เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อนางชอบเป็นที่สนใจขนาดนี้ หากข้าเป็นเจ้า จะยุยงให้อู๋ซื่อส่งขนมแป้งข้าวนึ่งไปให้ทุกจวน จะให้ดีที่สุดก็ช่วงเทศกาลเก้าคู่ของเดือนเก้านี้ ไปบอกโรงครัวที่เรือนชั้นนอกเป็นการส่วนตัวให้ทำขนมแป้งข้าวนึ่งเป็นของว่างของงานเลี้ยงในวันนั้นด้วย แล้วให้นำขนมแป้งข้าวนึ่งที่อู๋ซื่อเป็นคนทำมาขึ้นโต๊ะก่อน พอทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ก็ค่อยนำขนมแป้งข้าวนึ่งที่โรงครัวทำมาขึ้นโต๊ะ อาหารที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกทำส่วนใหญ่ล้วนเป็นรสชาติที่ถูกปากคนในจวนของพวกเราทั้งสิ้น อีกทั้งสาวใช้ของเจ้าก็เคยไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับนางมาก่อน คิดจะใช้เรื่องพวกนี้เป็นอุบายช่างง่ายดายเกินไปแล้ว อู๋ซื่อเสียหน้าในครั้งนี้แล้ว ต่อไปก็ไม่กล้าทำตัวเรียกร้องความสนใจง่ายๆ เช่นนี้อีกแล้ว”
โจวเสาจิ่นปรบมืออย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวอย่างยินดีว่า “ความคิดนี้ดีเจ้าค่ะ!” ทว่าหลังจากนั้นกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกเราเล่นงานอู๋เป่าจางเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
นางเติบโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยขุดหลุมล่อผู้ใดมาก่อนเลยสักครั้ง
เฉิงฉือกล่าว “คนเช่นนาง เจ้าสั่งสอนนางหนึ่งครั้ง นับจากนี้ไปนางก็จะไม่มายุ่งกับเจ้าอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
แน่นอนว่าไม่ใช่
ชาติก่อน นางอดทนมาหลายต่อหลายครั้ง ต่อมาก็เคยใช้อุบายตลบหลังนางเหมือนกัน แต่อู๋เป่าจางไม่เพียงไม่หยุดและปล่อยนางไป กลับยิ่งถากถางเยาะเย้ยนางมากขึ้น เนื่องจากพวกผู้ใหญ่ล้วนคิดว่าอู๋เป่าจางเป็นคนอ่อนโยนโอบอ้อมอารี ทำให้แม้แต่จะฟ้องนางก็ยังทำไม่ได้ ต่อมาจึงเลิกไปมาหาสู่กับอู๋เป่าจาง ยังข่มขู่มิให้เฉิงเจียไปมาหาสู่กับอู๋เป่าจางด้วย เฉิงเจียเห็นว่านางไม่ชอบอู๋เป่าจางจริงๆ จึงค่อยๆ ออกห่างจากอู๋เป่าจางไปด้วย
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่ก็คือการชมให้ตายใจก่อนแล้วค่อยบดขยี้ทีหลัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
แต่วิธีการเช่นนี้คงมีแต่ท่านน้าฉือที่ทำได้กระมัง
แววตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ กล่าวขึ้นว่า “แต่ข้าจะให้คนที่โรงครัวทำตามที่ข้าต้องการได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “ไปคิดหาวิธีเอาเอง”
เขาแสดงออกทางสีหน้าว่าช่วยไม่ได้ ทำให้ใจของโจวเสาจิ่นเต้นตึกตัก
นางหัวเราะคิก แววตาสุกใส ดูน่ารักอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะบอกว่าท่านน้าฉือให้ข้าไปบอกพวกเขาเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านางจะตอบตัวเองเช่นนี้ ตกตะลึงไปเล็กน้อย
นับตั้งแต่เขาเริ่มดูแลกิจการมา ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่แอบอ้างใช้ชื่อเขาไปทำเรื่องต่างๆ แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้ามาบอกเขาต่อหน้าอย่างโจวเสาจิ่น และยิ่งไม่มีใครสักคนที่นอกจากจะไม่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจแล้ว ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสนุกได้เหมือนกับโจวเสาจิ่น
“ได้!” เขากล่าวด้วยท่าทางโอบอ้อมอารีมีน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง “ขอเพียงเจ้าทำให้คนที่โรงครัวเชื่อว่าเป็นความคิดของข้าได้”
โจวเสาจิ่นยิ้มเจ้าเล่ห์
ช่วงเวลาที่ได้มาอยู่ที่จวนหลัก ทำให้นางได้เรียนรู้และเข้าใจคำกล่าวอันโด่งดังที่ว่า ‘กฎตายแต่คนเป็น[1]’ นั้นได้เป็นอย่างดี
ตามหลักแล้ว หากคนจากเรือนชั้นในต้องการให้โรงครัวที่เรือนชั้นนอกทำอะไรให้ จะต้องมีป้ายชื่อถึงจะทำได้ แต่บรรดาพ่อครัวแม่ครัวใหญ่ที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกเหล่านั้นแต่ละคนต่างมีสมุดบัญชีอยู่ในใจกันทุกคน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อยู่ในบัญชีนั้น พ่อครัวแม่ครัวใหญ่เหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ยินดีที่จะทำเรื่องต่างๆ ให้คุณหนูรองที่ ‘อาศัยอยู่ใต้ชายคา’ จวนหลักผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ถึงเวลานั้นนางเพียงบอกไปว่าตนอยากจะแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่สิ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นบอกว่าต้องการแสดงความกตัญญูต่อท่านน้าฉือ ให้ชุนหว่านนำเงินไปให้คนที่โรงครัวทำขนมแป้งข้าวนึ่งมาขึ้นโต๊ะสักจานหนึ่ง ยังไม่เคยมีใครที่โรงครัวเข้มงวดขนาดนั้นมาก่อน
ต่อให้หลังจบเรื่องแล้วมีคนถามขึ้นมา นางมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนหนุนหลังอยู่ พ่อครัวแม่ครัวใหญ่เหล่านั้นโดยมากก็น่าจะปิดปากเงียบกันหมด
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วเกรงว่าชื่อเสียงของนางท่ามกลางบ่าวรับใช้ทั้งหลายคงจะไม่ค่อยดีแล้ว
แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางออก
ตอนจัดรายการอาหารก็แค่เพิ่มเข้าไป
เช่นนี้ผู้อื่นก็จะเข้าใจว่าขนมแป้งข้าวนึ่งสองจานนั้นถูกนำมาขึ้นโต๊ะพร้อมกันโดยบังเอิญเท่านั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าความคิดนี้ดียิ่งนัก
นางเล่าความคิดนี้ของตัวเองให้เฉิงฉือฟังอย่างแทบจะทนรอไม่ไหว
ในที่สุดเด็กน้อยผู้นี้ก็รู้จักใช้สมองขบคิดแล้ว
ในดวงตาของเฉิงฉือมีแววพึงพอใจ กล่าวยิ้มๆว่า “ไม่เลวๆ! เห็นได้ชัดว่าหยกนั้นหากไม่แกะสลักก็ใช้การไม่ได้!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวเสียงสูงว่า “นั่นก็เพราะว่าทำตามความคิดของท่านอย่างไร!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดี๋ยวนี้ยิ่งอยู่นางก็ยิ่งไม่อยากให้เฉิงฉือมองนางเป็นเด็กน้อยอีกแล้ว
เฉิงฉือย้ำเตือนนางว่า “เจ้าไปยุยงอู๋ซื่อผู้นั้นเป็นการส่วนตัวก็พอ อย่าให้ผู้อื่นเห็น ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็ไปปรึกษาฝานหลิวซื่อแม่นมของเจ้าผู้นั้น ข้าเห็นนางค่อนข้างมีไหวพริบเวลาอยู่กับผู้อื่น แล้วก็จะได้ทดสอบนางด้วยพอดีว่าเป็นที่พึ่งได้หรือไม่”
แน่นอนว่าฝานหลิวซื่อเป็นคนที่พึ่งพาได้ที่สุดแล้ว!
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “แต่ว่า พี่ชายเก้าแต่งงานในวันที่สิบเดือนเก้า ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า เทศกาลเก้าคู่ของปีนี้ทุกคนไม่ต้องมารวมกันแล้ว ให้แต่ละจวนฉลองของตัวเองไป จึงจัดการเรื่องนี้ในวันเทศกาลเก้าคู่ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ…แล้วข้าก็กำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้กดทับงานของพี่ชายเก้า นางจึงไม่เฉลิมฉลองวันเกิดในปีนี้แล้ว ยังให้ข้าไปช่วยงานที่เรือนเจียซู่ตั้งแต่เช้าอีกด้วย ท่านว่าตอนเช้าพวกเรากินบะหมี่อายุยืนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วค่อยออกไปหรือว่าตอนเย็นค่อยกลับมาจัดงานฉลองวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีเจ้าคะ วันแต่งงานจริงคือวันที่สิบ คาดว่าเย็นวันที่เก้าพวกเราน่าจะกลับเร็วได้เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือฟังนางพูดเจื้อยแจ้ว รู้สึกว่าห้องหนังสือที่เงียบเชียบดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขาอดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าพวกเรากินบะหมี่อายุยืนเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยไปที่เรือนเจียซู่ ตอนกลับมาช่วงเย็นก็ค่อยจัดงานเลี้ยงฉลองให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง ให้คนที่บ้านได้สนุกสนานกันเองก็พอ”
ถึงตอนนั้นผลสอบของการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูก็คงประกาศออกมาแล้ว งานแต่งระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นก็น่าจะกำหนดลงมาแล้วเช่นกัน ประจวบเหมาะกับที่เขาส่งหยวนซื่อและเฉิงสวี่ไปจิงเฉิงพอดี เด็กน้อยก็จะได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจสักมื้อหนึ่ง
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้าติดๆ กันไม่หยุด ขยับเข้าไปใกล้เบื้องหน้าของเฉิงฉืออย่างระมัดระวัง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านเตรียมของขวัญอะไรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือเห็นแล้วก็นึกสนุก ก้มหน้าลงอย่างระมัดระวังเลียนแบบท่าทางของนาง กระซิบกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก! หากข้าบอกเจ้า แล้วเจ้าไปซื้อของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าเลียนแบบข้า แล้วนำไปมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนข้า ข้าจะทำอย่างไร”
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ ถึงได้เข้าใจว่าเฉิงฉือกำลังหยอกเย้านางเล่นอยู่
ใจของนางลิงโลดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระซิบกล่าวน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านน้ากลัวว่าข้าจะขโมยความคิดของท่านอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกำลังจะอ้าปากพูด ชิงเฟิงก็เข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ คุณชายใหญ่มาขอรับ บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่าน”
โจวเสาจิ่นตะโกนอยู่ในใจไม่หยุดว่า เกลียด
เวลานี้จึงไม่อาจคุยกับท่านน้าฉือต่อแล้ว!
สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น ไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปากก็กระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!” จากนั้นก็วิ่งออกจากประตูหลังไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองแล้วก็หัวเราะพร้อมกับส่ายศีรษะไม่หยุด
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ อยู่ต่อหน้าเขาแต่ก็ไม่คิดจะสวมหน้ากากบ้างเลยสักนิด
เขายิ้มพร้อมกับบอกให้ชิงเฟิงเชิญเฉิงสวี่เข้ามา
ไม่นาน เฉิงสวี่ที่สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อน เดินเข้ามาด้วยกิริยาท่าทางองอาจและสง่างาม
“ท่านอาสี่!” เขาทำความเคารพเฉิงฉือ นัยน์ตาฉายแววสับสนพลางกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้า…ข้าเหมือนกับว่าจะเห็นคุณหนูรองตระกูลโจว…”
ห้องหนังสือของเฉิงฉือมีประตูหลัง ทว่าเรือนหลีอินกลับไม่มีประตูหลัง จะเข้าจะออกจึงต้องเดินผ่านประตูหรูอี้จากทางด้านหน้าเท่านั้น
โจวเสาจิ่นคงรีบร้อนเกินไป ถึงแม้จะไม่ได้เจอเฉิงสวี่เข้าอย่างจัง แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยให้เฉิงสวี่เห็นเข้าจนได้
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “นางมาหาข้าเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง”
เฉิงสวี่ยังคงรอคอย
ทว่าไม่มีคำพูดต่อจากนั้นแล้ว
เขาอดไม่ได้กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวมาหาท่านด้วยเรื่องอะไรหรือขอรับ แล้วนางมาหาท่านได้อย่างไรขอรับ”
ท่าทางนั้น ราวกับว่าโจวเสาจิ่นไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร”
เฉิงสวี่กลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ที่ผ่านมาเฉิงฉือก็เย็นชาเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว
เขากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ท่านอาสี่ ตอนข้าอยู่ที่จิงเฉิงได้พบกับใต้เท้าหมิ่น หมิ่นเจี้ยนสิงคุณชายใหญ่ของตระกูลหมิ่น เขาชื่นชมท่านเป็นอย่างมาก หลายวันก่อนยังเขียนจดหมายมาให้ข้า บอกให้กล่าวทักทายท่านแทนเขาด้วย บอกว่าหากท่านได้เข้าเมืองหลวง ต้องไปเป็นแขกที่บ้านของเขาให้ได้ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องใต้เท้าหมิ่น ท่าน…” เสียงเขาหยุดไปครู่หนึ่ง “ท่านช่วยพูดต่อหน้าใต้เท้าหมิ่นให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ…”
เฉิงฉือไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงมองคนอย่างเงียบๆ เพียงอย่างเดียว
นัยน์ตาที่นิ่งสงบนั้นเฉยชาจนไม่ไหวติง
เฉิงสวี่ยกจอกชาขึ้นมาดื่มติดๆ กันสองสามคำอย่างกระวนกระวาย
เฉิงฉือจึงถามเขาว่า “เจ้ารู้เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตั้งใจจะเก็บโจวเสาจิ่นไว้ที่เรือนเจียซู่ได้อย่างไร!”
เฉิงสวี่ตกใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นยืนในทันใด เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ไม่มีเรื่องเช่นนั้นขอรับ!”
“อ้อ!” เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น กล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง ครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้าทาบทามการแต่งงานนี้ให้เฉิงอี้โดยที่ไม่ได้ปรึกษาข้า ยังเข้าใจว่าเป็นความคิดของมารดาเจ้าเสียอีก คิดไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นเจ้าที่เขียนจดหมายไปให้มารดาของเจ้า ยุยงให้บิดาของเจ้าเป็นพ่อสื่อให้เฉิงอี้ ข้าสงสัยว่าเป็นผู้ใดที่พอรู้ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวอาจจะได้แต่งกับเฉิงอี้แล้วเอาไปรายงานเจ้า”
เฉิงสวี่ปิดปากแน่น ไม่เอ่ยคำใด
ดวงตาของเฉิงฉือเผยความดูแคลนออกมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เป็นเฉิงลู่ที่บอกเจ้าใช่หรือไม่”
ถ้าหากมิใช่เพื่อปกปิดฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค้นพบว่าเฉิงสวี่พึงใจโจวเสาจิ่นแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะจัดการบัญชีที่ยุ่งเหยิงนี้ไปแล้ว!
เฉิงสวี่ก้มหน้าลง
ยอมรับอย่างเงียบๆ
เฉิงฉือมองแล้วได้แต่รู้รำคาญใจ
ดูทีว่าตนคงจะให้ค่าเฉิงสวี่สูงไปและประเมินเฉิงลู่ต่ำเกินไป!
เนื่องจากมีอู๋เป่าจางช่วยเหลือ เรื่องที่เฉิงลู่อาจจะสืบข่าวได้นั้นเขาก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าในขณะที่เฉิงลู่มาถึงทางตัน อยู่ในสภาพย่ำแย่นั้นแล้วยังจะมีแก่ใจไปสร้างความปั่นป่วนให้เฉิงสวี่ ให้เฉิงสวี่รู้เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตั้งใจจะจับคู่โจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเขียนจดหมายไปปรึกษาหยวนซื่อ ขอความช่วยเหลือจากหยวนซื่อ
หยวนซื่อยิ่งไปกันใหญ่ เพื่อปลอบประโลมให้เฉิงสวี่สงบแล้ว ก็ยุยงพี่ชายใหญ่อย่างเฉิงจิงให้ออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้เฉิงอี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เอาการแต่งงานของหญิงสาวหนึ่งคนมาทำเป็นเรื่องเล่นๆ นางเคยคิดถึงความรู้สึกของโจวเสาจิ่นบ้างหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าที่ชาติก่อนโจวเสาจิ่นหนีออกจากตระกูลเฉิงนั้นก็มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล
แต่นี่ก็ยังมิใช่จุดที่ทำให้เขาโมโหมากที่สุด
เฉิงลู่กับเฉิงสวี่เป็นอริกัน ก็เป็นธรรมดาที่เฉิงลู่จะหาวิธีเล่นงานเฉิงสวี่ ส่วนหยวนซื่อกับเฉิงสวี่เป็นแม่ลูกกัน การช่วยเหลือบุตรชายก็เป็นเรื่องที่สมควร
ที่ทำให้เขาโมโหมากที่สุดก็คือพี่ชายใหญ่อย่างเฉิงจิง!
เขาเคยกำชับเฉิงจิงครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าไม่ต้องออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้เฉิงอี้ด้วยตัวเอง ตนมีแผนสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่พอเฉิงจิงถูกภรรรยาที่ร่วมหมอนเป่าหูครั้งหนึ่ง ก็โยนคำกำชับของเขาทิ้งไป ลงมือจนกระดานหมากยุ่งเหยิง!
ตอนนี้การแต่งงานระหว่างโจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้ล้มไม่เป็นท่าแล้ว หยวนซื่อจะต้องพูดเรื่องเกี่ยวดองกับตระกูลหมิ่นขึ้นมาอีกครั้งในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเฉิงสวี่ต้องไม่ยินยอม
เขาอยากดูนัก ว่าหยวนซื่อจะทำอย่างไร
เฉิงฉือรู้สึกผิดหวังโดยที่พูดออกมาไม่ได้
มารดาเคยให้พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองกล่าวสาบานต่อหน้าบิดา ว่าชีวิตนี้และชาตินี้จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี!
แต่อยู่ต่อหน้าหยวนซื่อ ท้ายที่สุดพี่ชายใหญ่ก็ไม่ได้ยึดมั่นต่อเรื่องที่ตัวเองเคยรับปากเอาไว้
ทันใดนั้นในหัวของเฉิงฉือก็มีภาพของโจวเสาจิ่นที่ยืนพิงบานประตูแล้วยื่นหน้าเข้ามาครึ่งหนึ่งพร้อมกับลอบสำรวจตนอย่างระมัดระวังลอยขึ้นมา…ในใจของเขาพลันรู้สึกว่ามีความอบอุ่นหนึ่งไหลผ่าน
บางทีบนโลกใบนี้ อาจจะมีเพียงเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวเขาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นคนเพียงคนเดียวที่ไม่เคยสงสัยในตัวเขามาก่อนเลยสักครั้ง
สายตาที่เฉิงฉือมองเฉิงสวี่เย็นชาขึ้นมาหลายส่วนอีกครั้ง
เขาถามเฉิงสวี่เสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นเจ้าคงรู้เจตนาของเฉิงลู่กระมัง”
……………………………………………………………………….
[1] กฎตายแต่คนเป็น เปรียบเปรยถึงการใช้ชีวิตของคนควรจะยืดหยุ่นและปรับเปลื่ยนไปตามสถานการณ์