“เจ้าจะกลับมาทำไมอีก”
พอเห็นบ่าวชราเดินเข้ามาในห้องโถงรวม ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่นั่งอารมณ์ขุ่นหมองอยู่บนเบาะก็เอ็ดตะโรขึ้น
“เจ้าเปลี่ยนเป็นแซ่เฉิงแล้วนี่! คงไม่นับว่าข้าเป็นนายเจ้าอีกต่อไปแล้วละสิ!”
“ท่านชาย เรื่องนี้ก็แค่ละครตบตาเพียงเท่านั้น” บ่าวชราเอ่ยเสียงเข้ม “ท่านอย่าได้โวยวายนักเลย”
“โวยวายอย่างนั้นหรือ เจ้าเชื่อคำพูดของนางหรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระเด้งตัวตะโกนลั่น “เจ้าได้ยินที่นางพูดหรือไม่ เชื่อฟังนาง ทำตามกฎของนางอย่างนั้นหรือ ถุย!”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหอบหนัก ถลึงตาด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“ข้าเองก็อยากจะรู้นัก หากข้าไม่เชื่อฟังนาง แล้วจะเป็นอย่างไร”
บ่าวชราหัวใจเต้นระส่ำ
ไม่เชื่อฟังนางแล้วจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ แน่นอนว่าคงไม่ดีแน่…
คนธรรมดาทั่วไปหากพบเจอกับอุปสรรค ย่อมหาทางหลบหลีก ทว่านางกลับกัน นางทำลายตัวก่อปัญหาเสียจนสิ้นซาก นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะต่างหาก…
หญิงสาวอายุเพียงสิบเจ็ดปี ทว่าฉลาดหลักแหลม ไหวพริบปฏิภาณเฉียบคม มิน่าละ นายใหญ่โจวที่เป็นแม่ทัพมาไม่รู้กี่สิบปี ยังต้องเสียน้ำตาต่อหน้านาง
แม่นางน้อยที่มากความสามารถถึงเพียงนี้ หากได้ดองเป็นแผ่นเดียวกันก็เหมือนได้เพชรเม็ดงามมาครอบครอง
“หัวเราะอะไรของเจ้า!”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดพูดจบทว่าไม่มีใครตอบอันใด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นบ่าวชราป้องปากหัวเราะอีก ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลเข้าไปใหญ่
กำลังหัวเราะเขาอยู่หรือ
ถูกคนบ้าหัวเราะเยาะ ถูกบ่าวของคนบ้าหัวเราะเยาะ ทั้งยังถูกบ่าวของตัวเองหัวเราะเยาะอีก!
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่กับนางผู้นั้นเถิด ข้าไปก่อนละ”
เอะอะก็ใช้มุกหนีออกจากบ้านอีกแล้ว
บ่าวชราส่งสายตาให้กับบ่าวคนอื่น เหล่าผู้ติดตามที่เคยชินกับเรื่องนี้เสียแล้วก็รีบล้อมเข้ามาในทันใด เกาะแข้งเกาะขาร้องไห้อวดครวญอยู่นานกว่าจะปลอบท่านชายให้สงบลงได้ จากนั้นจึงพาไปอาบน้ำอาบท่า พอกลับมาก็โวยวายว่าโถงใหญ่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นสาบนอนไม่ไหว ขณะที่กำลังคิดหาทางโน้มน้าวใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเคาะประตู
พอประตูเปิดออกก็พบว่าเป็นเหล่าผู้ติดตามจากตระกูลโจว
“พวกเจ้ามาทำไม” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาตะโกนใส่
“นายหญิงของข้าเรียกหาพวกเจ้า” ผู้ติดตามตระกูลโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
เรียกหาอย่างนั้นหรือ เพิ่งคิดได้ว่าตนผิดยามนี้หรือ กลัวอย่างนั้นหรือ สายไปเสียแล้วละ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดเดาะลิ้น
“ไสหัวไป” เขาสบถด่าในทันใด
ผู้ติดตามตระกูลโจวหันหลังเดินจากไปจริงดังคาด ทว่าบ่าวชรากลับรั้งไว้
“พ่อหนุ่ม นายหญิงรับสั่งว่าอย่างไรหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้ม
“นายหญิงบอกว่า พวกเจ้าพวกอยู่ที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัย” ผู้ติดตามตระกูลโจวเอ่ยเสียงเนิบ “เอาเป็นว่า นายหญิงยังบอกอีกว่า พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่”
ไม่ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ
บ่าวชรากระแอมขึ้นมา
“เหอะ นายหญิงของเจ้าคิดว่าตัวเองหยั่งรู้ฟ้าดินหรืออย่างไร เมื่อครู่ก็บอกว่าฝนไม่ตก…” ท่านชายหวังสิบเจ็บตะโกนขึ้นมา ทว่าพูดไม่ทันจบก็นิ่งไป จะว่าไปแล้วดูเหมือนฝนจะไม่ตกจริงๆ เสียด้วย… ช่างเถอะ คงเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง “ยังมาบอกว่าไม่ปลอดภัยอะไรอีก นางคิดว่านางเป็นใครกัน”
เขากำลังจะพูดต่อ ทว่าบ่าวชราก็หันกลับมาในทันที
“เก็บของ แล้วไปรวมตัวกับนายหญิง” เขาเอ่ย
เหล่าผู้ติดตามขานรับ ก่อนจะรีบลงมือเก็บของในทันที
“ทำอะไรของพวกเจ้า นี่พวกเจ้าเป็นคนตระกูลในกันแน่”
เสียงสบถด่าของท่านชายหวังสิบเจ็ดดังก้องไปทั่วห้อง ทำลายความเงียบสงบในยามค่ำคืนของศาลาพักม้า
….
“นึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าบื้อแซ่เฝิงนั่นจะฉลาดถึงเพียงนี้… ในเมื่อปล่อยให้เจ้านั่นรอดตายมาได้ เห็นทีคงต้องยอมให้เขาเข้าเมืองไป”
“เข้าเมืองอย่างนั้นหรือ เจ้าบื้อแซ่เฝิงนั่นตรวจบัญชีเก่งนัก หากปล่อยให้เข้าเมือไป ก็ถึงวันตายของข้ากับเจ้าแล้วล่ะ!”
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างจากศาลาพักม้าออกไปไม่ไกลนัก ท้ายหมู่บ้านมีเรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่ ภายในแสงไฟสว่างโร่ หน้าต่างสะท้อนเห็นเงาของคนสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนอีกคนก็เอาแต่เดินวนไปมา
หากยามนี้ขุนนางผู้น้อยที่ถูกเฝิงหลินทุบตีปางตายอยู่ที่นี่ ก็คงรู้ว่าสองคนนี้คือผู้ใด คนหนึ่งคือเสมียนของสำนักขนส่งประจำถนนไท่ชาง ส่วนอีกคนหนึ่งคือนายอากร
นายอากรเอาแต่เดินวนไปวนมา สีหน้าตึงเครียด
ทว่าเสมียนนั้นกลับดูสงบนิ่ง ทั้งยังยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอีกต่างหาก
“ทั้งๆ ที่กะเวลาไว้อย่างเหมาะเจาะ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” เขาถาม “ไม่ใช่เพราะเจ้าหลิวจงก่อเรื่องเองหรอกหรือ เจ้านั่นฉลาดเป็นกรด คงจะพูดจาใส่สีตีไข่จนเกิดเรื่อง”
“คงไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อครู่คนส่งข่าวมาบอกว่าจู่ๆ ก็มีกลุ่มคนมาจากไหนก็ไม่รู้ มาเรียกร้องความเป็นธรรม” นายอากรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก กัดฟันแน่นอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมาจากที่ใด หากย่างเข้ามาในเขตแดนของไท่ชางแล้ว ข้าก็สั่งสอนให้จำขึ้นใจ!”
“หากพวกเขาจะเรียกร้องขอความเป็นธรรมก็ไม่ผิด เพราะเดิมที่สั่งให้เจ้าพวกนั้นไปอาละวาดยกใหญ่ ยิ่งชาวบ้านเดือดร้อนก็ยิ่งดี” เสมียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ร้อนรนแต่อย่างใด “เพียงแต่เจ้าบื้อแซ่เฝิงนั่นไม่ได้ซื่อบื้ออย่างที่เล่าขานกัน พวกเราประเมินผิดไปเอง”
พอเห็นเสมียนไม่ทุกข์ไม่ร้อน ทั้งยังหัวเราะจนตาหยีอีกด้วยซ้ำ นายอากรจึงส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะสะบัดเสื้อแล้วนั่งลง
“ตรวจบัญชีเป็น แถมยังไม่โง่อีกต่างหาก เช่นนี้คงจัดการยากเอาการ” เขาเอ่ย “หากปล่อยให้เข้าเมืองไป เกรงว่าถนนไท่ชางของข้าหายสาบสูญไปเสียน่ะสิ”
เสมียนยกชาขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า
“เช่นนั้นก็แย่น่ะสิ” เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ราวกับว่ามองเห็นภาพในอนาคต เหล่าขุนนางถูกลากตัวออกมาทีคน ปลดชุดขุนนางออก จากนั้นถูกจับเข้าคุก ใบหน้าเศร้าสลด
“เจ้ารีบบอกมาสักที่ว่าควรทำเช่นไร! คนในเมืองรออยู่นะ” นายอากรเอ่ยอย่างร้อนรน
“ทำเช่นไรอย่างนั้นหรือ” เสมียนเผยยิ้มบาง ก่อนจะโน้มตัวไปเอ่ยกระซิบ “คนหนึ่งซวย ย่อมดีกว่าพากันซวยไปเสียหมดใช่หรือไม่”
เสมียนกิริยานุ่มนวลดั่งบัณฑิตทรงภูมิ ทว่านายอากรรู้ดีว่าคนที่ทำงานในสำนักขนส่งมากว่าสามสิบปีอย่างเสมียนผู้นี้ ความจริงแล้วไม่ได้เป็นคนดั่งที่เห็นเหมือนภายนอก
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า…” นายอากรขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะถามเสียงแผ่ว
เสมียนยื่นมือออกไปก่อนจะไล้ปาดลำคอของเขา
ค่ำคืนยามของฤดูใบไม้ร่วง ลมเย็ดโบกโชย ยามนิ้วเรียวยาวของเสมียนไล้ผ่านลำคอของนายอากร ความรู้สึกนั้นเหมือนดั่งคมมีดไม่มีผิด
นายอากรไอโขลกจนสั่นไปทั้งตัว เขาเบี่ยงตัวหลบ เสียงไอกลบเสียงกรีดร้องในลำคอ
พอเห็นว่าแกล้งให้อีกฝ่ายได้สำเร็จ เสมียนก็หัวเราะชอบใจ
นายอากรโมโหไม่น้อย โมโหที่อีกคนแกล้งให้เขาตกใจ แล้วก็โมโหที่ตนเองหวาดกลัวเสียขนาดนั้น
“ทำอะไรของเจ้า” เขาสบถอย่างไม่พอใจ
“ก็ทำเช่นนั้นนั่นแล” เสมียนเอ่ยพลางหัวเราะ
นายอากรลูบลำคอของตัวเองไปมาก่อนจะได้สติขึ้นมา ทันในนั้นดวงตาก็เบิกโพลง
“จะฆ่าผู้แทนจากราชสำนักหรือ” เขาตะโกนลั่น
เสมียนหันไปสบตาเขา
นายอากรรีบยกมือปิดปาก
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” เขากดเสียงต่ำ “สมรู้ร่วมคิดฆ่าคน โทษหนักมหันต์”
“คนอื่นตาย ย่อมดีกว่าตนเองตายไม่ใช่หรือ” เสมียนเอ่ยเสียงเนิบ
นายอากรเหมือนราวกับเสียสติไป เอาแต่คลำลำคอของตัวเอง ไม่เอ่ยคำใด
“อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด คนตายไปสักคนก็ใช่ว่าต้องถูกฆ่าตายเสมอไป อาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้ ก็เหมือนตอนไฟไหม้คลังเมืองอู๋โจวอย่างไรเล่า” เสมียนเอ่ยอย่างเย็นใจ “หากพวกจะวางเพลิงคลังเมืองไท่ชางก็ย่อมได้ ทว่าละครฉากนี้คงดูออกง่ายจนเกินไป ทั้งมีทางหนีทีไล่ให้เจ้าบื้อแซ่เฝิงนั่นอีก เช่นนั้นแล้ว สู้…ไม่ดีกว่าหรือ”
“วางเพลิงศาลาพักม้าอย่างนั้นหรือ” นายอากรตอบออกไปตามสัญชาตญาณ
“หวังต้าช่างฉลาดหลักแหลมนัก แผนการดีนี่” เสมียนชี้นิ้วออกไปพลางเอ่ยเยินยอ
นายอากรปัดมือเขาไปอีกทาง
“ดีอะไรของเจ้า เฉาปาอย่ามาโยนความผิดให้ข้าหน่อยเลย ผู้ใดเป็นต้นคิด เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าวางใจเถิด หากทำเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดมาตามสืบเอาเรื่องได้หรอก” เสมียนเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะจัดท่านั่งขัดสมาธิ “ยามนี้อากาศแห้งนัก ศาลาพักม้าหลังน้อยแห่งนี้ก็ไม่ซ่อมบำรุงมานานหลายปี หากไฟไหม้ขึ้นมาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”
นายอากรนั่งนิ่งไม่เอ่ยคำใด
“ยิ่งไปกว่านั้น ก็แค่ไฟไหม้เบื้องบนคงไม่ส่งคนมาตามสืบให้มากความหรอก” เสมียนกดเสียงต่ำอีกครั้ง “เพราะคนจากราชสำนักฝากฝังกับคนที่ค่ายเสินปิงพวกนั้นไว้ก่อนหน้า ไม่อยากนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราจะสั่งการพวกเขาได้ตามใจหมายเช่นนี้หรือ เจ้าบื้อแซ่เฝิงนั่นก็ชอบเที่ยวสั่งคนไปทั่วอยู่แล้ว ย่อมมีคนไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว”
นายอากรพยักหน้า สีหน้าดูผ่อนคลายลงไม่น้อย
เสมียนยิ้มบางพลางยกถ้วยชาขึ้นมา
“จัดการเสียให้สิ้นซากที่ศาลาพักม้านั่นแล แยบยลที่สุดแล้ว” เขาเอ่ย ก่อนนิ่งไปครูหนึ่งแล้วกระซิบเสียงแผ่ว “ใต้เท้าสำนักขนส่งก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน”
ใต้เท้าสำนักขนส่ง!
นายอากรตาเบิกโพลง ก่อนรีบยกมือขึ้นมาป้องปาก ราวกับคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ออกมาจากปากของเขาเอง
“เพียงแต่ยามนี้ที่ศาลาพักม้ามีคนมากมาย… หากเกิดไฟไหม้ขึ้นมา จะควบคุมเพลิงไม่อยู่” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“ยิ่งร้ายแรงก็ยิ่งดีมิใช่หรือ หากบอกว่าอยากจะซ่อมแซมศาลาพักม้า ทางการคงไม่ยอมส่งเงินมาให้ ครั้นแต่จะให้ท้องที่ออกเงินเอง ท้องถิ่นจนอย่างกับอะไรดี เอาปัญหาที่ไหนไปซ่อม หากบอกว่าวันหน้าจะเกิดอุบัติเหตุ ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็รอไปเถอะ รอดูซิว่าราชเลขาจะทำเช่นไร จะให้เงินพวกเราหรือไม่” เสมียนเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
นายอากรเดาะลิ้น ราวกับพวกเขากำลังคุยกันคนละเรื่อง…
“รีบลงมือ กลางดึกคนนี้ยามที่คนกำลังอ่อนเพลียเป็นที่สุด จะราดน้ำมันจุดไฟก็ย่อมง่ายที่สุด ฉวยโอกาสตอนฟ้ายังไม่สาง ค่อยลงมือทำก็ยังได้” เสมียนเอ่ย ยกนิ้วขึ้นมาเคาะโต๊ะอย่างร้อนรน
นายอากรกัดฟันตบเข่าดังฉาด
“ได้ ลงมือตามที่ว่าก็แล้วกัน” เขายืนขึ้นพลางกัดฟันแน่น “ข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอันใดกับเขา เพียงแต่ผู้ใดใช้ให้เขามารับงานนี้กัน จะโทษก็โทษคนสั่งการนู่น”
อีกคนก็ลุกคนยืนตามกัน
“ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง จะได้ไม่มีช่องโหว่”
เสมียนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยรั้งเขาไว้
“ไปสืบที่ศาลาพักม้ามาหรือยัง วันนี้ไม่มีคนใหญ่คนโตเข้าพักใช่ไหม” เขาถาม
“ไม่มี ข้าสืบมาอย่างดี มีแต่ชาวบ้าน แล้วก็ขุนนางนอกรีดอีกไม่กี่คน เจ้าวางใจเถิด” นายอากรเอ่ย
เสมียนพยักหน้า มองดูนายอากรเดินออกจากประตูไป
ท่ามกลางความมืดมิดเหมือนมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาแต่ไกล