“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง

คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ

“มี…”

หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น

เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น

ประตูถูกเปิดออก

“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด

นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง

“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ

ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น

“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง

นายอากรส่งเสียงถุย

“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”

แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน

“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ

คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี

“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา

“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”

“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”

ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น

“ไฟไหม้!”

ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่

หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา

ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา

พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล

“รีบดับไฟ!”

ทุกคนพากันกรูเข้าไป

“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ

ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา

ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย

ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด

คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!

ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน

“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง

“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น

พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม

“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม

ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า

“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย

ทหารทั้งสี่พยักหน้า

“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา

“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”

“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ

ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที

นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน

ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา

มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้

หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

มีอันตรายจริงๆ ด้วย…

นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร

เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ

ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น

นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!

นางคิดจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ

ตายเสียเถิด…

วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด

ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ

นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก

พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ

นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า

แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!

เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว

“มานี่!”

เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี

เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน

นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ

นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา

เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป

ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง

“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง

สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด

เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

มีคนฆ่ากัน!

มีคนฆ่ากัน!

กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด

มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!

สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!

แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!

แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!

เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…

เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน

“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง

เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

มานี่…

ไม่เชื่อง…

เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…

ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ

“มีคนฆ่ากัน!”

เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด

ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง

โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่

ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง

แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู

ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด

ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด