“ดื่นค่อนคืนป่านนี้ขับไล่ผู้คน นี่แสดงถึงความเคารพต่อข้าหรือ นี่มันเหมือนเอาข้าไปเผาชัดๆ!”
“…หากเรื่องนี้สำเร็จขึ้นมา ดูเอาเถิด ไม่ถึงพรุ่งนี้ ขุนนางรอบข้างได้ไปส่งสาส์นกราบทูลไม่ไว้วางใจข้าถึงเมืองหลวงอย่างกับติดปีกบินแน่! ไม่ต้องรอให้ข้าไปใกล้ถนนต้าซาง หออาลักษณ์หลวงก็จับข้ากลับเมืองหลวงได้!”
“…พวกเขาเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย ขุนนางยศต่ำ ถึงเวลานั้นก็รอดตัวพ้นผิดกันหมด ถูกดุด่านิดหน่อย มีแต่ข้าที่จะต้องแบกรับปัญหาพวกนี้ไว้!” เขาเอ่ย ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห
“คิดว่าข้าไม่เคยดูละครพวกนี้มาก่อนหรือ ตอนแรกเลี่ยวไห่เฟิงได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบภาษีเกลือที่ซูโจว ผลสุดท้ายเพิ่งจะถึงซูโจว กินข้าวในวันที่หิมะตกก็ถูกขุนนางท้องที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจ ถูกจับส่งกลับเมืองหลวงไป ภาษีเกลือก็ไม่ได้ตรวจสอบ ซ้ำตัวเองยังมาถูกตรวจสอบเสียเอง จากหออาลักษณ์หลวงถูกไล่ไปอยู่เยว่โจว เพราะอะไรล่ะ”
“…ไม่ใช่เพราะตอนที่กำลังกินข้าวอยู่นั้นชื่นชมทิวทัศน์งดงาม ช่วงเวลาที่กำลังมีความสุขพลันต้องผิดหวัง สุดท้ายถูกคนอ้างเรื่องขับไล่ผู้คนมากำจัดตน พวกเขาทำเพื่อแสดงความเคารพหรือ พวกเขาทำเพื่อยืมดาบฆ่าคน![1] เป็นพวกชอบโอ้อวดทะนงตน!”
บ่าวรับใช้ฟังพลางรีบกระซิบให้ผู้เป็นนายระงับโทสะ
“ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดกองขนส่งของถนนไท่ซางจึงใจดีเช่นนี้ ส่งคนมารับข้าด้วยตัวเอง” เฝิงหลินพูดจบก็ยิ้มเย็น “ช่างเป็นละครที่น่าสนุกยิ่ง! นึกไม่ถึงว่าจะยังสมคบคิดกับคนที่ค่ายเสินปิงอีก!”
“ใต้เท้า งานตำแหน่งนี้ทำได้ยากยิ่ง มิน่าเล่าคนอื่นจึงเกี่ยงกันไม่มา…” บ่าวรับใช้ถอนหายใจเอ่ย
กองการขนส่งมีเงินและเสบียงอยู่ในมือ เป็นหน่วยงานที่มีสินบนใหญ่ที่สุด การเคลื่อนไหวนี้ไม่รู้ว่าได้ทำลายผลประโยชน์ของคนตั้งเท่าใดไปแล้ว มีตั้งกี่คนที่ทั้งคอยจ้องจะจัดการข้าทั้งในที่ลับที่แจ้ง
“เพื่อประเทศชาติแล้วจะเสียดายชีวิตได้อย่างไร” เฝิงหลินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ละครเรื่องนี้จะทำอะไรข้าได้ ต้องขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำที่ตักเตือนข้าก่อน!”
บ่าวรับใช้พยักหน้าด้วยความชื่นชม
“โชคดีที่แม่นางคนนั้นผ่านมาเห็นความอยุติธรรมนี้เข้า มิฉะนั้นแล้วใต้เท้าได้ลำบากแน่” เขาเอ่ย
เฝิงหลินพยักหน้า ในใจยังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
หากตอนนั้นไม่มีใครออกหน้าจริงๆ แม้ว่าเขาจะรีบไปขวางไว้ได้แต่ก็ยากที่จะปิดฉากลงได้ รู้ทั้งรู้ว่าถูกคนแทงแต่กลับทำอะไรไม่ได้
พูดถึงแม่นางผู้นั้นแล้ว สีหน้าเฝิงหลินก็เคร่งขรึมขึ้นมาครู่หนึ่ง
“ผ่านมาเห็นความอยุติธรรมจริงๆ หรือ” เขาพึมพำกับตัวเอง “สภาพสังคมยามนี้ยังมีคนที่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วเข้ามาช่วยเหลือเช่นนี้อยู่อีกหรือ ซ้ำยังเป็นสตรีอีก”
“หรือว่าจะเป็นความคิดของบุรุษคนนั้นที่อยู่ข้างนางขอรับ…” บ่าวรับใช้คาดเดา
คนที่ออกหน้าไม่ใช่คนที่ร้ายกาจที่สุดเสมอไป คนที่ไม่ได้ออกหน้าผู้นั้นจึงจะเป็นคนที่ฐานะไม่ธรรมดา
เฝิงหลินรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่คนผู้นั้นอย่างแน่นอน” เขาเอ่ย “หน้าตาดูดีชีวิตชีวา แต่ดูแล้วกลับไร้สง่าราศี”
พูดจบก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“แต่แม่นางคนนี้ดูเหมือนจะเหม่อๆ ลอยๆ หน้าตามีชีวิตชีวา พูดจาฉลาดเฉียบแหลมและมิดชิดไม่มีช่องโหว่” เขาเอ่ย
บ่าวรับใช้นิ่งอึ้ง จุดนี้เขามองไม่ออก…
“ไม่ใช่ว่านางบอกว่าเพราะคนรับใช้ถูกลากเข้าไปด้วยจึงได้ทำเช่นนั้นหรอกหรือ” เขาถาม “ดูท่าแล้วจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ นะขอรับ หากเรื่องครานี้สำเร็จ ใต้เท้าย่อมยากที่จะพ้นโทษไปได้ แต่คนรับใช้พวกนั้นก็ย่อมต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน ไม่รู้ว่าแม่นางคนนั้นมาจากตระกูลใดในเมืองหลวง หากถูกลากเข้าไปด้วยก็ยากที่จะหนีความยุ่งยากพ้น มีเรื่องน้อยย่อมดีกว่า”
เฝิงหลินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็เป็นการพบกันโดยบังเอิญ ซ้ำยังไม่รู้จักมักจี่กัน นางย่อมไม่ได้ทำเพื่อข้า” เขายิ้มเอ่ยแล้วส่ายหัว
พูดคุยกันมาตั้งนาน อีกทั้งเหตุการณ์ครานี้ร้ายแรงแต่ไม่อันตราย เฝิงหลินจึงผ่อนคลายลง
“ใต้เท้าทานข้าวพักผ่อนเถิดขอรับ” บ่าวรับได้จังหวะเกลี้ยกล่อม
เฝิงหลินพยักหน้าแล้วเลิกชายอาภรณ์นั่งลง
“ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นั้นทำของอร่อยอะไร” เขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดมดูแล้วหอมฉุยนัก”
โต๊ะตั้งเรียบร้อย ปั้นฉินตั้งสำรับอาหารขึ้นมาใหม่ ฝั่งพ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ ต่างล้อมหม้อเริ่มลงมือกินข้าวกันแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงที่ถือชามกับตะเกียบอยู่หันไปมองท่านชายหวังสิบเจ็ด
“ในเมื่อร่วมเดินทางด้วยกัน ก็ควรจะเชื่อฟังข้า กฎเกณฑ์ของข้าคือ ทำผิดได้ไม่เกินสามครั้ง” นางบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่สีหน้าอึมครึมได้ยินเข้าก็ผุดลุกขึ้น
“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ เชื่อฟังเจ้า กฎของเจ้า เฉิงเจียวเหนียง เจ้ากับข้ามีกฎอะไร” เขาตะคอกแล้วชี้ไปทางพ่อบ้านเฉา “ข้าจะบอกเจ้าให้ หากวันนี้เจ้าไม่ตัดขาไอ้ชั่วที่มันตีข้า เจ้าก็อย่าได้คิดจะเข้าจวนข้ามาเลย!”
เขาเอ่ยจบก็สะบัดมือเดินจากไป
“ท่านชาย ท่านชาย…” บ่าวชราตะโกนเรียก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไรอีก บ่าวชราที่เดินตามไปไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลง ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ตามไป ส่วนตัวเองลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินกลับมา
“แม่นาง” เขาค้อมตัวคุกเข่าคำนับ “ขอแม่นางโปรดให้อภัยท่านชายของข้าด้วย คุณชายข้าไม่เข้าใจเรื่องราวของโลก ที่บ้านส่งข้ามาดูแล ครานี้เป็นข้าที่ดูแลไม่ดี เรื่องครานี้อย่าได้โทษท่านชายเลย เป็นบ่าวไม่รอบคอบเอง เสียรู้คนอื่นเข้า ทำแม่นางลำบากแล้ว”
เขาเอ่ยพลางโน้มตัวโขกหัวกับพื้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่นับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันใด ต่อให้เกิดขึ้นจริงๆ พวกเจ้าก็จะไม่เดือดร้อนแน่นอน ไกล่เกลี่ย ใช้เงินไปอีกนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
นั่นมันก็จริง…
อย่างไรเสียก็ไม่เหมือนขุนนางโชคร้ายผู้นั้นแน่ อย่างมากพวกเขาก็ถูกตำหนิขับไล่ ถูกด่าว่าปรับเงินอีกนิดหน่อย พวกคนใช้ถูกโบยเล็กน้อยก็จบเรื่องแล้ว
แน่นอนว่าความคิดดังกล่าวเขาไม่โง่พูดออกไปจริงๆ อยู่แล้ว
“ไม่ ไม่ ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ทำแม่นางลำบากแล้ว ทำแม่นางลำบากแล้ว” เขาโขกหัวกับพื้นอีกครั้ง
“ไม่ลำบาก” นางเอ่ย “ข้าแค่ไม่ชอบความยุ่งยากเท่านั้น” โดยเฉพาะความยุ่งยากที่มาเกะกะทางของนาง
ดังนั้นแล้ว ก่อนที่ความยุ่งยากนั้นจะมาเยือนก็ยื่นมือแก้ปัญหานั่นเสียน่ะหรือ
บ่าวชราคิดในใจแล้วเงยหน้ามองแม่นางตรงหน้า
“หะ…หากตอนนั้นใต้เท้าคนนั้นไม่รับน้ำใจด้วยการขอบคุณเล่า” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้
หากใต้เท้าคนนั้นป่าเถื่อนไร้เหตุผลเหมือนกับขุนนางชั้นผู้น้อยกับองครักษ์ผู้นั้นเล่า
“เช่นนั้นหนังสือลงนามฟ้องร้องที่ต้องเขียนในคืนนี้ก็คงเป็นชื่อเขาที่ถูกฟ้องแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วมองบ่าวชรา “ข้าเคยบอกแล้วว่า เรื่องนี้ทำเพื่อพวกเจ้าเหล่าคนรับใช้แค่นั้น”
นั่นก็หมายความว่าเดิมทีก็ไม่ใช่การขจัดความอยุติธรรมอะไร…
และไม่สนแล้วว่าใครถูกใครผิด
หากขุนนางคนนั้นโง่เขลา เช่นนั้นก็ช่วยขุนนางชั้นผู้น้อยกับองครักษ์ทำลายวงศ์ตระกูลของขุนนางผู้นี้ มีความช่วยเหลือกันเช่นนี้แล้ว ขุนนางชั้นผู้น้อยกับองครักษ์ก็ย่อมไม่ลากพวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
หากขุนนางรู้ตัวได้เร็ว ก็อาศัยกำลังทำลายกำลัง ก็จะสามารถรักษาวงศ์ตระกูลของขุนนางผู้นั้นเอาไว้ได้ ทำลายวงศ์ตระกูลขุนนางชั้นผู้น้อยกับองครักษ์ เช่นนี้ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากแม่นางเช่นกัน จนซาบซึ้งแทบไม่ทัน ย่อมไม่ลากพวกเขามาเกี่ยวข้องด้วย
บ่าวชรานั่งอยู่บนพื้นด้วยอารมณ์ซับซ้อน
หากรู้เช่นนี้ ในตอนนั้นขุนนางชั้นผู้น้อยนั่นคงไม่มาใช้พวกเขาแล้วกระมัง
หากไม่มีประโยคนั้น พวกเราคงได้เห็นคุณชายหวังลำบากแน่แล้ว ดังนั้นหากทุกคนร่วมมือกันสักหน่อย เกรงว่ายามนี้พวกเขาคงทำสำเร็จสมดังใจไปแล้ว
อะไรก็เกิดขึ้นได้ ประโยคนี้ผลลัพธ์ช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
นี่มันปลาหมอตายเพราะปากจริงๆ จะพูดจะจาต้องระมัดระวังคิดให้รอบคอบเสียก่อนสิ
……………………………….
[1] ยืมดาบฆ่าคน ยืมมือคนอื่นกำจัดศัตรู