วยผลไม้ตากแห้งหลายจานมาให้
เหอยาโถวและหยุนเชวี่ยโบกมือปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเราไม่ต้องการอาหารเหล่านี้ ต้องการเพียงชาธรรมดาเท่านั้น…”
ภัตตาคารหลงชิงเปิดกิจการมานานมานานหลายทศวรรษ สาเหตุที่สามารถตั้งหลักปักฐานในเมืองมาจนถึงปัจจุบันได้ใช่ว่าอาศัยเพียงรายได้จากอาหารคาวเป็นรายจานเท่านั้น แม้แต่ขนมหวานและชาสมุนไพรยังมีชื่อเสียงเลื่องลือและมีรสชาติดียิ่ง ทว่าราคาก็สูงลิบเช่นกัน!
ดังนั้นของเหล่านี้ไม่ได้มีราคาหลายสิบเหรียญหรอกหรือ? ต่อให้ใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้ในช่วงเช้ารวมกันยังไม่เพียงพอสำหรับการกินอาหารมื้อใหญ่เช่นนี้ด้วยซ้ำ
ทั้งสองวางมือลงบนโต๊ะและนั่งหลังตรงไม่ขยับเขยื้อนโดยไม่คิดแตะต้องขนมเหล่านั้นเลยแม้แต่คำเดียว
เสี่ยวเอ้อเผยรอยยิ้มสุภาพ “คุณหนูทุกท่าน สิ่งนี้ล้วนเป็นอภินันทนาการจากนายน้อยของข้าที่สั่งให้เราไปจัดเตรียมเพื่อนำมาต้อนรับพวกท่าน”
“นายน้อยอีกแล้วหรือ?” เหอยาโถวขมวดคิ้ว
“ขณะนี้นายน้อยยุ่งอยู่กับการดูแลแขกผู้ทรงเกียรติอยู่ที่ห้องรับรองชั้นบน ถึงกระนั้นเขายังกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าให้เสิร์ฟชาสมุนไพรและขนมรสเลิศแก่พวกท่านเท่านั้น”เสี่ยวเอ้อกล่าวจบแล้วจึงโค้งกายคำนับอย่างสุภาพ “คุณหนูทั้งสองโปรดสำราญให้เต็มที่ หากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมกรุณาเรียกใช้ข้าได้เลยขอรับ”
“เฮ้…” มุมปากเหอยาโถวกระตุกครั้งหนึ่ง
“พี่เขยสามของเจ้าช่างใจกว้างเสียจริง”หยุนเชวี่ยมุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้า นางยกถ้วยชากระเบื้องสีขาวซึ่งมีชาสมุนไพรขึ้นจิบอย่างละเลียด“อืม… รสชาติดีนัก ยังอุ่น ๆ อยู่เลย”
“พี่เขยสามอะไรกัน เขายังไม่ได้แต่งงานกับพี่สาวของข้าด้วยซ้ำ” เหอยาโถววางตัวไม่ถูก สายตาจ้องมองไปยังจานขนมหวานจัดวางเรียงไว้อย่างจนปัญญา“เขาเคยพบหน้าข้าเพียงสองถึงสามครั้งเท่านั้น เหตุใดข้าเดินผ่านเข้าประตูมาก็จดจำได้อย่างแม่นยำเช่นนี้?”
“หากไร้ซึ่งสายตาหลักแหลมและความจำเป็นเลิศ เขาจะดูแลกิจการร้านอาหารขนาดใหญ่มาจวบจนถึงวันนี้ได้อย่างไรเล่า?” หยุนเชวี่ยไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงกล่าวต่อ “อย่างไรอาหารก็ถูกยกมาวางถึงที่โต๊ะแล้ว หากไม่แตะต้องเลยจะไม่ถือเป็นการหักหาญน้ำใจพี่เขยผู้ใจกว้างของเจ้าเกินไปงั้นหรือ?”
“เฮ้อ!”เหอยาโถวพ่นลมหายใจก่อนเอื้อมมือไปหยิบขนมเปี๊ยะไข่ถั่วแดงขึ้นมากัดเข้าปากไปคำหนึ่ง “แท้จริงแล้วข้ากลับรู้สึกราวได้เปรียบอย่างไรอย่างนั้น เฮ้! ขนมชิ้นนี้อร่อยมาก เชวี่ยเอ๋อ เจ้าลองชิมดูสิ…”
หยุนเชวี่ย…
เดิมทีเหอยาโถวแสดงเจตจำนงไว้ว่าไม่ต้องการเอารัดเอาเปรียบผู้ใด ทว่าเวลานี้เป็นเขาเองที่กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยจนถึงขั้นเลียเศษขนมติดอยู่รอบมุมปาก ช่างเป็นคนที่พลิกลิ้นได้ตลอดเวลาจริงเชียว!
ครั้นเหลียวชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อมาถึงก็ต้องตื่นตะลึงกับขนมหวานรสเลิศหลากสีสันซึ่งวางอยู่รอบโต๊ะหลายจาน
“ทั้งหมดนี้รวมแล้วเป็นราคาเท่าไรกันแน่?! พี่เหออวี้ เหตุใดวันนี้ท่านจึงใจกว้างนัก!”
“นี่ไม่ใช่ความใจกว้างของเขาแต่อย่างใด พี่เขยสามของเขาต่างหากล่ะที่ใจกว้าง” หยุนเชวี่ยยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างรู้สึกอิ่มเอม
เสี่ยวส้วยเอ๋อกะพริบตาปริบ “เขาไม่คิดเงินอย่างนั้นรึ?”
หยุนเชวี่ยพยักหน้า
ทันทีที่ได้ยินว่าไม่ต้องเสียเงินค่าอาหารเหล่านี้ เสี่ยวส้วยเอ๋อและเหลียวชีจินจึงนั่งลงอย่างสบายใจพร้อมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เช่นนั้นหมายความว่าพวกเรากินได้!”
“กิน… กินเถอะ” เหอยาโถวเชื้อเชิญพลางใช้มือประคองท้ายทอย “ของพวกนี้ข้าเก็บไว้สำหรับพวกเจ้าสองคน ยังมีไก่ย่างอีกหนึ่งตัว ประเดี๋ยวคงถูกยกขึ้นมาแล้ว…”
“แม่เจ้า! ขนมชิ้นนี้เรียกว่าอะไรกัน?! รสชาติดียิ่งนัก! ชีจิน… ชีจิน เจ้าลองชิมดูเถอะ อร่อยมากทีเดียว…”
หยุนเชวี่ยสังเกตว่าเสียงของเสี่ยวส้วยเอ๋อที่ลากยาวต้องจดจำมาจากเหอยาโถวเป็นแน่ ทั้งจังหวะน้ำเสียงหรือแม้แต่สีหน้าที่แสดงออกแบบเกินจริงยังดูละม้ายไม่มีผิดเพี้ยน
เหอยาโถวถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าเหตุใดนายน้อยรองแห่งตระกูลเจิ้งจึงใจกว้างกับพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้? จะว่าไปแล้วก็น่าเป็นกังวลไม่น้อย…”