บทที่ 31 ยอมมีชีวิตธรรมดา

ท่องภพสยบหล้า

พี่น้องร่วมสายเลือดทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานของสำนักเต๋า ส่วนอีกคนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมุมหนึ่งของตระกูล

ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวทำให้คนเราบ้าคลั่งได้ แต่สีหน้าของหวางฉางจี๋กลับไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองเลย เขานั่งกินข้าวอย่างสงบตั้งแต่ต้นจนจบ

ราวกับว่าการกินข้าวเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในโลกนี้

ความเร็วในการกินข้าวของเขาเป็นจังหวะเท่าๆ กัน กินได้พิถีพิถันนัก

ขาหมูกับผักกวางตุ้งส่วนของเขาถูกกินหมดแล้ว ครั้นกลืนข้าวคำสุดท้ายลงไป ถึงค่อยมองมายังน้องชายของตนเอง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ฉางเสียง มีเรื่องอะไรหรือ”

“ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร แค่เพิ่งทำภารกิจหนึ่งเสร็จ อยากจะมาคุยกับพี่ใหญ่เสียหน่อย”

“เด็กดี กินผักกวางตุ้งด้วยสิ กินแต่เนื้อไม่ได้” หวางฉางจี๋ลูบแมวส้มที่กำลังกัดแทะขาหมู เอ่ยโน้มน้าวอย่างอบอุ่น จากนั้นก็หันมาทางหวางฉางเสียง “เล่ามาสิ เหมือนเจ้าจะมีเรื่องกังวล”

“พวกเราไปตรวจสอบปัญหาที่ตำบลเสี่ยวหลินขาดการติดต่อ ผลคือไปแล้วพบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยหมอกหนาพรางตา ขนาดวิชาลมหายใจพายุมังกรก็ยังพัดให้สลายไปไม่ได้ ทั่วตำบลเสี่ยวหลินเต็มไปด้วยวิญญาณเร่ร่อน มีคนใช้เก้าทิศเป็นรากฐาน วางค่ายกลวิญญาณเร่ร่อนเก้าทิศเอาไว้…เจ้าส้ม!” พูดถึงตรงนี้ หวางจางเสียงก็พลันส่งเสียงตำหนิขึ้นมา

ที่แท้เจ้าแมวส้มตัวอ้วนโมโหที่หวางฉางจี๋เอาผักกวางตุ้งไปแหย่มัน จึงพลิกกรงเล็บตบเขาไปทีหนึ่ง ข่วนจนเกิดรอยเลือดสามเส้นบนหลังฝ่ามือของหวางฉางจี๋

“เจ้านี่ดุจริงๆ” หวางฉางจี๋ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ล้มเลิกความพยายามที่จะให้เจ้าส้มกินผักกวางตุ้งสักหน่อย เขาใช้มือซ้ายปิดเบาๆ บนแผลที่หลังมือขวา ก่อนจะเอ่ยกับหวางฉางเสียง “เจ้าพูดเรื่องค่ายกลวิชาเต๋าพวกนี้กับข้า ข้าฟังไม่เข้าใจหรอก”

หวางฉางเสียงก้มหน้า เสียงพูดก็เบาลง “แต่ไม่รู้เพราะอะไร ข้าอยากมาเล่าให้พี่ฟัง”

หวางฉางจี๋ใช้นิ้วนวดหน้าผาก “เล่าสิ เล่ามา”

“ท่านพี่รู้หรือไหม มีคนใช้สรรพชีวิตทั้งตำบลเสี่ยวหลินรวบรวมวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ในเขตเมืองเฟิงหลินมาหลายปีไว้ด้วยกัน ก่อนที่เจ้าเมืองเว่ยจะมาถึง ก็สร้างภาพมายาของด่านประตูผีขึ้นมาแล้วจากไป!” หวางฉางเสียงในเวลานี้เหมือนเด็กน้อยที่แย่งความดีความชอบของคนอื่น

“ภาพมายาด่านประตูผี? ร้ายกาจมากหรือ”

“จ่ายไปตั้งมากขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว! เมื่อมีภาพมายาด่านประตูผีอยู่ในกำมือจะติดต่อกับปรโลกได้ตลอดเวลา พลานุภาพของวิชาเต๋ายมโลกอย่างน้อยก็ยกระดับได้ครึ่งหนึ่ง! อย่างเช่นพวกวิชาเต๋าขับไล่ผี สามารถข้ามขั้นได้เลย” พูดถึงจุดนี้ หวางฉางเสียงก็หลุบคิ้วลง “ไม่รู้มารที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะใช้มันก่อเรื่องที่ไหน”

“เรื่องนี้กรมอาญาจะจัดการเอง ถ้าเว่ยชวี่จี๋ไม่ไหวก็ยังมีข้าหลวงเขตปกครองอยู่ หากสำนักเต๋าเมืองต้านไม่ไหวก็ยังมีสำนักเต๋าเขตปกครอง ต่อจากสำนักเต๋าเขตปกครองก็ยังมีสำนักเต๋ารัฐอยู่อีก เจ้าอย่ากังวลเลย” หวางฉางจี๋พูดคลายความกังวล

เวลานี้ เจ้าส้มจัดการกัดขาหมูกินจนหมดแล้ว ไม่แม้แต่จะมองจานผักกวางตุ้งเลยสักนิด เลียอุ้งเท้าแล้วจึงเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง

หวางฉางจี๋จึงลุกขึ้นเก็บชามและตะเกียบ

“เจ้าไปได้แล้ว” ก่อนที่จะเข้าประตูไป เขาเอ่ยขึ้นเช่นนี้

หวางฉางเสียงมองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินเข้าเรือนอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปด้านนอก เพียงแต่ตอนเดินผ่านเจ้าส้มที่กำลังนอนหมอบอยู่ข้างเก้าอี้เอน เขาพลันดีดนิ้วก้อย

คมวายุที่เบาจนสัมผัสไม่ได้พุ่งตัดออกไป

เจ้าส้มดีดผางขึ้นมา หันสำรวจซ้ายขวาอย่างตกใจระคนสงสัย เวลานี้หนวดยาวๆ ของมันมีครึ่งหนึ่งปลิวร่วงไปตามลม

“ถ้ายังกล้าข่วนพี่ชายข้าอีกละก็…ฮึ” หวางฉางเสียงไปจากที่นี่พร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก

เพียงแต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่พวกเขายังเด็ก พี่ชายปรารถนาวิชาเต๋าขนาดไหน รักโลกเหนือมนุษย์สามัญนั้นเพียงใด ทว่ายามนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรต่อหน้าพี่ชาย ก็มองไม่เห็นคลื่นความปรารถนาเหล่านั้นอีกต่อไป

หวางฉางจี๋เหมือนว่าจะยอมใช้ชีวิตเช่นนี้ไปแล้ว

ท้ายที่สุดฝีเท้าของหวางฉางเสียงก็ไม่อาจเดินอย่างรวดเร็วและแผ่วเบาได้

……

สิ่งที่อาจารย์สอนในวันนี้คือดาบเพลิงวิชาเต๋าชั้นสี่ระดับกลาง ถือว่าเป็นระดับที่สูงขึ้นของวิชาเต๋าเสริมอัคคีชั้นสี่ระดับล่าง และยังเป็นหนึ่งในรากฐานวิชาเต๋าธาตุไฟด้วย

มันคือการรวมเปลวไฟให้กลายเป็นดาบ ใช้พลังปราณธาตุไฟอันร้อนแรงเข้าสังหารคู่ต่อสู้โดยตรง มีประสิทธิภาพมากกับของต่ำจำพวกภูตผี

อันที่จริงเมื่อวิชาเต๋ามาถึงจุดนี้ ก็จะแข็งแกร่งกว่าอาวุธที่หลอมขึ้นจากเหล็กธรรมดาไปเรียบร้อย

เรื่องปางมือวิชาเต๋าเหล่านี้รวมถึงสิ่งที่ควรระมัดระวัง เจียงวั่งจดจำได้หมดแล้ว เวลานี้จู่ๆ ก็คิดถึงดาบยาวของเว่ยเหยี่ยนขึ้นมา ดาบเล่มนั้นแหลมคมมาก ไม่ใช่อาวุธธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่าด้วยพลังของเว่ยเหยี่ยน เหล็กธรรมดาเป็นแค่ภาระของเขาเท่านั้น

เขายังคิดถึงกระบี่คู่กายที่แขวนอยู่ข้างเอวมานานปีของหลีเจี้ยนชิว คาดว่าจะต้องไม่ธรรมดาแน่

พอคิดก็รู้สึกตาร้อนผ่าว กระบี่ของเขาครั้งที่แล้วใช้ฟันสังหารวิญญาณแค้นจนพังไม่เป็นท่า กลับมาก็ควักเงินซื้อใหม่เล่มหนึ่ง แต่ยังคงเป็นกระบี่เหล็กธรรมดา กระบี่ที่ร้ายกาจจริงๆ เขาซื้อไม่ไหว และไม่มีทางซื้อได้

เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาวุธในมือของยอดจอมยุทธ์ที่ใช้ยุทธ์ผสานเต๋าเหล่านั้นมีพลานุภาพระดับไหน

เขาคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม จนไม่ได้สนใจบรรยากาศในห้องเรียน จวบจนหลิงเหอผลักเขาเบาๆ ถึงจะได้สติกลับมา

อาจารย์ที่มาบรรยายสอนเป็นชายชราอายุเกือบหกสิบปีแซ่เซียว เข้มงวดหัวโบราณยิ่งนัก ในกลุ่มลูกศิษย์แอบเรียกเขาว่าเซียวหน้าเหล็ก

สถานการณ์ในตอนนี้คือ เซียวหน้าเหล็กที่สอนทักษะเสร็จสิ้นกำลังสุ่มลูกศิษย์สองสามคนออกมาทดสอบ ตอนที่สุ่มไปเจอฟางเฮ่อหลิง เขาสำเร็จวิชาเต๋านี้ได้อย่างทุลักทุเล แม้เปลวไฟของดาบเพลิงจะสั่นไหวไปมาก็ตามที แต่ก็ถือว่าทำสำเร็จ กระทั่งเซียวหน้าเหล็กยังรู้สึกพึงพอใจ แต่จู่ๆ ชายคนนี้ก็พูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่เจียงเปิดชีพจรเต๋าก่อนข้าเสียอีก ไม่สู้ออกมาทดสอบวิชาเต๋านี้สักหน่อย ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ราบรื่นก็ขอคำชี้แนะจากอาจารย์พวกเราได้พอดี”

สายตาของเซียวหน้าเหล็กจึงมองไปที่เจียงวั่ง

‘แย่แล้ว’ เจียงวั่งคิด เขาลุกขึ้นมาจากเบาะรองนั่ง เอ่ยขึ้นอย่างซื่อสัตย์ว่า “ข้ายังไม่ได้วางรากฐานขอรับ”

“ยังไม่ได้วางรากฐานก็ไม่ฟังการสอนแล้วหรือ” เซียวหน้าเหล็กถลึงตากล่าว เขาเกลียดนักเรียนที่คดโกงและขาดความรับผิดชอบมากที่สุด ทั้งที่ก้าวเหยียบบนเส้นทางเหนือมนุษย์แล้ว กลับไม่รู้จักหวงแหน มองมันเป็นแค่ต้นทุนในการโอ้อวดต่อหน้าคนทั่วไปเท่านั้น

“ข้าผิดไปแล้ว” เจียงวั่งก้มหน้ารับผิดอย่างไม่ใส่ใจนัก

เซียวหน้าเหล็กเอ่ยเสียงเย็นชา “กลับไปคัดคัมภีร์หยวนสื่อมาหนึ่งร้อยรอบ ก่อนจะคัดจบไม่ต้องมาเรียนวิชาของข้า”

“ขอรับ” เจียงวั่งก้มหน้ารับ ในใจแอบโอดครวญ ชื่อเต็มของคัมภีร์หยวนสื่อคือคัมภีร์มหาเทพหยวนสื่อ เป็นคัมภีร์เต๋าพื้นฐานของสายเขาอวี้จิง นักพรตเต๋าสายเขาอวี้จิงทุกคนพูดได้ว่าท่องกันจนขึ้นใจ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดลอก เซียนหน้าเหล็กก็แค่อยากลงโทษเท่านั้น

จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ คัมภีร์เต๋านี้มีทั้งหมดเกือบสามหมื่นอักษร…แล้วต้องคัดไปถึงเมื่อไรกัน

แต่เขารู้ว่าจะไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นด้วยอารมณ์ของเซียวหน้าเหล็ก การจะถลกแขนเสื้อขึ้นฟาดเขาก็เป็นไปได้อยู่

บทเรียนถัดมาเจียงวั่งพยายามทำจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า ไม่กล้าหย่อนยานแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะทนจนเซียวหน้าเหล็กเอามือไพล่หลังจากไป ฟางเฮ่อหลิงก็เดินส่ายเข้ามาอย่างลำพองใจอีก

“แย่แล้วศิษย์น้องเจียง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังไม่ได้สร้างรากฐาน!” การฝึกเต๋าไร้ซึ่งกาลเวลา แต่ไหนแต่ไรก็จัดลำดับอาวุโสด้วยพลังบำเพ็ญ ฟางเฮ่อหลิงจึงแก้ไขคำเรียกจากศิษย์พี่เป็นศิษย์น้องอย่างเป็นธรรมชาตินัก น้ำเสียงดูสงสารเห็นใจ “หลังจากเปิดชีพจร ข้าใช้เวลาไปห้าสิบสามวันถึงจะวางรากฐานสำเร็จ ก็ตระหนักได้ว่าช้ามากแล้ว ในใจรู้สึกละอาย พอคิดถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตของศิษย์น้องเจียง น่าจะสร้างรากฐานสำเร็จแล้วสิถึงจะถูก…เฮ้อ นี่ก็เรื่องใหญ่อยู่”

แผนผังวิญญาณหวนกำเนิดที่สำนักเต๋ารัฐจวงใช้วางรากฐานมีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดจุดพลัง ถ้าใช้รากพลังเต๋าสองเม็ดที่ได้จากการทะลวงชีพจรสองครั้งทุกวัน ห้าสิบสามวันสร้างรากฐานขึ้นมาได้ก็ไม่ถือว่าช้าแล้ว เพราะว่าระหว่างการเคลื่อนย้ายจุดพลังยังเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย จนทำให้ก้าวหน้าล่าช้าไปอีก

ตอนนี้สถิติคนที่สร้างรากฐานได้เร็วที่สุดทั่วทั้งสำนักเต๋ารัฐจวงคือจู้เหวยหว่อ เขาสร้างรากฐานสำเร็จในเวลาเก้าวัน ทำลายบันทึกสถิติในอดีตทั้งหมด ถ้ามองจากความเร็วที่น่าเหลือเชื่อนี้ วิญญาณแท้ในชีพจรเต๋าของเขาไม่ใช่แค่ระดับวิญญาณแท้ไส้เดือนดินเหมือนของเจียงวั่งแน่นอน ทว่าเป็นวิญญาณแท้ระดับไหนนั้นเป็นความลับส่วนบุคคล ไม่มีใครล่วงรู้ได้

ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าว่ากันตามสถานการณ์ปกติของศิษย์สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ช่วงหกสิบถึงเก้าสิบวันจึงจะเป็นเวลาปกติ

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ฟางเฮ่อหลิงจะภาคภูมิใจขนาดนี้

เขาไม่ปิดบังอาการท้าทายในสายตาเลย และยิ่งอยากเห็นเจ้าคนเย่อหยิ่งตรงหน้านี้อับอายจนโมโห กระทั่งในหัวยังมโนภาพการต่อสู้ครั้งถัดไปแล้วว่าจะใช้วิชาเต๋าจัดการเจ้าบ้านนอกที่พึ่งพาแต่วิชากระบี่คนนี้อย่างยอดเยี่ยมเช่นไรดี

ทว่าเจียงวั่งทำแค่ยิ้มๆ หันหลังจากไป

ไม่มีอาการโกรธเคือง ไม่ใส่ใจแต่อย่างใด

……………………………………….