ลูกธนูที่เหลือในมือของเฉิงเจียวเหนียงไม่ทันได้ยิงออกไปอีก พ่อบ้านเฉาก็ส่งคนฝ่าเข้าไปแล้ว
ทหารพวกนี้ในมือปราศจากอาวุธซ้ำยังเคยรับโทษกันมาแล้ว อีกทั้งถูกยิงตายไปสองคนในพริบตาเดียวก็ยิ่งขวัญกระเจิง ไร้ซึ่งแรงต่อต้านใดๆ
นี่เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ข้างกายยังไม่ค่อยรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
มีกลุ่มคนรอบข้างช่วยกันใช้ดินและกิ่งไม้มาตบใส่คนที่ถูกไฟให้ไฟมอดลง คนคนนั้นคงไม่น่ารอดแล้ว ไหม้จนแทบมองไม่ออกว่าเป็นคน แต่ผู้ติดตามตระกูลโจวก็ยังรู้ว่าคนคนนั้นคือใคร
“เป็นคนที่ปลุกปั่นให้ทหารขับไล่ชาวเมือง” ผู้ติดตามกระซิบบอก “ข้างกายมีไหน้ำมัน…”
พ่อบ้านเฉาจึงได้กระจ่างแจ้งขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“แม่นาง คนผู้นี้จะวางเพลิงฆ่าพวกเราหรือขอรับ” เขาถาม
“ไม่รู้ น่าจะใช่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยัดธนูใส่มือพ่อบ้านเฉา “ธุระที่เหลือท่านจัดการเอาเถอะ”
ไม่รู้ น่าจะใช่…
พ่อบ้านเฉานิ่งอึ้ง ก้มหน้ามองธนูในมือ
ไม่รู้แต่กล้ายิงคนตาย…
ยอมฆ่าผิดคนแต่จะไม่ปล่อยให้หลุดรอดแม้แต่คนเดียวเช่นนั้นหรือ
นี่มันการฆ่าคนเลยนะ!
ทว่าสำหรับนายหญิงแล้วการฆ่าคนนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรกระมัง
เพราะเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งผู้ติดตามของตระกูลโจวมีประสบการณ์จากเหตุไฟไหม้มากมายในเมืองหลวง ไม่นานก็ช่วยคนและดับไฟลงได้
ห้องที่มีโครงสร้างที่ทำจากไม้และดินในศาลาพักม้าอยู่ในสภาพทรุดโทรมมานานถูกไฟครอกจึงคุมได้ยาก แต่โชคดีที่ห้องที่ไหม้นั้นคือห้องสุดท้ายด้านบน มีผู้อาศัยไม่มาก ขณะหนีไฟจึงทำให้ด้านหน้าเบียดเสียดกันมาก
ดังนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้มีไม่มาก แต่ที่มากคือการบาดเจ็บจากการเหยียบกัน
เคราะห์ดีที่เฝิงหลิงที่อยู่ตำแหน่งต้นเพลิงนั้นหนีออกมาได้
เพราะตอนกลางคืนอากาศอบอ้าว เขานอนหลับได้ไม่ดีนัก แม้เป้าหมายของคนทำคือที่ที่เขาอยู่ เพลิงตรงนี้จึงแรงที่สุด แต่เขาที่ตื่นมาได้อย่างทันเวลาก็รีบโกยอ้าวไปยังหน้าประตู อีกทั้งผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ฝ่าเข้ามาแบกขึ้นหลังอย่างไม่กลัวอันตราย มีแค่แขนที่ถูกไม้ที่ตกลงมากระแทกโดนจนได้รับบาดเจ็บและสำลักควันจนเจ็บคอเท่านั้น ส่วนชีวิตปลอดภัยไร้ปัญหา
ยามที่ฟ้าสางไฟก็มอดลงแล้ว เพราะสิ่งที่เผาไหม้ได้ต่างไหม้ไปหมดแล้ว ทุกหนแห่งดำเป็นตอตะโก คนที่ตกใจและเหนื่อยล้าจากการดับไฟต่างล้มนอนกันบนถนนนอกศาลาพักม้า
เมื่อคืนมัวแต่ห่วงชีวิตตนอยู่จึงไม่ได้รู้สึกอะไรนัก มายามนี้รักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้วก็ไปนึกถึงทรัพย์สมบัติขึ้นมา จึงต่างพากันร้องห่มร้องไห้
ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง ผู้ติดตามสองนายพยุงเฝิงหลินเดินเข้ามา
เห็นชายหนุ่มที่เดินกะเผลกเข้ามานั้นมีผ้าพันระหว่างแขนกับคอ เสื้อผ้าดำเกรียมพอๆ กับใบหน้าที่ดำเหมือนก้นหม้อ กลับทำให้ผู้รอดชีวิตต่างเหมือนได้เห็นบรรพชายหนุ่มที่ยังมีชีวิต
“ใต้เท้า!” พวกเขาร้องไห้ตะโกนพลางเดินเข้าไปรับ
เหล่าชาวเมืองก็เห็นแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นขุนนางตำแหน่งใด แต่ภาพลักษณ์ที่รักชาวเมืองดั่งลูกหลานเมื่อคืนนี้กลับตราตรึงอยู่ในใจผู้คนไม่คลาย พวกที่ตื่นตะหนกตกใจจากภัยพิบัติมานั้นพอเห็นเขาเข้าก็พลันสงบลงมามาก
“ใต้เท้า!”
“ใต้เท้า!”
ชาวเมืองนับไม่ถ้วนต่างตะโกนร้องห่มร้องไห้เดินไปหาเขา
“เฝิงหลินตายหรือยัง”
ซูปั้น[1]ที่อยู่ภายในบ้านหลังหนึ่งของหมู่บ้านนั้นไม่ชักช้าอีกต่อไป เอ่ยถามขึ้นมาอย่างรีบร้อน
ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันแล้วส่ายหน้า
“เขาไม่ตายหรือ” ซูปั้นหน้าตาเขียวคล้ำ นั่งลงอย่างแรง “หวังต้าหลิวจงถูกคนฆ่าตายแล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว…เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้ยินคำว่าแย่แล้วของซูปั้นในใจก็พลันเย็นเยียบ ครั้งนี้ผิดหวังกว่าครั้งที่เห็นเหล่าพี่น้องดีดดิ้นทุรนทุรายตายไปอีก
“ก็ไม่แน่ ก็ไม่แน่” พวกเขารีบพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ไฟไหม้รุนแรงมาก เรารีบกลับมารายงานก่อน ไม่ได้อยู่ยืนยัน น่าจะตายแล้วกระมัง หนีออกมาไม่ได้หรอก เราจุดไฟทั้งสี่ด้านที่ห้องของเขาเลยนะ…”
“ไม่ว่าเขาจะตายหรือไม่ก็แย่แล้ว…แย่แล้ว หวังต้าหลิวจงถูกฆ่า ณ ที่นั้น ทหารก็ถูกจับไว้แล้ว…นี่ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว…” ซูปั้นส่ายหน้าพึมพำเอ่ยว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ ใครเป็นคนทำ เหตุใดจึงถูกคนฆ่าได้”
ชายหนุ่มทั้งสองแขนขาเย็นเฉียบ วางเพลิงฆ่าคน พวกเขาไม่เคยกลัว แต่คนที่หมดหนทางกลายเป็นพวกเขาเสียเอง รู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ
“ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” พวกเขาบอกด้วยเสียงสั่นๆ
พวกเขาอยู่ด้านหลังตลอด ตอนที่จุดไฟแล้วฝ่าออกมาก็เห็นขุนนางชั้นผู้น้อยล้มลงกับพื้นด้วยไฟที่แผดเผาไปทั่วร่าง พริบตาเดียวเท่านั้นขุนนางผู้เก็บภาษีก็ถูกธนูยิงทะลุคอ
พวกเขาเห็นเพียงว่าด้านนั้นมีคนยืนกันอยู่เยอะมาก แต่ยังไม่ทันดูให้ดีว่าเป็นใครก็หันหลังวิ่งกลับมาอย่างไม่คิดชีวิตแล้ว
“ยามนี้ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องพวกนี้แล้ว” ซูปั้นเอ่ยพลางจับโต๊ะเพื่อพยุงตัวไว้ด้วยใบหน้าซีดเผือด
รู้ว่าเป็นใครแล้วจะทำอะไรได้ ไปฆ่าหรือ
“ใต้เท้า ยามนี้ควรทำเช่นไรดี” ชายหนุ่มทั้งสองเอ่ยถามเสียงสั่น
ทำเช่นไรหรือ
“หนี!” เขาสบถออกมาคำหนึ่ง
หนี! รีบหนี!
เรื่องราวบนโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้ ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร ไม่มีทางเลือกที่สามให้เลือก
ยังดีที่เขาเป็นคนรอบคอบ ต่อให้เข้าใจเรื่องราวมากกว่านี้อีกก็ต้องเตรียมการไว้ให้พร้อมอยู่ดี
เขาได้ส่งคนในครอบครัวออกไปในที่ไกลหูไกลตาแล้ว ตัวเขายังพกเงินที่พอจะใช้ชีวิตได้ระยะหนึ่งไว้อีกด้วย
หมอกยามเช้าในสารทฤดูที่พัดผ่านกายแฝงไว้ด้วยความหนาวเย็น
ซูปั้นควบม้าไปตามทางเล็กๆ
ชนบทในยามเช้าตรู่ทั้งสงบเงียบและสบายใจ ชาวชนบทที่ตื่นแต่เช้า หมาที่เห่าอย่างบ้าคลั่งเป็นครั้งคราว ด้านหลังไม่มีทหารตามมา แต่จิตใจของเขากลับตระหนกไม่สบายใจซ้ำยังมีความผิดหวังแฝงอยู่
การหนีครานี้เขาไม่มีอะไรเลย
ไม่มีเฉาซูปั้นอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ไม่มีตระกูลเฉาของเมืองไท่ชางที่สืบทอดกันมาสามชั่วอายุคน
เทียบกับพวกใต้เท้าของถนนไท่ชางที่ตามล้างตามเช็ดต่ออย่างยากลำบากแล้ว เฉาซูปั้นอย่างเขายังนับว่ามีโชคอยู่บ้าง แต่เหตุใดในใจกลับยังคงอึมครึมมืดมิดเช่นนี้
พ่ายแพ้ได้อย่างไรกันนะ เหตุใดเรื่องจึงได้กลับตาลปัตรไปเช่นนี้
พ่ายแพ้ได้อย่างตายตาไม่หลับจริงๆ
ในทุ่งนายามเช้าตรู่นั้น ทั้งคนทั้งม้ากลับเหมือนหมาไร้บ้านที่ควบแล่นไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าต้องการจะเผาข้าให้ตายหรือ”
เฝิงหลินเอ่ยถามพลางมองไปยังคนทั้งสี่ที่ถูกมัดให้คุกเข่าตรงหน้า
“มะ…ไม่…ไม่ใช่พวกเรา” ทหารทั้งสี่รีบตะโกนตอบพลางพากันโขกหัวกับพื้น “พวกเราโดนสั่งมาขอรับ”
อย่างไรเสียทหารเล็กๆ อย่างพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรอยู่แล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตขึ้นมา สุดท้ายก็ต้องมีขุนนางชั้นผู้สูงมารับผิดชอบ ขอเพียงเบื้องบนต่อสู้กัน พวกเขาที่ต่ำต้อยเหมือนมดก็จะพอผ่อนผันได้ โบยสักทีลงโทษสักครั้งแล้วก็ไล่ออก เท่านี้เรื่องก็จบแล้ว
ชาวบ้านที่ได้ยินว่าไฟไหม้ครั้งนี้มีคนเจตนาวางเพลิงก็พลันโมโหเดือดดาลกันขึ้นมา
“เผาพวกเขาให้ตาย เผาพวกเขาให้ตาย!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มตะโกนขึ้นก่อน เสียงอีกหลายเสียงก็ยิ่งดังตามกันขึ้นมา ทั้งก้อนหิน กระบองไม้ต่างโยนเข้าใส่ให้วุ่น
“เป็นหลิวจงแห่งถนนไท่ชางเป็นคนสั่งพวกเรา” เหล่าทหารตะโกนบอก “เขาให้เงินเรามาเยอะมาก”
พวกเขาเพิ่งจะพูดจบก็ถูกพ่อบ้านเฉาถีบจนล้ม
“ไปตดให้มารดาเจ้าดมเถิด ขุนนางชั้นผู้น้อยของกองขนส่งถนนไท่ชางเล็กๆ นี้จะมาสั่งการพวกเจ้าที่เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ได้อย่างไร!” เขากร่นด่า “ไปหลอกคนโง่โน่นไป!”
พวกทหารต่างพากันร้องประท้วง
“หลิวจงล่ะ” เฝิงหลินถามขึ้น
พ่อบ้านเฉาโบกมือ ผู้ติดตามก็ยกหลิวจงที่ถูกเผาจนเป็นตอตะโกและอีกคนหนึ่งเข้ามา
ถูกเผาเสียอนาถ กลิ่นไหม้อบอวล ชาวเมืองที่ห้อมล้อมอยู่ทั้งอยากดูทั้งหวาดกลัว หลับตาปิดจมูกเบียดเสียดกันชะเง้อชะแง้มอง
“ยังดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้…”
“อะไรกัน บนตัวเขามีไหน้ำมันด้วย นี่มันคนจุดไฟชัดๆ…”
“กรรมตามสนอง!”
เฝิงหลินที่มีผู้ติดตามคอยพยุงอยู่ก็เข้าไปดูศพทั้งสองท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์
แม้ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่เฝิงหลินก็เข้าใจการลงโทษและเคยพิสูจน์ศพมาก่อน ดังนั้นจึงไม่กลัวและไม่สบายตัวอะไร ซ้ำยังนั่งยองๆ มองศีรษะของศพที่ไหม้เกรียมอย่างละเอียด มือเขาขยับคราหนึ่ง บริเวณลำคอของศพก็ปรากฏธนูเหล็กดอกหนึ่งให้เห็น
เป็นไปอย่างที่คิดไว้…
เฝิงหลินเงยหน้ามองพ่อบ้านเฉาที่อยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้
พ่อบ้านคนนี้แม้จะรูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่ก็ร่างหนาแข็งแรง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ยามนี้เขากำธนูเอาไว้
“ฝีมือธนูดี” เฝิงหลินเอ่ยชม
พ่อบ้านเฉาประสานมือคำนับ
“ขอบคุณใต้เท้าที่ชื่นชม” เขาอมยิ้มเอ่ยขึ้น
ผู้ติดตามทั้งสองที่ได้ยินก็พลันตะลึงพลางมองไปยังพ่อบ้านเฉา
นภาสว่างเจิดจ้า ไกลออกไปมีเสียงเกือกม้าดังขึ้น
“ใต้เท้า คนของส่วนราชการที่อยู่ใกล้ๆ นี้ต่างมาถึงแล้ว ทหารและม้าของถนนไท่ชิงก็มาด้วยขอรับ” องครักษ์ที่ควบม้ามาลงจากม้าละล่ำละลักบอก
ไม่ไกลนักมีคนนับร้อยรวมตัวกันเป็นทิวแถว
เกิดเพลิงไหม้ที่ศาลาพักม้า เผาขุนนางในราชสำนักตาย ซ้ำยังมีชาวเมืองอีกกลุ่มใหญ่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ถึงชีวิต ขุนนางน้อยใหญ่ที่อยู่เมืองใกล้ๆ ต่างเร่งรุดกันมา ระหว่างทางยังเจอเข้ากับขุนนางทหารสวมชุดเกราะท่าทางสง่าผ่าเผยและมีไอสังหารแผ่ไปทั่วก็ยิ่งตกอกตกใจใหญ่
แม้จะยังไม่ถึงที่เกิดเหตุ แต่เหล่าขุนนางที่ละเอียดรอบคอบต่างกระจ่างแจ้ง นี่เป็นฝีมือคน ไม่ใช่ภัยจากธรรมชาติแน่นอน
พอได้มาเห็นสภาพอเนจอนาถของที่เกิดเหตุแล้ว ทุกคนก็ต่างตกตะลึง ไม่ว่าจะเสียใจจริงๆ หรือแกล้งทำ พวกเขาล้วนมีท่าทางโศกเศร้ากันอย่างสุดแสน
“นี่คือคนร้ายที่วางเพลิง พวกเจ้ามาดู คุ้นหน้าหรือไม่” เฝิงหลินเอ่ยขึ้นเสียงแหบแห้ง
พวกขุนนางผลักกันไปมา สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้จึงจำต้องเข้าไปดู พอเห็นคนที่นอนอย่างชัดเจนแล้วก็ต่างพากันสูดหายใจลึก
“รู้จักหรือไม่” เฝิงหลินถามเสียงเย็นชา
“มะ…ไม่รู้จัก” ทั้งสามต่างก้มหน้าเอ่ยตอบ
เฝิงหลินส่งเสียงถุยออกมา
“ใต้เท้า ที่นี่อันตรายอยู่นานไม่ได้ โปรดไปพักที่ค่ายไท่ชิงของพวกเราก่อนเถิด” ขุนนางทหารนายหนึ่งลงม้ามาบอกพลางคำนับให้เฝิงหลิน จากนั้นก็ “ท่านลุงเฝิงซื่อ ข้าอยู่กองเดียวกันกับฉางชิง”
เฝิงหลินพินิจดูเขาแล้วพยักหน้า
“คงเป็นจงชิ่ง จงจื่อเจี้ยนหรือ” เขาเอ่ยถาม
“หลานเองขอรับ” ขุนนางทหารนายนั้นคำรับอีกรอบ
“ก่อนเดินทางฉางชิงเคยพูดถึงเจ้ากับข้า” เฝิงหลินบอกเสียงแหบ
“พี่ฉางชิงก็เขียนจดหมายถึงข้าเช่นกัน ข้าผิดเองที่ไม่รู้ว่าท่านลุงซื่อซูมาที่นี่ จึงไม่ได้มาคุ้มกันได้ทันเวลา…ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้…” ขุนนางทหารสีหน้าละอายใจ
เฝิงหลินหัวเราะเสียงเย็นออกมา
“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดที่ไร้ความระมัดระวังของเจ้า นี่เป็นความผิดของคนกลุ่มหนี่งที่มันกำเริบเสิบสาน” เขาเอ่ย
ขุนนางทหารไม่พูดอะไรอีกแล้วเชิญเขาให้กลับค่ายทหารไปกับตนอีกครั้ง
“ไม่ ข้าไม่ไป” เฝิงหลินบอก “ข้าจะรออยู่ที่นี่ รอให้คนมาเห็น รอให้ฝ่าบาทได้เห็น…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ผลักผู้ติดตามออก เดินกะเผลกไปยังศาลาพักม้าที่ยังเหลือซากจากเพลิงอยู่
“ใต้เท้าระวัง”
ขุนนาง ผู้ติดตามและองครักษ์ต่างตะโกนกำชับ
เฝิงหลินยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ปล่อยผมแผ่สยาย อาภรณ์มอมแมม หน้าดำเป็นถ่าน หันกลับมาด้วยท่าทางจนตรอก ใช้แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บชี้ไปรอบทิศ
“ให้คนทั้งใต้หล้ามาดู! ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่!”
“ให้คนทั้งใต้หล้ามาดู! ไอ้พวกรับสินบาทคาดสินบนกระทำผิดกฎหมายมันบ้าระห่ำกันอย่างไร!”
“ข้าจะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น ให้พวกถนนไท่ชางส่งสมุดบัญชีมาให้ข้า! ข้าจะนั่งอยู่บนซากปรักหักพังพวกนี้ แล้วก็ พวกเจ้าไปทำโลงศพมาโลงหนึ่งให้ข้า…”
“…ข้าจะเอาอย่างฮั่นว่อหู่[2] ดูถนนไท่ชางไปกับโลงศพ!”
เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดังมากนัก แต่คนฟังกลับปวดหูเหมือนแก้วหูสั่น
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างมอมแมมที่ยืนอยู่ในซากปรักหักพังท่ามกลางแสงยามเช้าที่เพิ่งจะสาดส่องขึ้น กลับไม่ได้น่าตลกขบขันเช่นนั้น ตรงกันข้ามกลับแยงตาระยิบระยับจนไม่กล้ามองตรงๆ
…………………………..
[1] ซูปั้น ขุนนางด้านอักษร
[2] ฮั่นว่อหู่ ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตงซวน ผู้ปกครองเมืองลั่วหยาง เข้ารับตำแหน่งด้วยโลงศพสีดำทาสีใหม่ เพื่อแสดงถึงลั่วหยางเป็นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ขุนนางมาชุนนุม หากขุนนางที่ทุจริตได้รับโทษอย่างเด็ดขาดก็ยากที่จะเลี่ยงการทำให้ราชวงศ์ไม่พอใจ ก่อให้เกิดการถูกสังหารขึ้นได้ ดังนั้นจึงได้ยอมตายในหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง เอาโลงศพขึ้นรับตำแหน่งด้วย ไม่เกรงต่อเหล่าขุนนางที่มีอำนาจในเมืองหลวงและราชวงศ์ เรียกว่า ‘ว่อหู่’