บทที่ 30 เศษสวะ กากเดน

ท่องภพสยบหล้า

“เจ้าสารเลว!”

เว่ยชวี่จี๋สีหน้าดำทะมึนอย่างที่สุด

ศัตรูที่ไม่รู้ชื่อใช้วิญญาณสรรพชีวิตในตำบลเสี่ยวหลินเป็นเครื่องสังเวย แล้วใช้วิญญาณซึ่งยังไม่ไปไหนหลายยุคสมัยที่แต่เดิมควรจะหลับอย่างสงบทั้งเมืองเฟิงหลินรวมภาพมายาของด่านประตูผีขึ้นมาแทบจะใต้จมูกเขา สุดท้ายกลับหนีหายลอยนวลต่อหน้าเขาอีก

และเขาเว่ยชวี่จี๋เป็นถึงยอดฝีมือระดับห้า ไล่ตามมาอย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย!

ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง เขาบกพร่องในหน้าที่ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่ง เขาถูกหักหน้า

เขาเคยได้รับความอัปยศแบบนี้เสียที่ไหน

ดังนั้น…

“เศษสวะ!”

เว่ยชวี่จี๋พลิกมือซัดจนเว่ยเหยี่ยนกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง!

คนหลายสิบคนตรงนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียง แม้พวกเขาแทบทุกคนจะขุ่นเคืองก็ตาม

แม้แต่เว่ยเหยี่ยนเองก็เพียงแค่ลุกขึ้นมา ไม่พูดไม่จาอะไร

เขาย่อมมีเหตุผลมากพอจะอธิบาย มีเหตุผลมากพอที่จะโกรธ ยามอยู่ต่อหน้าหมอกหนา เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เผชิญหน้ากับค่ายกลเก้าทิศแล้วทำลายมัน เมื่อเห็นด่านประตูผีเขาก็ยอมเสี่ยงจุดธูปแดงที่มีอยู่เพียงเล่มเดียวทันที

พูดได้ว่ากล่าวจากมุมใดก็ตาม ทุกขั้นตอนเขาล้วนทำได้ดีที่สุดแล้ว ไม่มีที่ติสักนิด

แต่สำเร็จก็คือสำเร็จ ล้มเหลวก็คือล้มเหลว กองทัพไม่สนใจเรื่องพวกนั้น

เว่ยชวี่จี๋มอบอำนาจอิสระให้เขาไปสำนักเต๋าและระดมกำลังคนมาตรวจสอบตำบลเสี่ยวหลิน แต่เขากลับไม่สามารถหยุดเรื่องที่เกิดขึ้นได้ นี่คือการบกพร่องในหน้าที่

เว่ยชวี่จี๋สามารถฆ่าเขาตอนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่นั่นจะไปมีความหมายอะไร

เว่ยชวี่จี๋มาอย่างเกรียงไกร แล้วก็กลับไปด้วยโทสะคุกรุ่น

เหล่าคนหนุ่มบางคนแบกสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บไว้ บางคนพยุงซึ่งกันและกัน บางคนแบกร่างไร้วิญญาณ และแยกย้ายกันไปเช่นนี้

ศิษย์อายุน้อยของสำนักเต๋าเหล่านี้เพิ่งผ่านการต่อสู้อันยากเข็ญที่บาดเจ็บล้มตายสาหัสมา

การต่อสู้ที่ยากลำบากยิ่งนักแต่สุดท้ายกลับถูกพิสูจน์ว่าไร้ประโยชน์

นับตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาถึงกระทั่งไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร แต่คู่ต่อสู้กลับทำเป้าหมายสำเร็จแล้วจากไปอย่างผ่าเผย

พวกเขาถูกเรียกว่าเป็น…เศษสวะ

……

“มารดามันเถอะ…เจ็บใจจริงๆ”

ตู้เหยี่ยหู่นอนแผ่หราอยู่บนเตียงในหอพักราวกับเจดีย์เหล็กล้มเอน

ตัวเขาไม่มีบาดแผลสาหัสอะไร รากฐานพลังที่สูญเสียไปก็ชดเชยจากลูกกลอนเสริมพลังปราณที่เจ้าหรู่เฉิงส่งมาให้แล้ว แค่ต้องพักฟื้นช่วงหนึ่งเท่านั้น

ลูกกลอนเสริมพลังปราณเป็นของที่ล้ำค่านัก แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินรับไหว ตู้เหยี่ยหู่ต้องการพอดี เจ้าหรู่เฉิงก็มีพอดี ดังนั้นจึงเป็นไปตามนี้ แม้แต่ชีวิตพวกเขายังฝากฝังไว้ให้กันและกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย

แต่ศึกที่ตำบลเสี่ยวหลินครั้งนี้ พูดตามความจริงแล้วเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับศิษย์สำนักเต๋าทุกคน สำหรับคนที่ตั้งปณิธานว่าจะเหนือมนุษย์สามัญ ปรารถนาในความแข็งแกร่ง การไร้ความสามารถคงเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดแล้ว

บางทีอาจจะมีแค่เจ้าหรู่เฉิงที่เป็นข้อยกเว้นกระมัง เขาไปหอสามจรุงเพื่อ ‘รักษาตัว’ เรียบร้อย เห็นว่าจะใช้ความเป็นผู้กล้าที่รอดความตายกลับมาเอาชนะใจหญิงงามในรวดเดียว

ตู้เหยี่ยหู่ไม่ใช่คนที่นอนเฉยๆ ได้ ทว่าตอนนี้ทำได้เพียงนอนนิ่งๆ เท่านั้น อยากจะดื่มสุราก็ไม่มีใครยอมตามใจเขา ดังนั้นจึงค่อนข้างซึมเซาอย่างหาได้ยาก

หลิงเหอนิ่งเงียบไม่พูดจา หลับตากำลังฝึกฝน

ส่วนเจียงวั่ง…ตอนนี้เขากำลังกินข้าวกับเจียงอันอัน

ณ ร้านเนื้อแพะตำรับลับตระกูลไช่ เก่าแก่มีชื่อเสียงมานมนาน

น้ำแกงเนื้อแพะหอมกรุ่นสองชาม เนื้อแพะสิบชั่งหั่นได้อย่างเฉียบขาด

เจียงอันอันมือซ้ายคว้าหมัว[1] มือขวากำตะเกียบ…ตะเกียบจิ้มเนื้อแพะเอาไว้ เหตุที่ใช้กำคำนี้เพราะท่าจับตะเกียบของนางแตกต่างออกไป…คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครแก้ไขให้ จึงใช้นิ้วทั้งห้ากำเอาไว้แล้วใช้ตะเกียบจิ้ม

ด้วยใช้ชีวิตอยู่กับเจียงวั่งมานาน นางไม่มีความเขินอายขลาดกลัวแบบตอนแรกแล้ว

ทางซ้ายนางกัดคำหนึ่ง ทางขวากัดกินอีกคำหนึ่ง ประเดี๋ยวก็ก้มหน้าซดน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย ลักยิ้มสองข้างบนใบหน้าปรากฏขึ้นรางๆ พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ร้านเนื้อแพะตำรับลับตระกูลไช่ราคาไม่ถูกเลย หากเปลี่ยนเป็นเจียงวั่งก็ใช่ว่าจะมากินที่นี่ได้ลง

ภารกิจที่ตำบลเสี่ยวหลิน แม้ตัวเว่ยเหยี่ยนจะโดนหางเลขไปด้วย แต่ก็ยังทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขาทุกคน พยายามช่วงชิงรางวัลยี่สิบคะแนนแต้มเต๋ามาให้ แน่นอนว่ามีเงินช่วยเหลือเล็กน้อยด้วย เงินเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุดแล้วสำหรับผู้บำเพ็ญ แต่สำหรับเจียงอันอัน การได้กินของอร่อยนั้นสำคัญมาก

“ชอบหรือไม่” เจียงวั่งยิ้มถาม

“อืม…อื้ม!” เจียงอันอันพยักหน้าสุดแรง

“วันหลังพวกเรามากินทุกเดือน…” เจียงวั่งคำนวนเงินเก็บเงียบๆ ครู่หนึ่ง “ไม่สิ มากินทุกสิบห้าวันได้ ดีหรือไม่”

เจียงอันอันพยักหน้าต่อ

นางคุยกับพี่ชายไปเรื่อยเปื่อย…ส่วนมากจะแค่พยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่มือน้อยๆ กลับไม่เคยว่าง ในขณะเดียวกับที่พยักหน้าก็จิ้มเนื้อแพะชิ้นหนึ่ง คลุกในเครื่องจิ้มอย่างประณีต จากนั้นจึงค่อยกินเข้าไปเต็มคำ

“อันอัน ช่วงนี้วิชาเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ส่วนมากเวลาผู้ใหญ่ทุกคนคุยกับเด็ก สุดท้ายก็จะดึงบทสนทนามาที่เรื่องนี้ เจียงวั่งคิดเอาว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นจึงพูดได้เป็นธรรมชาตินัก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งก็ตาม

ท่ากินเนื้อของเจียงอันอันชะงักไปเล็กน้อย อาหารเต็มในปากเล็กๆ ตอบกลับมาอย่างยากเย็นว่า “พอ…พอได้อยู่”

เจียงวั่งพยักหน้าอย่างพอใจ

เขามองน้องสาว ในใจมีความสุขสงบที่ไหลรินมาอย่างช้าๆ ความยากลำบากในการต่อสู้พวกนั้น ความเสียใจที่เห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องบาดเจ็บล้มตาย ความรู้สึกไร้ความสามารถที่ไม่อาจหยุดยั้งเรื่องที่เกิดขึ้นได้…เหมือนว่าจะจางหายไปหมดแล้ว

เรื่องบางอย่างชวนให้คนเศร้าเสียใจจริงๆ แต่ตอนนี้และชีวิตในตอนนี้มีความสุขเสียเหลือเกิน

ชวนให้คนอยากจะหยุดมันไว้ตลอดกาล

……

ขณะเดินอยู่ในพื้นที่ตระกูลหวาง ทักทายตอบคนในตระกูลที่เอ่ยทักทายเป็นระยะ หวางฉางเสียงสุขุม สงบนิ่ง เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ต่อให้เป็นคนในตระกูลที่มากเรื่องที่สุด ก็ไม่มีใครติเขาได้แม้แต่ประโยคเดียว

ตระกูลจาง ฟาง และหวางสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเฟิงหลินมีอำนาจในแต่ละด้านพอๆ กัน ยากจะแบ่งแยกแข็งแกร่งอ่อนแอได้ แต่เพราะตอนนี้จางหลินชวนอยู่สูงในอันดับสามบนกระดานแต้มเต๋า ตระกูลจางจึงเหนือกว่าตระกูลที่เหลืออยู่เลาๆ หวางฉางเสียงอยู่ในอันดับเจ็ดของกระดานแต้มเต๋า ตระกูลหวางจึงไม่ด้อยกว่าเท่าใดนัก

มีเพียงตระกูลฟางที่อัจฉริยะรุ่นก่อนตายในการต่อสู้ระหว่างการทดสอบ ฟางเผิงจวี่ที่เก่งกาจที่สุดของรุ่นนี้ก็ถูกสังหาร ตอนนี้เหลือเพียงฟางเฮ่อหลิงคนเดียว อาศัยลูกกลอนเปิดชีพจรที่ใช้เงินมหาศาลแลกมาจึงพอจะเบียดเข้าไปเป็นศิษย์สายในได้ แต่ในความคิดของคนที่มีปัญญา ตระกูลฟางถูกอีกสองตระกูลทิ้งห่างไปแล้ว

เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง หวางฉางเสียงก็ไม่ยอมแปดเปื้อนเรื่องทางโลกมาโดยตลอดเช่นกัน แม้สติปัญญาของเขามากพอที่จะมองเห็นความสกปรกละโมบมากซึ่งอยู่เบื้องหลังความกระตือรือร้นที่เอ่อล้นพวกนั้น แต่เขาก็นิ่งเฉยเรื่อยมา

เส้นทางยิ่งเดินยิ่งเบี่ยงออกไป

ในที่สุดก็เขามาหยุดอยู่ที่เรือนพักเล็กๆ กลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง ที่นี่เป็นมุมที่ห่างไกลในตระกูลหวาง รอบๆ แทบจะไม่มีใครอาศัยอยู่ เจ้าของเรือนก็เป็นเหมือนนกที่โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว

หวางฉางเสียงยื่นมือผลักประตู ประตูไม้ส่งเสียงเสียดหู ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบในเขตเรือน

ไม่เหมือนกับคราบสกปรกของกำแพงด้านนอก ในเขตเรือนพักสะอาดสะอ้านงดงามผิดคาด ด้านซ้ายมีเพิงเถาองุ่นสูงเพิงหนึ่ง ใต้เพิงองุ่นเป็นเก้าอี้เอนที่ถูกขัดถูจนเป็นมันวาว บนเก้าอี้ไม่มีคนอยู่ แต่มีแมวอ้วนสีส้มตัวหนึ่ง

เมื่อมีคนมามันก็ไม่ตกใจ เพียงปรือตาสะลืมสะลือ เหลือบมองมาอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง

“เจ้าส้ม” หวางฉางเสียงทักทายมัน

เจ้าส้มหันหน้ากลับไป หลับตาลงอีกครั้ง ท่าทางคร้านจะสนใจ

หวางฉางเสียงก็ไม่โมโห เดินตรงต่อไป ด้านขวาข้างหน้ามีโอ่งน้ำใบใหญ่ ในโอ่งใหญ่มีใบบัวลอยอยู่ บางครั้งบางคราวจะเห็นฟองอากาศผุดขึ้นมา ในนั้นน่าจะเลี้ยงปลาเอาไว้

ตอนนี้ฝีเท้าของเขาหยุดลง เพราะเขาได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่น

แทบจะในเวลาเดียวกัน เจ้าส้มที่อยู่บนเก้าอี้เอนก็พลันลุกขึ้นหันมา เคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

ตรงหน้าประตูโถงใหญ่ ใต้ชายคาบ้านมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งตั้งอยู่ และตอนนี้ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังประตู กลิ่นหอมหวนลอยมาจากถาดอาหารที่เขายกมา

ใบหน้าของเขาไม่นับว่าหล่อเหลา จะบอกว่าอัปลักษณ์ก็ไม่ได้ เพียงแต่ให้ความรู้สึก ‘ห่างเหิน’ อย่างน่าประหลาด คงเป็นเพราะดวงตาที่ไร้อารมณ์เกินสมควรของเขากระมัง

ชายหนุ่มที่บุคลิกท่าทางห่างเหินย่อตัวลงมา วางกับข้าวทุกอย่างที่อยู่ในถาดอาหารไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย เป็นข้าวสวยที่ทั้งขาวทั้งพูนสองถ้วย ผักกวางตุ้งสองจาน ขาหมูที่ตุ๋นจนเปื่อยนุ่มสองจาน

ชายหนุ่มนั่งลงที่ธรณีประตู ดึงตะเกียบออกมา ใช้ด้ามตะเกียบเคาะที่โต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กินข้าว”

แม้ว่าหวางฉางเสียงอยากเดินไปกินข้าวมื้อนี้ด้วยกันแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ขยับ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียกเขา

เสียงฟุ่บดังขึ้น แมวส้มตัวนั้นกระโดดไปตรงหน้าโต๊ะเตี้ยด้วยความเร็วที่ไม่เหมาะกับขนาดตัวของมัน มันก้มลงดมๆ ที่ขาหมูจานนั้นก่อน แล้วจึงทำท่าเหมือนพอใจ ใช้ขาหน้ายันโต๊ะและเริ่มกินข้าว

หวางฉางเสียงอ้าปากเอ่ย “ท่านพี่”

คงมีน้อยคนเท่านั้นที่จะจำได้ว่า หวางฉางเสียงที่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลหวางในตอนนี้ยังมีพี่ชายแท้ๆ อีกคนหนึ่ง

อันที่จริงคนผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นบุตรชายภรรยาเอกทายาทสายตรงของตระกูลหวาง เป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดตามกฎของวงศ์ตระกูล

แต่เขากลับเป็นกากเดนที่ทำลูกกลอนเปิดชีพจรอันล้ำค่าเสียเปล่าไปเม็ดหนึ่ง ชีพจรเต๋าก็ยังไม่ปรากฏ ทำให้ตระกูลหวางได้รับความอัปยศอย่างยิ่งยวด ด้อยกว่าสองตระกูลที่เหลือไปเสียอย่างนั้น

ความอัปยศของตระกูลหวางทั้งตระกูล…หวางฉางจี๋

………………………………………………………

[1] หมัว อาหารประเภทแป้งชนิดหนึ่งคล้ายหมั่นโถว แต่หลังจากนึ่งจะนำไปจี่ในกระทะอีกที แล้วค่อยผ่าครึ่งยัดไส้ที่เตรียมไว้เข้าไป