“แม่สาวอัปลักษณ์ ตื่นสิ”

เซี่ยวอวี่เซวียนรู้นิสัยของนางดี หากไม่มีอันตรายใด ๆ หญิงสาวคนนี้หลับลึกจนระเบิดใส่ก็มิตื่น แต่หากมีภัยอันตรายขึ้นมานางจะตื่นตัวยิ่งกว่าใคร ๆ เพราะเช่นนี้เซี่ยวอวี่เซวียนจึงได้อุ้มตัวนางขึ้นโดยตรง

“เจ้านี่มันช่างน่ารำคาญเสียจริง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคนนอนหลับไม่เพียงพอจะสามารถตายได้”

“แม่สาวอัปลักษณ์ ข้าเอง”เซี่ยวอวี่เซวียนกระพริบตาและยิ้มอย่างมีความสุข แต่เมื่อเห็นชุดแต่งงานบนตัวนางแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางลงเล็กน้อย

ในตาของกู้ชูหน่วนมีแสงไฟส่องผ่าน

“เสี่ยวเซวียนเซวียน เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”

นี่มันเรือนหอของนางมิใช่หรือ?ทหารยามของจวนหานอ๋องเริ่มหย่อนยานตั้งแต่เมื่อใดกัน?

มองดูภายนอกกระแสคลื่นโหมซัดสาด หงส์ฟ้าและดอกลำโพงชนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่ชนเข้าด้วยกันก็จะทำให้จวนหานอ๋องรวมทั้งเมืองหลวงสั่นคลอนไปทั้งเมือง

ให้ตาย…

สองคนนี้ทะเลาะกันมาเนิ่นนานแล้วยังมิจบสิ้นอีกอย่างนั้นหรือ ช่างรบกวนคนอื่นเสียจริง

เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวยิ้ม ๆ “แม่สาวอัปลักษณ์ ข้าเสียแรงไปมากกว่าจะขุดเส้นทางนี้ขึ้นมาได้ และยังใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อนำทหารอารักขาข้างกายเยี่ยจิ่งหานออกไป เจ้าจะออกจากที่นี่กับข้าหรือไม่”

“ออกไปกับเจ้าอย่างนั้นรึ? หนีงานสมรสงั้นหรือ?”

“ไปหรือไม่?”ในตาของเซี่ยวอวี่เซวียนมีความหวังซ่อนอยู่

เขามิยอมให้แม่สาวอัปลักษณ์แต่งงานกับแทพแห่งสงคราม

“หากข้าหนีงานสมรส เยี่ยจิ่งหานจะไม่ไล่ตามข้าตราบชั่วฟ้าดินสลายอย่างนั้นรึ?ช่างเสียเถิด จวนหานอ๋องก็มิแย่นัก”กู้ชูหน่วนปฏิเสธโดยไม่คิดเลย

ประตูถูกเปิดออกกะทันหัน ชิวเอ๋อร์หยิบผ้าคลุมหัวสีแดงเข้ามาอย่างระแวง เมื่อเข้ามาถึงก็เห็นคุณชายเจ้าสำราญเซี่ยวอวี่เซวียนอยู่ในเรือนหอด้วย ก็ตกใจอ้าปากคิดจะส่งเสียงร้องออกมา

แต่โชคดีที่เซี่ยวอวี่เซวียนมือไว รีบปิดปากของนางไว้ได้

ชิวเอ๋อร์เบิกตากว้าง ขัดขืนอย่างไม่หยุด

“ชิวเอ๋อร์ ข้ามิได้มาร้าย เพียงแค่เจ้ามิส่งเสียงร้องข้าจะปล่อยเจ้าไป”

กู้ชูหน่วนกุมขมับ

เซี่ยวอวี่เซวียนมาไม้ไหนกัน?

อยากจะให้ชิวเอ๋อร์เงียบปาก วิธีของเขาเช่นนั้นจะทำได้ได้อย่างไรกัน

กู้ชูหน่วนกล่างง่าย ๆว่า “ชิวเอ๋อร์ หากเจ้าส่งเสียงออกไป ชื่อเสียงของข้าในฐานะคุณหนูของเจ้าก็จะสิ้นโดยทันที หากเจ้ายังเช่นนี้ได้ลงคอ เช่นนั้นเจ้าก็ส่งเสียงเถิด”

ชิวเอ๋อร์ไม่ขัดขืนต่อไป หวาดกลัวจนพยักหน้าอย่างเดียว

เซี่ยวอวี่เซวียนปล่อยนางออกไป

ชิวเอ๋อร์มิส่งเสียงร้องใด ๆ เพียงแต่อ้าปากอยากจะบ่นอีกครั้ง

กู้ชูหน่วนขัดคำพูดของนางไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร วางใจเถิดอีกประเดี๋ยวเซี่ยวอวี่เซวียนก็ไปแล้ว ข้ามิไปไหนหรอก ผ้าคลุมหัวสีแดงนี้ให้ข้าใช่หรือไม่ ขอบใจล่ะ ประเดี๋ยวข้าจะใส่มันเอง”

“คุณหนูเจ้าคะ…”

“ข้างนอกสู้กันเสร็จหรือยัง”

“ยัง…ยังเจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าคะ วันนี้เป็นวัน….”

“ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร แต่ทว่าวรยุทธ์ของจอมมารนั้นสูงยิ่งนัก เจ้าลองไปดูที หากเยี่ยจิ่งหานบาดเจ็บอย่าลืมให้เขามารักษากับข้า”

คำพูดของชิวเอ๋อร์ถูกคำพูดของกู้ชูหน่วนขัดไว้ นางทำได้เพียงปิดปากไว้และจากไป

กู้ชูหน่วนโล่งใจ ในที่สุดก็ส่งแม่บ้านคนนี้ออกไปได้เสียที

ทันใดนั้น กู้ชูหน่วนก็เห็นระฆังตรงเอวของนาง ร่างกายก็อดมิได้ที่จะกระตุกขึ้น “ชิวเอ๋อร์ กลับมา”

“คุณหนูยังมีเรื่องอันใดอีกงั้นหรือเจ้าคะ?”

“สิ่งของบนเอวของเจ้าคืออะไรกัน?”

“อ่อ…คุณหนูหมายถึงระฆังนี้หรือเจ้าคะ? ตอนที่ชิวเอ๋อร์กำลังไปเก็บผ้าคลุมหัวสีแดงอยู่ ก็เห็นมันตกอยู่บนพื้น เห็นว่ามันสวยดี จึงห้อยไว้บนตัวเจ้าคะ หากคุณหนูชื่นชอบ ข้าจักมอบให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

กู้ชูหน่วนรับระฆังไว้และสัมผัสวัสดุของระฆัง จากนั้นก็มองดูอักษรรูนบนระฆังอย่างตั้งใจ แน่ใจว่ามันคือระฆังวิญญาณสะบั้นอย่างแน่นอน

เซี่ยวอวี่เซวียนเองก็รู้ได้ทันที เขากล่าวอย่างตกใจ “แม่สาวอัปลักษณ์ นี่มิใช่ระฆังวิญญาณสะบั้นหรือ? เหตุใดจึงอยู่ที่สาวใช้ของเจ้าได้?”

กู้ชูหน่วนเก็บความร่าเริงที่ผ่านมาไว้และถามอย่างตั้งใจ “ระฆังวิญญาณสะบั้นนี้เจ้าเก็บจากที่ใดกัน?”

“ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ มิรู้ว่าใครทิ้งไว้กัน”

“ตำแหน่งใดในห้องโถง?” กู้ชูหน่วนจับระฆังวิญญาณสะบั้นไว้อย่างแน่นหนา

หากรู้ว่าระฆังวิญญาณสะบั้นอยู่ที่ใคร ก็จะรู้ได้ทันทีว่าใครที่เป็นคนแย่งระฆังวิญญาณสะบั้นจากเยี่ยเฟิงวันนั้นได้ทันที

ชิวเอ๋อร์คิดอยู่นานพอควรถึงได้กล่าว “ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งของอาจารย์สวีเจ้าค่ะ”