เฉิงสวี่คิดว่าตัวเองรู้
เฉิงลู่พึงใจโจวเสาจิ่น แต่โดยการจัดเตรียมของผู้ใหญ่แล้วโจวเสาจิ่นกลับต้องแต่งให้เฉิงอี้ เฉิงลู่ร้อนใจ ถึงได้มาหาเขาเพื่อร่ำสุราและบอกเขา
แต่คำพูดเหล่านี้เขาไม่อาจบอกเฉิงฉือได้
อารมณ์ของเฉิงฉือเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้มาโดยตลอด เขาไม่อาจมั่นใจว่าเฉิงฉือจะยืนอยู่ข้างเดียวกับเขา
เขาก้มศีรษะลงต่ำมากยิ่งขึ้น พึมพำกล่าวว่า “ท่านอาสี่ ที่ข้ามาหาท่าน ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขอรับ! ข้าฟังจากน้ำเสียงของท่านแม่แล้ว ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งกับบุตรสาวของตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยน…”
เฉิงฉือมองเฉิงสวี่อย่างตั้งใจ ทันใดนั้นรู้สึกไม่อยากฟังเฉิงสวี่พูดต่อไปอีก
บางเรื่อง สิ่งที่รู้กับที่พูดออกมาเป็นคนละเรื่องกัน
เฉิงสวี่ชอบโจวเสาจิ่น ไม่อยากแต่งกับหญิงสาวของตระกูลหมิ่น เรื่องนี้เขารู้ดี แต่เขาไม่อยากถกปัญหานี้กับเฉิงสวี่ ยิ่งไม่อยากใช้ตำแหน่งอาไปช่วยตัดสินปัญหานี้ให้เฉิงสวี่
เขาจึงตัดบทคำพูดเฉิงสวี่ในทันที กล่าวเสียงเคร่งว่า “ข้าถามเจ้าว่า เจ้ารู้เจตนาของเฉิงลู่หรือไม่”
น้ำเสียงของเฉิงฉือเย็นชาไร้ความรู้สึก เฉิงสวี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างตกตะลึง
“เจ้าเป็นคนมียศมีตำแหน่งแล้ว แต่เหตุใดคำพูดและการกระทำกลับไม่มีความรอบคอบเสมือนเป็นเด็กที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือก็ไม่ปาน!” เฉิงฉือกล่าวตำหนิเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “หากไร้ซึ่งเหตุและผล เฉิงลู่จะมาเอ่ยเรื่องของคุณหนูรองตระกูลโจวต่อหน้าเจ้าทำไม เจ้าไม่คิดจะใช้สมองขบคิดสักหน่อยเลยหรือ เจ้าคงไม่คิดว่าเขาทำไปเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวหรอกกระมัง”
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ!
เฉิงสวี่มองเฉิงฉือ สีหน้าดูสับสนงงงวยเล็กน้อย
พี่ชายใหญ่ให้กำเนิดบุตรชายเช่นนี้มาผู้หนึ่ง!
เฉิงฉือรู้สึกอนาถใจ ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้นว่า “เฉิงลู่แอบหนีกลับมาจากสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
“ทราบขอรับ” เฉิงสวี่กล่าวเสียงเบา “เขาบอกว่ามารดาไม่สบาย…”
“ความกตัญญูรู้คุณมาก่อนทุกเรื่องทั้งหมด” เฉิงฉือกล่าว “ต่อให้เป็นหัวหน้าขุนนางในราชสำนักเมื่อมารดาป่วยเสียชีวิตก็ต้องกลับบ้านมาเพื่อไว้ทุกข์ สำนักศึกษาเย่ว์ลู่เป็นหนึ่งในสี่สำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน สอนหลักคำสอนของข่งเมิ่ง[1] หากมารดาของเขาป่วย สำนักศึกษาจะไม่อนุญาตให้เขากลับมาดูแลได้อย่างไร!”
เฉิงสวี่พลันตะลึงงัน
แค่เขาได้ยินว่าโจวเสาจิ่นต้องแต่งให้เฉิงอี้ก็ร้อนใจแล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปพิจารณาเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น!
เฉิงฉือจึงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรัก กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวกำลังจะหมั้นหมายกับเฉิงอี้ ถ้าหากว่าข่าวคราวที่เจ้าให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปขัดขวางการแต่งงานในครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เจ้าลองพูดมา ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวจะเป็นอย่างไร”
คงจะถูกผู้คนด่าว่าเป็นสตรีหลายใจ! เป็นนางจิ้งจอกล่อลวงบุรุษ! กระทั่งอาจจะมีข่าวลือว่ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจเผยแพร่ออกมาได้
มีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากของเขา
เฉิงฉือกล่าว “คุณหนูรองตระกูลโจวอาจถูกส่งตัวกลับไปที่เมืองเป่าติ้ง”
หากเป็นเช่นนั้น เฉิงลู่ก็จะมีโอกาสไปสู่ขอโจวเสาจิ่น
เขาหลงเชื่อคำพูดของเฉิงลู่ไปได้อย่างไร
เฉิงสวี่ทั้งเสียใจและโกรธเกลียด อยากจะวิ่งไปหาเฉิงลู่ที่ตรอกฉุนอี้เพื่อถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่เสียเดี๋ยวนี้
เขากล่าวกับเฉิงฉือเสียงแหบพร่าว่า “ท่านอาสี่ ท่านไม่ต้องพูดแล้วขอรับ ข้ารู้ว่าข้าถูกหลอกเข้าให้แล้ว เฉิงลู่ผู้นั้นยังไม่ถอดใจจากคุณหนูรองตระกูลโจว ดังนั้นถึงได้คิดแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกตัวนี้ขึ้นมา…”
กล่าวไปกล่าวก็ยังคงเป็นเรื่องหึงหวงชิงรักหักสวาทอยู่ดี!
เฉิงฉือหลับตา ทันใดนั้นก็นึกถึงคำที่แม่นมกล่าวขึ้นมาตอนเป็นเด็กประโยคหนึ่งที่ว่า ช่างเปล่าประโยชน์ประหนึ่งส่งสายตาให้คนตาบอดดู!
เขาไม่มีอารมณ์จะพูดต่อแล้ว
หลังจากที่ค้นพบว่าคนที่ไปเป่าหูเจ้าเมืองอู๋คือตนแล้ว เฉิงลู่ผู้นั้นคงคิดว่าเป็นโจวเสาจิ่นมาพูดให้ร้ายต่อหน้าเขา ก็เลยคิดจะกำจัดโจวเสาจิ่นออกไปจากซอยจิ่วหรู หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้โจวเสาจิ่นมาพูดให้ร้ายต่อหน้าเขาอีก และสองเพื่อเปิดโปงเรื่องที่เฉิงสวี่พึงใจโจวเสาจิ่น ให้จวนหลักระมัดระวังโจวเสาจิ่น หลังจากที่ส่งโจวเสาจิ่นออกจากจวนไปแล้วเขากับนางก็จะค่อยๆ เหินห่างกันไป เช่นนี้ไม่ว่าเฉิงลู่จะแก้แค้นโจวเสาจิ่น หรือว่าจะจับโจวเสาจิ่นให้มั่นก่อนแล้วมาต่อรองกับตน ล้วนดีกว่าการที่โจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่จวนหลักตลอดโดยไม่ออกไปไหนเลยเช่นนี้
ในใจของเฉิงฉือเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เขาโบกมือ กล่าวกับเฉิงสวี่ว่า “เจ้าไปคิดให้ถี่ถ้วนว่าที่ข้าพูดมานั้นถูกต้องหรือไม่” กล่าวจบ ก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องหนังสือโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
เฉิงสวี่เบิกดวงตาโพลง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่สติคืนกลับมา
นี่ท่านอาสี่เป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังพูดดีๆ อยู่เลย แต่ชั่วครู่เดียวกลับสะบัดแขนเสื้อออกไปแล้ว…ไม่แปลกที่พวกท่านอาอี๋ต่างพูดกันว่าท่านอาสี่เป็นคนอารมณ์แปลกประหลาด!
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแทนอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะคิดถึงเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง
ถึงแม้มารดาจะบอกว่าเรื่องที่ให้เขาแต่งกับสตรีของตระกูลหมิ่นนั้นเป็นความคิดของบิดา แต่เขาก็ไม่เชื่อ
ความนึกคิดของบิดาล้วนอยู่ที่งาน ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับมารดา เรื่องที่ให้เขาแต่งกับสตรีของตระกูลหมิ่นนั้น ต้องเป็นความคิดของมารดาอย่างแน่นอน เพียงแต่ได้รับการเห็นชอบจากบิดาก็เท่านั้น
เดิมทีเขาอยากจะขอให้ท่านอาสี่ช่วยออกหน้าไปพูดกับหมิ่นเจี้ยนสิง ให้ตระกูลหมิ่นยอมวางมือจากเรื่องงานแต่งนี้ด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ดูทีแล้ว คงไม่อาจขอร้องท่านอาสี่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ท่านอาสี่ยังไม่พอใจที่เขาไปทำลายงานแต่งของโจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้เป็นอย่างมากอีกด้วย
กลัวแต่ว่ากว่าเขาจะขอร้องท่านอาสี่ได้ โจวเสาจิ่นก็คงจะแต่งกับผู้อื่นไปแล้ว!
ณ ขณะนั้น จู่ๆ เฉิงสวี่ก็คิดถึงเฉิงลู่ขึ้นมา
ต่อให้เฉิงลู่จะมีเจตนาให้โจวเสาจิ่นอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาพึงใจโจวเสาจิ่น ทว่าไม่มีความสามารถพอจะแข่งขันกับเขา จึงคิดจะยุให้เขากับเฉิงอี้ขัดแย้งกัน แล้วเขาก็ฉวยโอกาสเป็นตาอยู่มาจับปลาไปก็เท่านั้น
กล่าวไปกล่าวมา ก็เพียงเพราะอยากได้ตัวโจวเสาจิ่นไปก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่อาจดันเรือให้ลอยไปตามน้ำได้!
คำพูดเหล่านี้เขาควรไปบอกท่านอาสี่หรือไม่
เฉิงสวี่อยู่ที่เรือนหลีอินเป็นเวลานาน รอแล้วรอเล่าเฉิงฉือก็ไม่กลับมา
เขาจำต้องออกจากเรือนหลีอินไปอย่างเก้อกระดาก หมุนกายไปที่เรือนอวิ้นเจิน
มารดาผิดคำสัญญากับเขา เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อน รอให้ท่านอาสี่ช่วยถอนหมั้นกับตระกูลหมิ่นแล้วค่อยพูด ทว่าวันนี้คงได้แต่ต้องพูดกับมารดาให้ชัดเจนเสียแล้ว
แต่ใครจะรู้ว่าคนที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่เรือนอวิ้นเจินกลับบอกเขาว่า “ฮูหยินไปเรือนหานปี้ซานเจ้าค่ะ”
เฉิงสวี่พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ไม่แน่ว่าหากเขาอยู่ที่นั่นนานสักหน่อยอาจจะได้เจอโจวเสาจิ่นก็เป็นได้
เฉิงสวี่รีบก้าวไปที่เรือนหานปี้ซานอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินหยวนกำลังคุยเรื่องของเฉิงฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่พอดี “…ข้าเองก็ทราบว่าท่านเป็นห่วงน้องสี่ อยากจะหาคนที่มีความสามารถสมบูรณ์พูนพร้อมคู่ควรกับน้องสี่ให้น้องสี่สักคน แต่นั่นก็ต้องให้ท่านช่วยดูให้น้องสี่ด้วยถึงจะถูก! ข้าดูแล้วตระกูลหมิ่นมีคุณหนูผู้หนึ่งไม่เลวนัก มารดาเป็นหญิงสาวตระหลี่จากหลูเจียง บิดาเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง ตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการมณฑลอวิ๋นหนาน พี่ชายแต่งงานกับสตรีตระกูลฟางจากซูเฉิง เป็นหลานสาวของข้าเอง ถึงแม้ว่าจะแก่กว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเพียงสามเดือน แต่เมื่อเรียงลำดับอาวุโสแล้วกลับมีศักดิ์เป็นอาสาวของคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น รูปร่างหน้าตาและความประพฤติล้วนอยู่ในลำดับต้นๆ หากท่านรู้สึกว่าพอจะให้มาเจอได้ ข้าช่วยเตรียมการให้ท่านได้เจ้าค่ะ”
ถ้าดีขนาดนั้นจริง เกรงว่าคงถูกนางเลือกไปเป็นสะใภ้ก่อนนานแล้ว บางที คุณหนูตระกูลหมิ่นผู้นี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกบุตรสะใภ้ขั้นสุดท้ายของนางก็เป็นได้ อาจจะเป็นเพราะข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง สุดท้ายจึงตกรอบไป!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหน็บแนมอยู่ในใจ กล่าวขึ้นว่า “เรื่องของเจ้าสี่ มีข้าเป็นห่วงก็พอ ส่วนเจ้าไปดูแลเรื่องของเจียซ่านให้ดีจะดีกว่า! การเกี่ยวดองของสองตระกูลถือเป็นเรื่องดี แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าเจ้าพยายามจะปิดบังเอาไว้ตลอด เป็นเพราะตระกูลหมิ่นไม่ชอบที่ตระกูลของพวกเราต่ำต้อย หรือเป็นเพราะเจียซ่านไม่ยินยอม เจ้ากลัวว่าเขาจะโวยวายขึ้นมาแล้วจัดการไม่ได้กันแน่”
ฮูหยินหยวนกล่าวขึ้นอย่างอับอายว่า “เรื่องนี้มิใช่ว่ายังไม่ได้ดูดวงชะตากันเลยมิใช่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวด้วยสีหน้าสงบว่า “เป็นบุตรชายของเจ้า ถึงแม้ข้าจะเคยเตือนเจ้าไปนานแล้ว แต่เจ้าจะฟังหรือไม่ฟังนั้น ก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”
ฮูหยินหยวนรับคำด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วก็เอ่ยถึงเรื่องการสอบของเฉิงสวี่ขึ้นมา “อย่างมากอีกสองวันก็น่าจะประกาศผลแล้ว ท่านเห็นว่าพวกเราควรจะเตรียมเหรียญทองแดงเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องนี้เจ้าไปบอกพวกพ่อบ้านก็ได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าบอก…”
เพื่อหลบเลี่ยงฮูหยินหยวนแล้ว โจวเสาจิ่นจึงแอบมาทำงานเย็บปักอยู่ในห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เมื่อได้ยินบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและหยวนซื่อ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เผลอแทงเข็มใส่มือครั้งหนึ่ง หยดเลือดค่อยๆ ซึมออกมา
โจวเสาจิ่นรีบอมนิ้วเอาไว้ในปาก ในใจกลับปั่นป่วนขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งคลื่นทะเลที่พัดมากระทบฝั่งก็ไม่ปาน
ตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยน ตระกูลหลี่ที่หลูเจียง ผู้ว่าราชการมณฑลขั้นสามผิ่น ตระกูลฟางที่ซูเฉิง…ยังมีคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดของตระกูลกัวอีก
สตรีจากตระกูลชั้นสูงก็มี หญิงงามจากตระกูลถ่อมเนื้อถ่อมตัวก็มี…จะมีภรรยาแบบไหนที่ท่านน้าฉือสู่ขอมาไม่ได้บ้าง
แล้วนางจะนับเป็นตัวอะไร
ใจของโจวเสาจิ่นเดือดปุดๆ ประหนึ่งอยู่ในหม้อน้ำมันที่กำลังเดือด
หากรู้แต่แรกว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหยวนซื่อ ตอนที่หยวนซื่อมาขอพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นนางควรจะขอตัวกลับมิใช่มาหลบอยู่ในห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้
หากย้อนกลับไปได้ไกลกว่านั้น นางควรจะรั้งอยู่กับท่านป้าใหญ่เหมี่ยน แล้วใช้ชุนหว่านนำองุ่นมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแทน…
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะอดทนรอจนหยวนซื่อกล่าวอำลา ค่อยๆ เดินออกมาจากห้องชั้นในช้าๆ ก้มหน้าก้มตากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ข้ากลับเรือนเจียซู่ก่อนนะเจ้าคะ แล้วตอนเย็นค่อยมาคารวะท่านอีกครั้ง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากทางด้านโน้นงานยุ่งก็ไม่ต้องมาแล้วก็ได้ ต้องใส่ใจสุขภาพ อย่าปล่อยให้เหนื่อยจนทนไม่ไหวได้!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ทว่าดวงตากลับพร่าเลือน
ถ้าหากหยุดเวลาเอาไว้ได้จะดีมากเพียงไร
นางอาศัยอยู่ที่จวนหลัก ท่านน้าฉือก็ยังไม่ได้แต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับนางเสมือนนางเป็นหลานสาวแท้ๆ…
โจวเสาจิ่นเดินออกจากเรือนหานปี้ซานอย่างเงียบเชียบ เดินไปที่เรือนเจียซู่ด้วยความคิดว้าวุ่น
ฮวนสี่ยื่นมือไปคว้าตัวเฉิงสวี่คนที่พอได้ยินว่าหยวนซื่อไม่อยู่แล้วก็หมุนกายมุ่งหน้าไปทางเรือนอวิ้นเจิน กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจและดีใจว่า “คุณชายใหญ่สวี่ ข้า…ข้าเหมือนกับจะเห็นคุณหนูรองตระกูลโจวขอรับ…”
เฉิงสวี่หันกลับมาอย่างดีใจ “ที่ไหนๆ”
ฮวนสี่ชี้ไปที่เงาร่างสีแดงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ เบื้องหน้าเงานั้น พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ท่านดู! เหมือนคุณหนูรองตระกูลโจวหรือไม่”
เฉิงสวี่เบิกดวงตาโพลง “ไป! ในเมื่อเจอแล้ว ก็ควรจะกล่าวทักทายสักคำถึงจะถูก”
ฮวนสี่พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด เดินตามหลังเฉิงสวี่ไป
โจวเสาจิ่นกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง มีคนตะโกนมาจากด้านหลังว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว รบกวนท่านหยุดก่อนสักครู่!”
นางหันกลับไป เห็นเฉิงสวี่กำลังหายใจหอบอยู่
โจวเสาจิ่นยกเท้าวิ่งหนี
เฉิงสวี่ไล่ตามอยู่ด้านหลังนาง “คุณหนูรองตระกูลโจว เจ้าอย่าวิ่งหนีเลย! ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า! เพียงประโยคเดียวเท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
โจวเสาจิ่นไม่สนใจเขา
ทว่าเขากลับเร่งฝีเท้ามาขวางโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “น้องสาวรองตระกูลโจว ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
โจวเสาจิ่นมองเขาอย่างจดจ้อง
ดวงตานั้นงดงามสุกใสเปล่งประกายระยิบระยับประหนึ่งดวงดาราบนฟากฟ้า
เฉิงสวี่ลิ้นแข็งค้างลืมคำพูดไปหมดสิ้น
โจวเสาจิ่นย่นคิ้วขึ้น กล่าวขึ้นว่า “หากพี่ชายสวี่ไม่มีเรื่องอะไร เช่นนั้นข้าจะไปเรือนเจียซู่แล้ว พี่ชายเก้าใกล้จะแต่งงานแล้ว ท่านป้าใหญ่กำลังรอให้ข้านำสมุดบัญชีที่คำนวณเสร็จแล้วไปให้นางอยู่เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เฉิงสวี่หัวเราะ
เขาไม่ได้มีเรื่องอะไรจะคุยกับโจวเสาจิ่น เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้เจอหน้าโจวเสาจิ่นมานานแล้ว จึงอยากจะมองโจวเสาจิ่นให้นานสักหน่อยเท่านั้น เขาจะมีเรื่องอะไรมาพูดคุยได้
เฉิงสวี่ตริตรองอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากินข้าวหรือยัง รู้สึกหิวหรือไม่”
โจวเสาจิ่นไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเขา กล่าวเสียงเรียบว่า “หากพี่ชายสวี่ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
…………………………………………………………………
[1] หลังคำสอนของข่งเมิ่ง คือหลักคำสอนของขงจื่อและเมิ่งจื่อ