บทที่ 324 : ค่ายกลลวงตา และกระบี่ศิลา
ดังที่สุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘โลภมาก ลาภหาย’ – ซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน และชางกวนเจี๋วย ต่างก็โลภอยากจะได้สมบัติ จนกระเหี้ยนกระหือที่จะเปิดประตูศิลาให้ได้ และก็ใช้วิธีโง่เขลาอย่างที่สุด!
ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาและสิ้นคิดนัก!
การที่ชายหนุ่มทั้งสามคนในกลุ่มของซีเหมินกังช่วยกันทลายประตูศิลานั้น กลับไปกระตุ้นกลไกของค่ายกลมรณะให้เริ่มทำงาน แต่ทั้งสามคนกลับยังไม่รู้ตัว และยังคงหัวเราะร่าเริงสนุกสนานกับการที่สามารถทลายประตูศิลาได้โดยบังเอิญ!
หลิงหยุนกัดฟันข่มความโกรธ! เขานึกเสียใจที่ได้ปราณีชายหนุ่มทั้งสามก่อนหน้านี้ หากเขาฆ่าสามคนนี้ทิ้งตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากถึงเพียงนี้!
แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเสียงครืนที่น่ากลัวนั่นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง.. หลิงหยุนก้มลงใช้มือซ้ายอุ้มเจ้าขาวปุยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ร้องบอกตู้กู่โม่เสียงดัง..
“นายตามฉันมาเร็วเข้า!!”
ระหว่างนาทีแห่งความเป็นความตายนั้น หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างขั้นสูงสุด วิ่งฝ่ากำแพงหินที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
มีถ้ำหินเล็กๆอีกหกถ้ำที่เป็นเส้นทางทะลุมาสู่ถ้ำหินแห่งนี้ได้ แต่ก็อยู่ห่างไกลประตูศิลามาก หลิงหยุนรู้ว่าคงจะไม่ทันการหากเขาจะวิ่งไปยังถ้ำหินแห่งใดแห่งหนึ่ง เขาจึงเลือกที่จะวิ่งเข้าไปในตำแหน่งหัวใจมังกร
และในฐานะปรมาจารย์ผู้รอบรู้เรื่องค่ายกลต่างๆ การที่หลิงหยุนจะวิ่งไปหยุดที่จุดใดนั้น ย่อมหมายความว่าเขาได้คำนวนว่าปลอดภัยดีแล้ว หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องปลอดภัยได้ชั่วคราว
ไม่เพียงแค่หลิงหยุนที่ได้ยินเสียงค่ายกลทำงาน แม้แต่ตู้กู่โม่เองเมื่อได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิงหยุน เขาก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งตามไปทันที
“นี่มันวิชาอะไรกัน.. ถึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้?!” ตู้กู่โม่ถามหลิงหยุนด้วยความตกใจเล็กน้อย
หลิงหยุนเพิ่งจะใช้วิชามังกรพรางร่างแสดงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างที่ตู้กู่โม่เองไม่เคยเห็นมาก่อน จนตู้กู่โม่ถึงกับตะลึง! ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของหลิงหยุนนั้นถึงขนาดที่ว่า ร่างกายของของเขานั้นเคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ที่หนึ่งแล้ว แต่เสียงร้องเตือนของเขาเพิ่งจะดังมาเข้าหูของตู้กู่โม่ที่อยู่หน้าประตูศิลา
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของหลิงหยุนนั้น ทำให้ตู้กู่โม่อดที่จะนึกถึงคำคำหนึ่งที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน นั่นคือการเคลื่อนย้ายมวลสารในชั่วพริบตาแบบที่เรียกว่า ‘เทเลพอร์ต’!
หลิงหยุนไม่ตอบคำถาม.. มือซ้ายของเขากอดเจ้าขาวปุยไว้แน่น ส่วนมือขวาก็ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ ร่างของเขาพิงอยู่กับกำแพงหินด้านหลัง จากนั้นก็สั่งตู้กู่โม่ว่า
“นายมายืนให้ชิดกำแพงหินไว้ จับเสื้อของฉันไว้ให้แน่น แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกของหลิงหยุน ตู้กู่โม่จึงรีบจับชายเสื้อของเขาไว้ทันที พร้อมกับยกกระบี่ในมือขึ้นอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอย่างเชื่อฟัง แต่ปากก็ร้องตะโกนถามไม่หยุด..
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร.. ให้ตายเถอะ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
ยังไม่ทันที่ตู้กู่โม่จะพูดจบ.. เขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อจู่ๆผนังหินที่ไม่รู้ว่าหนาเท่าไหร่ ก็เคลื่อนมาปรากฏอยู่ตรงหน้า และตามมาด้วยหมอกสีขาวที่หนาจนแทบมองอะไรไม่เห็น จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกเลย
แม้ว่าจะอยู่ในความมืดมิด แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นยอดฝีมือในขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไป สายตาของทุกคนจึงนับว่าต้องดีมาก อีกทั้งยังอยู่ในถ้ำมาถึงสามวันสามคืนแล้ว สายตาจึงสามารถปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้ว
ส่วนหลิงหยุนที่ฝึกวิชาดารกะดายันนั้น สายตาของเขาจึงดีกว่าตู้กู่โม่มาก แม้ในท่ามกลางความมืดมิด เขาก็ยังสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าและชัดเจนกว่าตู้กู่โม่
และการฝึกดารกะดายนั้น คือการฝึกเป็นหนึ่งเดียวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่ส่องสว่าง ดังนั้นในการฝึกผ่านไปแต่ละระดับย่อยนั้น สายตาของผู้ฝึกฝนก็จะดีขึ้นด้วย ตู้กู่โม่แม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ในด้านนี้ก็ไม่สามารถเทียบกับหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน
หมอกสีขาวที่หนาแน่นนั้น เพียงแค่พริบตาเดียวก็ทำให้ตู้กู่โม่ไม่สามารถมองเห็นกำแพงที่เพิ่งปรากฏตรงหน้าได้อีกเลย เขาเริ่มรู้สึกว่าดวงตาของเขาพร่ามัวและร่างกายเริ่มจะเป็นอัมพาต
ตู้กู่โม่ที่จับเสื้อของหลิงหยุนไว้แน่น กำลังจะร้องถามออกไป แต่หลิงหยุนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน..
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น..! คอยฟังเสียงอย่างเดียว แล้วก็อย่าไปคิดถึงกำแพงหินที่ล้อมรอบตัวนายอยู่ หากได้ยินเสียงคล้ายมีอะไรพุ่งออกมา จำไว้ว่านั่นคือเสียงของกระบี่ที่พุ่งออกมา!”
ตู้กู่โม่ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็สามารถเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนได้อย่างแจ่มแจ้งว่า กำแพงหินที่เขามองเห็นนั้นเป็นแค่ค่ายกลลวงตา ส่วนหมอกสีขาวนั้นมีฤทธิ์ในการสร้างภาพหลอนให้เห็นว่ากำแพงหินกำลังบีบเข้ามาเรื่อยๆ และมีผลต่อจิตใจอย่างมาก
ในเวลานี้.. สิ่งเดียวที่สามารถใช้งานได้คือการฟัง และความเชื่อมั่น!
หลิงหยุนได้ยืนหลับตามาตั้งแต่แรก เขาจึงไม่เห็นทั้งหมอกขาวและกำแพงหิน ตอนนี้เขาเพียงแค่จดจ่ออยู่กับลมหายใจ และใช้หัวใจสัมผัสแทน..
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีกำแพงหินล้อมข้าไว้มากมายแบบนี้!”
“โอ้.. หมอกหนาขนาดนี้ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย..”
“ซีเหมิน หนานกง พวกเจ้าอยู่ที่ใหน กำแพงหินพวกนี้เคลื่อนที่ได้ มันกำลังจะบดร่างของข้า!”
ตอนนี้.. คนชั่วร้ายทั้งสามต่างก็พากันร้องตกใจ และใบหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ตอนนี้ทั้งสามคนจะยืนอยู่ด้วยกัน แต่เพราะหมอกขาวที่หนาทึบ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันและกันได้!
พวกเขาเห็นเพียงแค่หมอกหนาสีขาว และท่ามกลางหมอกสีขาวก็มีกำแพงหินสี่ด้านที่กำลังบีบรัดเข้ามา แคบลง.. และแคบลงเรื่อยๆ
“ไม่นะ..!!!”
ถ้ำหินแห่งนี้ใหญ่โตกว่าสองร้อยเมตร และสูงราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตร ไม่ต่างจากหม้อขนาดใหญ่ที่กำลังขังทุกคนอยุ่ด้านใน
ในขณะที่แต่ละคนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้น ก็มีกระบี่ศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากเพดานหินด้านบนศรีษะ และร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน เรียกได้ว่าไม่มีช่องว่างให้หลบได้แม้แต่น้อย!
หลิงหยุนได้ตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาตั้งใจฟังเสียงอย่างดี เพราะรู้ว่าค่ายกลมรณะแห่งนี้กำลังเริ่มทำงาน เขาสะบัดกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือปัดป้องบนศรีษะของตนเองและตู้กู่โม่
ตู้กู่โม่เองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน แต่เมื่อเขาต้องการที่จะใช้กระบี่ในมือป้องกันตัวเอง เขากลับพบว่ากระบี่ในมือของเขานั้นกระแทกเข้ากับกำแพงหินด้านหน้าและไม่สามารถขยับได้!
“อ๊าก..! อ๊าก..! อ๊าก..! อ๊าก..!”
เสียงกรีดร้องสี่เสียงดังขึ้นพร้อมกัน.. ซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน และชางกวนเจี๋วย ทั้งสามคนถูกกระบี่ศิลาที่ร่วงลงมาจากเพดานถ้ำสังหารในเวลาเดียวกัน ส่วนเหลยเวิ่นซิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงครู่เดียว ก็ไม่สามารถหนีรอดจากชะตากรรมครั้งนี้ได้ และตายลงอย่างน่าเวทนา!
แต่ตงฟางถิงแห่งตระกูลตงฟาง และหมัดเทวะเถี่ยเจิ้งผิง ที่ทำตามหลิงหยุนนั้น กลับไม่ได้รับบาดแผลหรืออันตรายแต่อย่างใด!
เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังได้สร้างความเลวร้ายให้เกิดกับเจ้างูยักษ์ผู้พิทักษ์น้ำลายมังกรอีกด้วย เพราะแม้ว่าเกล็ดของมันจะแข็งยิ่งกว่าเหล็ก แต่กระบี่ศิลาเหล่านี้กลับมีผลกระทบต่อร่างใหญ่ยักษ์ของมันอย่างมาก กระบี่ศิลาจำนวนมากที่ร่วงลงมาจากเพดาน ได้แทงเข้าตามลำตัวของมัน และยึดร่างใหญ่ยักษ์ของมันติดไว้กับพื้นหินจนแน่น!
บาดแผลมากมาย เลือดที่กระเด็นกระจัดกระจาย และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเจ้างูยักษ์ดังโหยหวลไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ในเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ ก็ไม่มีใครที่จะสามารถขยับตัวทำอะไรได้แม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าเจ้างูเหลือมใหญ่ยักษ์มหึมาตัวนี้ ก็คือมังกรที่ถูกทำโทษให้จองจำอยู่ในค่ายกลสำหรับกักขังมังกรแห่งนี้ และต้องมาเผชิญกับความหายนะตั้งแต่ยังไร้เดียงสา
หลิงหยุนได้ยินเสียงร้องโหยหวลของเจ้างูยักษ์ ในจิตใจของเขาแม้ไม่อาจทนได้ แต่ก็ทำแค่ฟังเสียงร้องของมัน เพราะตอนนี้เขาเองก็ต้องปกป้องเจ้าขาวปุยที่อยู่ในมือ และตู้กู่โม่ที่อยู่ข้างๆ
หลังจากผ่านพ้นกระบี่ศิลาที่ร่วงลงมาเป็นพายุฝนแล้ว หลิงหยุนก็รีบส่งกระแสจิตบอกตู้กู่โม่ ‘พวกเราอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรีบเปลี่ยนที่ นายมากับฉัน!’
ตู้กู่โม่อึดอัดจนหายใจไม่ออกเพราะถูกกำแพงหินโอบล้อมอยู่ในเวลานี้ เขาดิ้นรนพยายามที่จะส่งกระแสจิตแต่ก็ทำไม่ได้ เขาจึงร้องออกมาเสียงดัง “ข้าขยับตัวไม่ได้!”
หลิงหยนุไม่มีเวลาที่จะอธิบายอะไรมากในตอนนี้ เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลอะไรมาก เอาเป็นว่าจับเสื้อของฉันไว้ให้แน่น!”
หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ใช้วิชามังกรพรางร่างพาทุกคนออกมาจากกำแพงหิน จากนั้นก็ถามตู้กู่โม่ว่า “นายยังรู้สึกเหมือนมีกำแพงบีบรัดอยู่อีกไม๊?”
วินาทีที่ตู้กู่โม่เกาะเสื้อหลิงหยุนไว้แน่นนั้น เขาไม่รู้สึกว่ามีกำแพงหินบีบรัด แต่ก็รู้สึกเหมือนร่างของเขาพุ่งทะลุกำแพงหินไป และตอนนี้ก็มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขา และได้รับบาดเจ็บภายใน
“กำแพงหินนั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ไม่มีกำแพงหินอยู่จริง นายอย่าไปคิดถึงกำแพงหินพวกนั้น!” หลิงหยุนรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อใช้กังกรคำรามร้องออกไป!
ตู้กู่โม่ใจสั่นแต่ก็สามารถเข้าใจได้ทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าไม่มีกำแพงหินจริง แล้วเหตุใดข้าจึงกระอักเลือด?”
ความจริงแล้ว.. เหตุการณ์ในครังนี้ก็ไม่ต่างจากคนที่โกรธจนกระอักเลือด มันซับซ้อนและลึกลับเกินกว่าที่จะอธิบายได้ ทุกอย่างเป็นกระบวนการทางจิตวิทยา
บางคนอาจพบเจอกับเหตุการณ์หรือภาพที่น่ากลัวจนหัวใจวายตายได้ เรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน
แต่หลิงหยุนไม่มีเวลาอธิบาย เขาบอกกับตู้กู่โม่อย่างหนักแน่นว่า “นี่เป็นวิธีการเอาตัวเรอด! นายจำเอาไว้ให้ดี!”
ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบ กำแพงหินรอบตัวและกระบี่ศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาอีกระลอก คราวนี้กระบี่ศิลาไม่เพียงร่วงลงมาจากเพดาน แต่พุ่งออกมาจากทุกทิศทาง กระบี่ศิลาเล่มใหญ่จำนวนมากที่พุ่งจากทุกทิศทางนี้ ไม่ต่างจากตาข่ายฟ้าดินที่ยากจะหลุดรอด
ครั้งนี้ ทั้งตู้กู่โม่และหลิงหยุนต่างก็สะบัดกระบี่ในมือพร้อมๆกัน เพื่อปัดป้องกระบี่ศิลาที่กระหน่ำมาราวกับพายุ
เจ้างูยักษ์ยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของมันเมื่อครู่หายไปทันที เหลือเพียงแค่ร่างอ่อนระทวยบนพื้นหิน
ครั้งนี้หมัดเทวะเถี่ยเจ้งผิงไม่อาจหนีรอดจากชะตากรรมได้ เขาเพิ่งจะปล่อยหมัดออกไปได้สองสามหมัดก็ถูกกระบี่ศิลาแทงตาย
ส่วนตงฟางถิงนั้น ไม่รู้ว่าเขาได้บ่มเพาะจิตแห่งเต๋ามาแบบใหน เพราะดูเหมือนว่าค่ายกลลวงตาจะไม่สามารถทำอันตรายเขาได้แม้แต่น้อย แต่กระบี่ศิลาในครั้งนี้มีจำนวนมากมายเหลือประมาณ และยังพุ่งออกมาจากทั่วทุกทิศ เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบี่ศิลาที่พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังและขา!
หลิงหยุนได้ยินเสียงร้องของตงฟางถิง และเสียงล้มลงกับพื้น เขารีบใช้มังกรคำรามร้องถามออกไป
“พี่ตงฟาง.. พี่ชายท่านอยู่ที่ใหน? ขยับตัวได้หรือไม่?”
แม้ว่าตงฟางถิงจะรู้ว่ากระบี่ในมือของหลิงหยุนนั้นเป็นกระบี่วิเศษ แต่เขากลับไม่มีความต้องการที่จะยื้อแย่งไป ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประทับใจในตัวของตงฟางถิงมาก
“น้องหลิงหยุน.. ข้าอยู่ที่ประตูศิลาทางด้านขวามือ ข้าขยับเขยื้อนไม่ได้…” ตงฟางถิงร้องออกไป
หลิงหยุนฟังเสียงและจำตำแหน่งได้อย่าแม่นยำ เขาใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่ไปหาตงฟางถิงพร้อมตู้กู่โม่อย่างรวดเร็ว
หลิงหยุนฟังเสียงหายใจของตงฟางถิงมาและถามขึ้นว่า “ท่านบาดเจ็บตรงใหน?”