บทที่ 32 พบกันที่แม่น้ำดวงดาว

ท่องภพสยบหล้า

เหมือนกับทุกๆ วันก่อนหน้านี้ หลังจากเขาฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรลุล่วงด้วยดี ก็กระตุ้นรากพลังเต๋าของใหม่ให้จัดเรียงตำแหน่งในจุดผ่านสวรรค์ ทำให้ตนเองพัฒนาจากรากฐานไปอีกก้าวหนึ่ง

เมื่อฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรเสร็จสิ้น เจียงวั่งไม่ได้พักผ่อน แต่จุดตะเกียงอยู่หน้าโต๊ะหนังสือและเริ่มคัดลอกคัมภีร์มหาเทพหยวนสื่อ

ด้วยอยู่กันเพียงสองพี่น้อง พวกเขาพักกันที่ห้องหลัก จึงให้ห้องทางทิศใต้เป็นห้องหนังสือ

เหล่าศิษย์พี่เคยเตือนก่อนแล้วว่าเซียวหน้าเหล็กไร้ความปรานี ดังนั้นเจียงวั่งจึงคัดลอกอย่างเรียบร้อยถูกต้อง พิถีพิถันตั้งใจ ความสำคัญของชั้นเรียนทักษะวิชาเต๋าไม่จำเป็นต้องพูดให้มาก ทุกครั้งที่ขาดเรียนเท่ากับเสียหายอย่างใหญ่หลวง เจียงวั่งจึงพยายามคัดลอกให้เร็วที่สุด

จนกระทั่ง…

“พี่ชาย ท่านกำลังทำอะไร”

เจียงอันอันเข้ามาในห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กำลังเบิกดวงตาดำขลับกลมโตคู่นั้น เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เจียงวั่งตอบ “ฝึกเขียนอักษร”

“ทำไมจู่ๆ ถึงฝึกเขียนอักษรล่ะ”

เจียงวั่งเอ่ยอย่างจริงจัง “ว่ากันว่าอักษรก็เหมือนผู้คน ถ้าใช้อักษรพินิจคน จะรู้ได้ถึงความจริงใจและหลอกลวง เรื่องพวกนี้อาจารย์สอนแล้วกระมัง การฝึกเขียนอักษรสำคัญมาก อันอันเองก็ต้องหัดเขียนไว้เยอะๆ”

“แล้วต้องฝึกอีกนานไหมล่ะ…”

“…นานมาก” เจียงวั่งตอบ “วันนี้เจ้าไปนอนก่อนเถิด”

“โอ้…”

“ทำไมล่ะ มีเรื่องอะไรหรือ”

“ไม่ ไม่มี…”

หลังจากหันหลังเดินออกมาจากห้องหนังสือ เจียงอันอันก็ถอนหายใจออกมาเหมือนผู้ใหญ่

‘ตาแก่นั่น ลงโทษให้ข้าคัดอักษรตั้งเยอะ ตอนนี้ห้องหนังสือก็ถูกยึดไปแล้ว แล้วข้าจะไปคัดที่ไหนล่ะ’

เจียงอันอันคิดๆ ก่อนจะย้ายเก้าอี้ตัวเล็กตัวหนึ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบกระดาษพู่กันออกมากาง จากนั้นก็นั่งยองลงหน้าเก้าอี้แล้วเริ่มลงมือคัด

“ฟ้ามืดดำผืนดินเหลือง จักรวาลว่างเปล่าไพศาล ดวงอาทิตย์มีขึ้นมีลง จันทราเดี๋ยวกลมเดี๋ยวแหว่ง ดวงดาวพร่างพราวเต็มฟากฟ้า…”

นางหันหน้าไปมองห้องหนังสือผาดหนึ่ง ไฟยังสว่างอยู่ อืม…คัดต่อแล้วกัน…

ดวงจันทร์กระจ่างกลางฟ้า เจียงวั่งนวดข้อมือ เป่ารอยหมึกจนแห้ง ดับตะเกียงแล้วลุกกลับไปที่ห้องนอน แม้ใช้พลังกายและความเร็วของเขา ตอนนี้ก็ยังอยู่ห่างจากการคัดหนึ่งร้อยรอบอยู่มาก ทว่ายามนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่าต้องไปทำ

เพราะคืนนี้คือวันที่สิบห้าเดือนเก้า วันท้าประลองแดนศักดิ์สิทธิ์ในมิติมายาห้วงจักรวาล

ตอนที่กลับมาถึงห้องนอน อันอันหลับไปแล้ว เจียงวั่งเก็บมุมผ้าห่มให้นาง จากนั้นจึงนอนลงบนเตียงของตนเอง

รอยประทับจันทร์สีเงินบนฝ่ามือปรากฏชัด และเริ่มเปล่งความร้อน เจียงวั่งปิดตาทั้งคู่ลง สตินึกคิดเข้าไปสู่มิติมายาห้วงจักรวาล

อักษรหมึกบนนาฬิกาแดดเปลี่ยนไปแล้ว ‘นายแห่งแท่นหยกเขียวยืนยันท้าประลอง หนึ่งเค่อนับจากนี้ การท้าประลองจะเริ่มขึ้น’

นายแห่งแท่นหยกเขียวในที่สุดก็ตัดสินใจท้าประลองแล้ว!

ยามเห็นอักษรบรรทัดนี้ ในใจเจียงวั่งมีความรู้สึกร้อนรนทนรอไม่ไหว แต่ก็ผ่อนคลายเหมือนรองเท้าแตะถึงพื้นแล้วเช่นกัน

วันที่สิบห้าเดือนแปดที่ผ่านมา นายแห่งแท่นหยกเขียวเลือกที่จะสละสิทธิ์ ดูท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเงามืดที่จั่วกวงเลี่ยทิ้งไว้ให้กับคนผู้นี้จะหนักหนามาก แต่นี่ก็อธิบายได้ว่า การท้าประลองหลังจากสละสิทธิ์ไปหลายครั้งศึกนี้ อีกฝ่ายมั่นใจว่าจะเอาชนะได้แล้ว

เจียงวั่งไม่ทำอะไรเกินจำเป็นอีก เพียงทำจิตให้ว่าง เฝ้ารอการมาถึงของเวลาอย่างเงียบๆ

ทันทีที่นาฬิกาแดดเกิดการเปลี่ยนแปลง เวทีหินทรงกลมสีหยกใต้ตัวเจียงวั่งนูนสูงขึ้นมา ยกตัวเขาแยกออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แดนร้างกระจ่างสัจจะ บินไปสู่แม่น้ำดวงดาวอันเจิดจ้า

เวทีหินนี้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรประดับประดา แต่มีกลิ่นอายโบราณอย่างหนึ่งโคจรอยู่โดยธรรมชาติ บนผิวเวทีหินเป็นลายพร้อย มีรอยดาบ รอยกระบี่ รอยไหม้ดำ…มากมายจนนับไม่ไหว และยังมีกลิ่นอายสังหารเย็นเยือกที่รุนแรงอยู่ด้วย

เจียงวั่งเข้าใจว่านี่คือเวทีเสวนากระบี่ของตนเอง หลังจากได้รับกุญแจมายาและเข้าสู่มิติมายาห้วงจักรวาล เขายังไม่เคยใช้งานเวทีเสวนากระบี่เลย หนึ่งคือเพราะเขาเข้าใจว่าด้วยพลังของตนเอง เกรงว่าอยู่ในมิติมายาห้วงจักรวาลก็ไม่ได้ผลการฝึกอะไรนอกจากจะถูกสังหารอย่างโหดร้ายเท่านั้น สอง…เพราะทุกครั้งที่ขับเคลื่อนเวทีเสวนากระบี่จะต้องเสียแต้มสิบแต้ม

นอกจากสิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นเอง เจียงวั่งก็ไม่สามารถได้รับผลประโยชน์ใดๆ บนเวทีเสวนากระบี่ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่อยากจะสิ้นเปลืองแต้ม โดยเฉพาะหลังจากที่ได้สัมผัสความทรงพลังของเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาไป ก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงความล้ำค่าของแต้มเต๋า

ไม่นานนัก เจียงวั่งก็มองเห็นเวทีเสวนากระบี่ลักษณะเดียวกันบินเข้ามาจากส่วนลึกของแม่น้ำดวงดาว บนเวทีเสวนากระบี่มีร่างในชุดสีดำปลิวไสวร่างหนึ่งยืนอยู่ เวทีเสวนากระบี่ทั้งสองเพิ่มความเร็วในพริบตากลางแม่น้ำดวงดาว ก่อนจะชนเข้าด้วยกัน

สองเวทีเล็กรวมกันเป็นหนึ่งเวทีใหญ่ เจียงวั่งกับคู่ต่อสู้ยืนแยกอยู่บนเวทีเสวนากระบี่สองด้าน เวทีเสวนากระบี่ที่ควบรวมขยายใหญ่ไม่แตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ ต่างกันที่ความใหญ่เท่านั้น คะเนด้วยสายตามีรัศมีราวสามสิบจั้ง เจียงวั่งรู้ดีว่านี่ต่างหากคือลานต่อสู้ที่แท้จริง

ด้วยกฎเกณฑ์พิเศษของมิติมายาห้วงจักรวาล เจียงวั่งจึงไม่อาจมองเห็นลักษณะรูปร่างของคู่ต่อสู้ได้ชัดเจน แต่เขาจะได้ยินเสียงของอีกฝ่าย

“นับตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับเจ้าครั้งที่แล้ว เพื่อศึกในวันนี้ ข้าเตรียมตัวมาถึงครึ่งปีเต็ม!” นายแห่งแท่นหยกเขียวเอ่ยขึ้น “ในที่สุดก็ฝึกท่าเก้ากระบี่สุภาพบุรุษบุพกาลที่เหลืออยู่จนสำเร็จ โปรดลองรับมือ!”

เก้ากระบี่สุภาพบุรุษยุคบุพกาล ฟังแล้วแข็งแกร่งน่าดู…เป็นศิษย์ของสำนักหรูหรือ

ระหว่างเจียงวั่งกำลังคิดเช่นนี้ ก็แอบกระตุ้นปราณแท้เตรียมรับมือแล้ว การใช้งานปราณแท้ในมิติมายาห้วงจักรวาลไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นเขาจึงกล้าทุ่มทั้งหมดกับการต่อสู้ เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาเดิมทีเป็นวิชากระบี่เหนือมนุษย์อยู่แล้ว ภายใต้การส่งปราณแท้ลงไปอย่างเต็มเปี่ยม จึงจะสำแดงพลานุภาพที่แท้จริงออกมาได้

ดังนั้นถัดจากนี้เขาจะเผยสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งไม่เคยแสดงต่อหน้าใครออกมา

“ฟ้าโคจรแข็งขัน สุภาพชนมุ่งสู่ความแข็งแกร่งไม่หยุดยั้ง!”

หลังจากนั้น เจียงวั่งได้ยินนายแห่งแท่นหยกเขียวท่องประโยคนี้ขึ้นเบาๆ

แล้วเขาก็เห็นกระบี่ที่แสนจะธรรมดาและไม่มีอะไรพิเศษเล่มหนึ่ง มันเพียงตรงมาข้างหน้าเรื่อยๆ ด้านหน้ามีภูเขาก็เจาะภูเขาจนทะลุ ด้านหน้ามีแม่น้ำก็ตัดแม่น้ำจนขาด ด้านหน้าเป็นผืนนภาไร้ที่สิ้นสุด มันก็แทงทะลุไป!

มันไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ตรงมาข้างหน้าไม่หยุด

ทำลายหิน ตัดป่า ผ่าปีศาจ สังหารความชั่วร้าย…กระบี่นี้แทงผ่านทุกอย่างที่ขวางทาง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม!

เจียงวั่งยังกุมกระบี่ของเขาอยู่ รากพลังเต๋าที่สะสมอยู่ในจุดผ่านสวรรค์กำลังเดือดพล่าน ท่าสังหารเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาแทบจะหลอมรวมเข้ากับสัญชาตญาณ ทว่ากระบี่เล่มนั้นก็แทงเข้ามาที่หัวใจของเขาแล้ว

เขาตายในการต่อสู้

นายแห่งแท่นหยกเขียวมองเวทีเสวนากระบี่ที่จู่ๆ ก็ว่างเปล่า ตกตะลึงไปพักหนึ่ง เขามั่นใจในเก้ากระบี่สุภาพบุรุษที่สูญหายไปในสายธารประวัติศาสตร์อยู่พอควร แต่เขาก็ยังจำได้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งขนาดไหน

ทว่าศึกครั้งนี้กลับบดขยี้ทำลาย เอาชนะได้อย่างสมบูรณ์

เขาชนะแล้ว

นายแห่งแท่นหยกเขียว ไม่สิ ตอนนี้คือนายแห่งแดนร้างกระจ่างสัจจะแล้ว นายคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ยี่สิบสามตกตะลึงอยู่บนเวทีเสวนากระบี่ จิตใจปั่นป่วน

ส่วนเจียงวั่งที่ลดระดับลงมายังแท่นหยกเขียว เวลานี้ก็ยอมรับความจริงที่พ่ายแพ้แล้ว

ตามกฎการสร้างแต้มของแดนศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกอันดับแรก ทุกระดับจะมอบแต้มเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยแต้ม เดือนนี้เขาจะได้รับแต้มเพียงหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดสิบห้าแต้ม หายไปถึงหนึ่งร้อยแต้มเต็มๆ

แดนศักดิ์สิทธิ์ในมิติมายาห้วงจักรวาลเป็นแค่ชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงบนโลก ดังนั้นตั้งแต่แดนร้างกระจ่างสัจจะมาถึงแท่นหยกเขียว สภาพแวดล้อมจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงเป็นมิติมายาที่มีไอเซียนเข้มข้น กระทั่งนาฬิกาแดดก็ยังเหมือนกัน สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือแต้มที่จะได้เท่านั้น

เจียงวั่งคิดๆ ดู ก่อนจะเรียกเวทีแสดงเต๋าออกมา

แต้มหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบแต้มในเดือนแปดของเขายังไม่ขยับ พอบวกกับหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบแต้มของเดือนเก้า รวมแล้วมีอยู่สามพันหกร้อยแต้ม เจียงวั่งใส่แต้มทั้งหมดเข้าไปในเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาและเริ่มการอนุมาน

แรงกระทบกระเทือนที่เก้ากระบี่สุภาพบุรุษบุพกาลมอบให้เขานั้นหนักหนามาก นั่นคือวิชากระบี่ที่เขาไม่มีทางต้านทานได้เลย โอกาสสักนิดเดียวก็ยังไม่มี ดังนั้นเขาจึงต้องการคัมภีร์กระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ต่อให้ต้องแลกด้วยทุกอย่างที่มีในตอนนี้ก็ตาม

ตำราหยกบนโต๊ะไผ่เขียวเกิดภาพมายาเล็กน้อยแล้วหยุดลงอย่างฉับพลัน จากนั้นก็มีอักษรหมึกปรากฏขึ้นบนตำราหยกว่า ‘ขณะนี้เคล็ดกระบี่ถึงขีดจำกัดของเวทีแสดงเต๋าชั้นที่หนึ่งแล้ว ไม่สามารถอนุมานได้ แต้มที่เหลือคือ สามพันห้าร้อยเก้าสิบแต้ม’

เจียงวั่งหนังตากระตุก เวทีแสดงเต๋าบ้านี่ อนุมานไม่สำเร็จแต่ก็ยังหักไปสิบแต้ม!

ที่แท้การอนุมานวิชาเต๋าของเวทีแสดงเต๋าไม่สามารถทำสูงกว่าขีดจำกัดได้ และยังมีขีดจำกัดกับพื้นฐานของมันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเวทีแสดงเต๋าที่ระดับแตกต่างกัน ขีดจำกัดการสืบค้นก็ต่างกันด้วย

และเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาเดิมทีเป็นการอนุมานบนพื้นฐานวิชายุทธ์ของโลกมนุษย์ อยู่จุดสูงสุดแล้ว นอกเสียจากจะเพิ่มระดับให้กับเวทีแสดงเต๋า มิเช่นนั้นก็ไม่อาจพัฒนาต่อได้

เจียงวั่งไม่มีวิชาที่แข็งแกร่งกว่านี้แล้ว และก็ไม่มีความคิดที่จะขึ้นเวทีเสวนากระบี่ไปหาที่ตายอีก ดังนั้นจึงปรับอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะออกมาจากมิติมายาห้วงจักรวาล

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เดือนนี้ก็หายไปหนึ่งร้อยสิบแต้มแล้ว

ครั้นคิดถึงจุดนี้ เจียงวั่งถอนหายใจยาวๆ ออกมา

“พี่ชาย ท่านทำอะไรน่ะ” ในห้องนอนมีเสียงของเจียงอันอันดังขึ้นมา ดูเป็นห่วงเป็นใยมาก ไม่รู้ว่านางตื่นมากลางดึกหรือว่ายังไม่ได้นอนกันแน่

เจียงวั่งตอบด้วยอารมณ์ขุ่นๆ “ข้ากำลังต้มกลางคืน[1]อยู่ สุกแล้วเดี๋ยวจะเรียกเจ้า”

ดวงตาของเจียงอันอันพลันเปล่งประกายในความมืด “อร่อยไหม”

……………………………………….

[1] ต้มกลางคืน (熬夜) หมายถึงอดนอน