ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงได้เข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่า นักบุญหญิงคนที่สี่สิบเก้าได้

ฉันนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะเข้ามาสู่ร่างของนาง

อาคารที่ฉันอยู่เป็นอาคารที่เต็มไปด้วยคนไข้ซึ่งต้องพักฟื้นระยะยาว

กิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซาก นั่นคือการนอนอยู่บนเตียงแล้วลุกขึ้นมาตรวจร่างกาย ฉีดยาและรับประทานอาหารตามเวลาที่กำหนด อีกทั้งเพราะคนไข้ส่วนใหญ่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ดังนั้นจึงได้แต่หาอะไรทำอยู่บนเตียง

กิจกรรมที่เหมาะสมที่สุดจึงเป็นการเล่นเกมหรือไม่ก็ดูคลิปวิดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือ ถ้าเบื่อเรื่องพวกนั้นก็อ่านหนังสือแทน

ฉันเองก็ใช้ชีวิตแต่ละวันไปแบบนั้น พออยู่โรงพยาบาลนานเข้า พ่อกับแม่เลยมาเยี่ยมแค่อาทิตย์ละครั้ง อีกทั้งยังไม่มีเพื่อนมาเยี่ยมสักคนเพราะไม่ได้ไปโรงเรียนมานานแล้ว ช่วงแรกที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาลก็ทำอะไรหลายอย่างเพราะเบื่อ ตอนนั้นคนที่นอนเตียงข้างๆ พูดกับฉันที่กำลังติดตั้งแอปโซเชียลมีเดียลงในโทรศัพท์ว่า

“ของพวกนั้นยังไงก็เล่นนานไม่ได้ มีแต่ทำให้อารมณ์แย่ลง”

ทำไมมาพูดอะไรแบบนี้กับคนที่กำลังจะเริ่มเล่น ฉันนิ่วหน้าและไม่สนใจคำพูดพวกนั้น แต่ว่าไม่นานก็เข้าใจเหตุผล เรื่องที่คนที่อยู่แต่ในโรงพยาบาลจะอัปโหลดลงมีแต่เรื่องเดิมๆ ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนมาดูชีวิตประจำของผู้คนที่อยู่ข้างนอกแทน

อย่างเช่น คนที่อัปโหลดรูปรถติดแล้วบอกว่าไปนัดสาย คนที่อัปโหลดรูปสถานที่จัดคอนเสิร์ตแล้วบอกว่าในที่สุดก็ได้มาคอนเสิร์ตของนักร้องที่รอคอยมานาน คนที่อัปโหลดรูปแมวตัวใหม่ที่บ้านแล้วบอกว่าน่ารักมาก

พอมีเวลาว่างฉันจะนั่งดูกิจวัตรประจำวันของคนอื่นราวกับถูกครอบงำ จนวันหนึ่งฉันต้องเข้าห้องไอซียูเพราะเกิดอาการชักโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อได้กลับมายังห้องพักผู้ป่วยคือการเปิดโทรศัพท์มือถือ

แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครติดต่อมา ฉันมองดูโทรศัพท์ที่ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ เปิดแอปโซเชียลมีเดียที่เล่นมาตลอดขึ้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ ในตอนที่ฉันใกล้ตาย โลกภายนอกก็ยังสงบสุข ผู้คนยังคงอัปโหลดรูปชีวิตประจำวันที่มีความสุขและสนุกสนานของตัวเอง

ฉันลบแอปพลิเคชันนั้นทิ้ง ตอนนั้นถึงได้เข้าใจคำพูดของคนไข้เตียงข้างๆ มีแต่ทำให้อารมณ์แย่ลง คำพูดนี้ไม่ผิดเลย

หลังจากนั้นฉันจึงทำเพียงอ่านหนังสือ ในนั้นไม่ได้เขียนถึงชีวิตประจำวันแต่เป็นเรื่องราวอันแสนวิเศษ เรื่องราวพวกนั้นอย่างไรก็มีตอนจบ

ตอนนี้พอมาลองคิดดูแล้วพบว่าฉันคงชอบที่เรื่องราวพวกนี้มีตอนจบ ตัวละครและโลกที่ได้พบกับตอนจบก่อนฉัน ถึงจะน่าอาย แต่ฉันคิดว่าฉันชอบมัน ชีวิตที่ฉันผู้ซึ่งนอนอยู่ในโรงพยาบาลสามารถรู้สึกสงสารได้ ถึงจะรู้ว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า แต่ฉันอยากอ่านเรื่องราวของคนที่โชคร้ายและน่าเวทนามากกว่าที่ฉันเป็น ฉันอยากคิดว่าชีวิตของฉันไม่เลวเลยเมื่อเทียบกับชีวิตของพวกเขา

ร่างกายของฉันก็ค่อยๆ อ่อนแอลง พ่อกับแม่ที่มาเยี่ยมอาทิตย์ละครั้งก็มาน้อยลง ฉันไม่ได้โทษพวกเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สีหน้าของพวกเขาดูเหนื่อยล้ากว่าตัวฉันที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล

ดังนั้นฉันจึงสบายใจกว่าหากพวกเขาไม่มา เป็นเพราะตัวฉันทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนั้น…

‘ฉันควรรู้สึกขอบคุณสิ ถึงพวกเขาจะทำแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้’

ร่างกายของฉันแย่ลงเรื่อยๆ แต่ฉันพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่แสดงความเจ็บปวดออกไป ฉันสัมผัสได้ว่าคงมีชีวิตอยู่ไม่พ้นปีหน้า ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปแบบนั้นจนกระทั่งฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาจากห้องรับรองบนชั้นที่พักอยู่

ตอนแรกฉันคิดว่านี่เป็นหนังสือของห้องรับรอง แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ใหม่มากแถมยังไม่มีสัญลักษณ์หรือข้อความใดๆ ที่เขียนไว้ให้รู้ว่าเป็นของโรงพยาบาลเลย เอาวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมดีไหมนะ ฉันคิด ก่อนจะหยิบหนังสือกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย

ฉันนอนอยู่บนเตียงพลางพิจารณาหน้าปกของหนังสือ ชื่อเรื่อง ‘อีริส’ ท้ายชื่อเรื่องมีหมายเลขสองกำกับอยู่

‘เล่มสองหรอกเหรอ?’

ถึงอย่างไรก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

‘ถ้ามีเล่มหนึ่งด้วยก็คงดี หรือเป็นเล่มสุดท้ายก็ได้’

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ทั้งต้นเรื่องหรือตอนจบ ฉันคิดหนักว่าจะอ่านดีหรือไม่ขณะที่หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา

‘ลองอ่านจากตรงนี้ดูก่อนแล้วกัน’

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หนังสือที่ต้องอ่านให้ได้ ฉันเริ่มอ่าน ‘อีริส’ เล่มสอง แม้ไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้าแต่ก็ยังพอคาดเดาเนื้อเรื่องได้ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่มีนามว่าอีริสตามชื่อของหนังสือ เล่มสองเริ่มด้วยเรื่องราวที่อีริสรู้ว่าพลังที่ตนเองครอบครองคือพลังศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันพลังศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาวนามว่าอีเบลลีน่าที่อยู่วิหารหลวงกลับค่อยๆ หายไป

เรื่องราวต่อจากนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำที่ชั่วร้ายของอีเบลลีน่า อีเบลลีน่าวิตกกังวลที่ตนสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปและเริ่มทำอะไรตามอำเภอใจมากขึ้น นางไม่ไปเข้าร่วมพิธีสวดภาวนาที่ต้องแสดงพลังศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังพาชายหนุ่มที่พูดแต่คำหวานไปยังที่พักและใช้เวลาทั้งคืนกับพวกเขา

หญิงสาวขับไล่พวกนักบวชที่ต่อว่าความประพฤติของนางออกไป นางถูกพวกประจบสอพลอหลอก ทั้งยังนำของมีค่าและทรัพย์สินของวิหารหลวงไปให้พวกเขาภายใต้ชื่อของนางอย่างเอาแต่ใจ

ชื่อหนังสือควรจะเป็นอีเบลลีน่ามากกว่าไหมนะช่วงต้นของเรื่องมีเรื่องราวเกี่ยวกับอีเบลลีน่ามากจนทำให้เกิดความสงสัย

เทียบกับการกระทำอันเลวร้ายของอีเบลลีน่า อีริสได้ใช้พลังของเธอในการช่วยเหลือผู้คน ระหว่างนั้นอีริสจึงได้พบปะผู้คนมากมายและสนิทกับพวกเขา

‘…ผู้บัญชาการอัศวิน, องค์ชายรัชทายาท, จักรพรรดิเวทมนตร์ สมกับเป็นนางเอกจริงๆ สินะ’

อีริสสนิทสนมกับตัวเอกชายตั้งแต่ก่อนที่จะถูกอีเบลลีน่าจับตัวไปแล้ว พวกเขาถึงได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่ออีริสตกอยู่ในอันตราย หลังจากอ่านหนังสือไปได้สักพัก ก็พบว่าอ่านมาถึงส่วนที่อีเบลลีน่าถูกเผาแล้วโดยไม่รู้ตัว

…นั่นคือช่วงเวลาสุดท้ายของนักบุญหญิงตัวปลอม

เนื้อหาของเล่มสองตัดจบลงแบบนั้น ได้จัดการกับตัวร้ายที่เป็นภัยอันตรายแล้วเล่มหน้าก็คงเป็นเรื่องราวอันชื่นมื่นของอีริสสินะ คงมีเรื่องราวความสัมพันธ์กับตัวเอกชายทั้งสามคนเป็นหลัก

‘คงไม่ต้องตั้งใจอ่านตอนหลังของเรื่องก็ได้’

อ่านไปก็มีแต่จะทำให้อิจฉาตัวละครในหนังสือ ฉันเลื่อนม่านปิด ดับไฟ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

‘เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตอนมีคนมาตรวจร่างกายต้องขอให้พวกเขาช่วยตามหาเจ้าของหนังสือให้’

ทว่าสิ่งนั้นก็ไม่เกิดขึ้น

ฉันกดปุ่มฉุกเฉินเพราะอาการหายใจไม่ออกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางพยาบาลวิ่งเข้ามา เธอร้องเรียกหาทีมแพทย์อีกครั้ง ข้างหูได้ยินเสียงตะโกนก้องให้ตั้งสติ ร่างกายได้รับแรงกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สติของฉันกลับค่อยๆ เลือนลาง ชั่วขณะที่เสียงร้องของผู้คนห่างไกลออกไป ฉันหันหน้ากลับมาและมองไปยังหนังสือที่อ่านก่อนนอน

นี่คือหนังสือเล่มสุดท้ายที่ฉันได้อ่าน

คืนนั้น ฉันตายไปแล้ว

ใช่ มั่นใจว่าตายไปแบบนั้นแล้วจริงๆ

“เฮือก”

ฉันหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วมองไปรอบห้อง

เป็นห้องที่กว้างขวางมาก มากจนต้องเดินหลายสิบก้าวจึงจะไปถึงอีกด้านหนึ่งของห้องได้

ไม่ใช่แค่กว้างอย่างเดียว ที่ผนังห้องและเพดานยังเต็มไปด้วยภาพวาดแสนประณีตและงดงามราวกับมีชีวิต ทั้งยังมีของตกแต่งสีทองและสีแดงอันหรูหราประดับไปทั่วทั้งห้อง

โคมไฟระย้าแสนตระการตาแขวนอยู่บนเพดานสูง ผ้าม่านลวดลายหรูหราที่หน้าต่างใหญ่แต่ละบาน ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝากหนึ่งของห้องยังมีเตียงนอนหรูหราขนาดใหญ่ที่มักจะพบเห็นในปราสาทต่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่เตียงนอน ยังมีตู้วางของ โต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องปั้นดินเผา

ให้พูดก็คือเป็นห้องที่หรูหรามาก

หลังจากพิจารณาห้องนี้อย่างเหม่อลอยได้สักพัก ฉันก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นสิ่งที่ทำให้ต้องอ้าปากค้างและกะพริบตาซ้ำๆ เพราะที่นี่มีของที่ทำให้ห้องนอนหรูหราเมื่อครู่ดูซอมซ่อขึ้นมาในพริบตา

รูปปั้นที่แกะสลักขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ ถ้วยชามฝังอัญมณีทั่วทั้งใบ ผ้าไหมที่กองสูงเป็นภูเขา… ฉันบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้เห็นของพวกนี้

“เพราะใช้ชีวิตแบบนี้ถึงได้ตายไปแบบนั้นไง…”

บ่นเสร็จก็เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นแกะสลักที่วางอยู่บนตู้วางของ แล้วหันไปมองกระจกที่อยู่อีกฝั่ง รูปปั้นที่แกะสลักขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ที่วางอยู่ตรงหน้าฉัน ขณะนี้ดูคล้ายหญิงสาวผมบลอนด์เจ้าของดวงตาสีฟ้าซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ฉันก้มมองดูตัวอักษรที่เขียนอยู่บนแท่นวาง

อีเบลลีน่า

“อีเบลลีน่า…”

ฉันพึมพำชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะทึ้งหัวตัวเอง

“ทำไมกลายเป็นนางไปแล้วล่ะ…!”

***

หนึ่งอาทิตย์ก่อน ตอนที่ลืมตาขึ้นมา จำได้ว่าหมดสติไปแล้วในโรงพยาบาลเลยนึกว่าที่นี่คือโลกหลังความตาย นั่นคือก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงร้องเรียก

“ท่านนักบุญหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่!”

นักบุญหญิง? กำลังเรียกใครอยู่หรือ? ขณะที่กำลังไม่เข้าใจ พอฉันลืมตาขึ้นมา คนที่อยู่ด้านข้างก็นั่งคุกเข่าเปล่งเสียงขอบคุณพระเจ้า

“โอ้ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่! ขอบคุณสวรรค์ มัวทำอะไรอยู่ รีบไปแจ้งนักบวชคนอื่นเร็วเข้า!”

“ค่ะ/ครับ”

ผู้คนที่เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกกำลังตะโกนอะไรบางอย่างอยู่รอบตัว พวกเขาสวดภาวนากันวุ่นวายมาก เพราะยังประมวลผลไม่ทันเลยทำเพียงมองไปยังท่าทีเหล่านั้น รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง พวกเขาไม่ใช่หมอหรือพยาบาลที่เคยเห็นมาตลอด เป็นคนแปลกหน้าซึ่งใส่เสื้อผ้าแบบที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา

รู้หรือไหมว่าทุกคนกังวลเพียงใดที่ท่านสลบไปถึงหนึ่งสัปดาห์ ท่านนักบุญหญิงอีเบลลีน่า!”

…อีเบลลีน่า? นักบุญหญิง?

ตั้งแต่วันที่ฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหน

ฉันทะลุมิติเข้ามาในหนังสือที่ได้อ่านก่อนนอน แต่ทำไมต้องเข้ามาในร่างของตัวร้ายที่จะโดนเผาด้วย

“ทำไมต้องเป็นอีเบลลีน่าด้วย…”

ตายแล้วทะลุเข้ามาในหนังสือ แถมอยู่ได้อีกไม่นานก็มีชะตาให้ต้องตายอีกครั้งเนี่ยนะ หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ฉันพยายามนึกถึงเรื่องราวที่อ่านมาให้ได้มากที่สุด เลยได้รู้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาไหน ตอนนี้คือช่วงเวลาสองปีก่อนตาย หนึ่งปีหลังจากนี้ข่าวคราวของอีริสจะโด่งดังไปทั่วโลกใบนี้ แล้วหลังจากนี้อีกหนึ่งปี ฉันก็จะตาย

จะทำยังไงดีนะ

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ ความคิดแรกที่เข้ามาคือ ‘จะตายแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด’

ถ้าอย่างนั้นต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

“…ต่อจากนี้ควรทำยังไงดี”

ฉันไม่อยากตาย ใครที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องคิดแบบนี้แน่นอน แต่ฉันมั่นใจว่าฉันมีความปรารถนานั้นมากกว่าใคร

‘เพราะเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง’.

ความทรงจำขณะที่กำลังจะตายยังคงชัดเจนอยู่ในหัวจนไม่อาจปฏิเสธได้ เสียงฝีเท้าของหมอที่วิ่งมา เสียงเครื่องมือ เสียงกระซิบกระซาบว่าจะทำอย่างไรดีของผู้คนรอบข้าง ทันใดนั้นการมองเห็นก็มืดลง ปี๊ด เสียงต่ำของสัญญานที่ดังขึ้นพร้อมกับริมฝีปากของหมอที่เม้มแน่น สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือโลกที่ว่างเปล่าและเงียบงัน

เป็นช่วงเวลาที่อึดอัดและขมขื่น เพียงนึกถึงก็ทำให้ลมหายใจติดขัดและอยากร้องไห้

ยิ่งไปกว่านั้น…’

ฉันลองกระโดดเบาๆ แล้วลองขยับแขนขาไปมา ร่างกายนี้เคลื่อนไหวได้ตามที่ฉันต้องการ นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉันต้องคอยระวังทุกย่างก้าวอยู่เสมอ การกระโดดนั้นจึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ ทว่าร่างกายของอีเบลลีน่าที่ฉันได้เข้ามาอยู่นี้ เป็นร่างกายที่แข็งแรง

ร่างกายนี้สำคัญและทำให้รู้สึกเบิกบานมาก เรื่องที่ฉันอธิษฐานอยู่เสมอตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็คือเรื่องนี้ สามารถใช้ขาเดินไปยังสถานที่ที่อยากไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ฉันอิจฉาที่ทุกคนสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างสนุกสนาน

หันกลับไปส่องกระจกอีกครั้ง มองดูอีเบลลีน่า หญิงสาวผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้างดงาม

ฉันรู้ดีว่าฉันคือแขกไม่ได้รับเชิญที่ถือวิสาสะเข้ามาอยู่ในร่างนี้ ดังนั้นสักวันหนึ่งฉันจะต้องถูกไล่ออกไปแน่นอน

‘จะใช้ร่างกายนี้ตามอำเภอใจไม่ได้’

แค่การหายใจที่ไม่ลำบากก็เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณต่อร่างกายนี้แล้ว ฉะนั้นแม้รู้ว่าสองปีหลังจากนี้จะต้องตายก็ไม่อาจใช้ตามใจชอบได้ ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อีเบลลีน่าจะได้สติกลับมา แต่ฉันก็อยากคืนร่างกายนี้ให้เธออย่างปลอดภัย ด้วยสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่

‘โชคดีที่ยังพอจำเรื่องราวในหนังสือได้ แถมยังมีความทรงจำของอีเบลลีน่าอีก’

ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่ฉันมีความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่

‘ที่นี่คือที่ใดกัน’ ‘ท่านเป็นใคร’ ไม่ต้องถามคำถามจำพวกนี้เพราะฉันรู้ดีว่าคนที่อยู่รอบกายฉันคือใคร และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

แต่ความทรงจำที่มีอยู่นั้นชัดเจนเกินไป ฉันเลยได้รู้ถึงเรื่องไม่ดีที่อีเบลลีน่าทำก่อนที่ฉันจะเข้ามาอยู่ในร่างนี้ด้วย

“ทำยังไงดีล่ะ…”

ฉันบ่นพึมพำพลางถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินมาหน้ากระจก เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้คือชุดของนักบุญหญิงซึ่งให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็น สะอาดสะอ้าน และศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ที่ผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์มีสัญลักษณ์สีเหลืองทองหรูหราประดับอยู่ทั่ว ฉันจับคอเสื้อแล้วมองลงไป

ส่วนที่มองเห็นได้ภายนอกชุดคือผิวขาวเนียนไม่มีตำหนิใดๆ ทว่าผิวด้านใต้ชุดกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ไม่ใช่แค่รอยสีแดง มีรอยฟกช้ำสีเขียวคล้ายรอยมืออยู่ทั่วทั้งร่าง ทั้งยังมีรอยฟันเต็มไปทั้งหน้าอก

ฉันไม่เคยทำอะไรที่ทำให้เกิดรอยบนตัวขนาดนี้มาก่อน ทว่า ‘อีเบลลีน่า’ ต่างออกไป

“…เธอคิดอะไรอยู่กันแน่”

ฉันบ่นพึมพำขณะมองกระจก ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วไล่ทุกคนออกไปเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นรู้สึกปวดหัวจนเหมือนสมองจะระเบิด จากนั้นความทรงจำของอีเบลลีน่าก็ผุดขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้ อีเบลลีน่าเข้านอน ไม่ได้นอนคนเดียว แต่นอนกับผู้ชายสองคน

“บ้าไปแล้ว…”

การกระทำของพวกเขาทั้งสามเป็นเรื่องที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของฉันจนยากจะเข้าใจ ฉันนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นพลางนวดศีรษะไปด้วย ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ฉันคิดว่านางเป็นคนที่น่าทึ่งมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาเห็นรอยอะไรแบบนี้

จริงอยู่ว่าคนเรามีอิสระที่จะใช้ชีวิต ทว่าอีเบลลีน่าเป็นนักบุญหญิง

ในนิยายเรื่องนี้นักบุญหญิงมิใช่ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎที่เข้มงวดถึงขนาดว่าห้ามสบตาผู้ชาย แต่ต้องใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่างในขณะที่ได้รับการยกย่องจากผู้คน ซึ่งแน่นอนว่าอีเบลลีน่าประพฤติตัวได้ห่างไกลจากชีวิตแบบนั้นมาก

‘เพราะแบบนี้ตอนหลังถึงได้ไม่มีใครเข้าข้างเลยน่ะสิ’

เมื่อเวลาผ่านไปและอีริส นักบุญหญิงตัวจริงปรากฎตัวขึ้นถึงได้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างอีเบลลีน่าเลย แม้แต่พวกผู้ชายที่เคยหลับนอนด้วยกันมาหลายต่อหลายคืนก็เช่นกัน ตอนที่อ่านคิดเพียงแค่ว่าช่างเป็นบั้นปลายชีวิตที่น่าเวทนาของตัวร้าย แต่ตอนนี้พอกลายมาเป็นอีเบลลีน่าเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ ลองขุดค้นความทรงจำ อีเบลลีน่าไม่ได้นอนกับพวกเขาเสร็จแล้วก็สิ้นสุดความสัมพันธ์

‘เพชรพลอย คฤหาสน์ ตำแหน่ง…’

ความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งของที่เธอเคยมอบให้แก่พวกผู้ชายที่เคยนอนกอดมีมากมายเลยทีเดียว

‘แต่พวกเขากลับวิ่งหนีไป ไม่มีใครเลยที่อยู่เคียงข้างเธอ’

ยังไม่หมดแค่นั้น จากเนื้อหาที่ฉันอ่าน ในตอนหลังกระทั่งชายหนุ่มที่เคยคบหาดูใจกับอีเบลลีน่ายังตามตอแยอีริสแล้วเอาแต่กล่าวว่า*‘ในที่สุดข้าก็ได้เจอรักแท้แล้ว’*แน่นอนว่าผู้ชายพวกนั้นถูกตัวเอกชายทั้งสามคนจัดการในไม่ช้า

ฉันหันกลับไปส่องกระจกพลางบ่นพึมพำอีกครั้ง

“…เธอเองก็มีชีวิตที่น่าสงสารเหมือนกันสินะ”

ฉันจัดเสื้อผ้ากลับเข้าที่เหมือนเดิม แล้วเปิดประตูที่ติดอยู่กับห้องซึ่งดูเหมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ หลังบานประตูเป็นห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือ แม้จะเรียกว่าห้องหนังสือแต่พอเห็นชั้นวางหนังสือที่วางเรียงรายต่อไปด้านหลังแล้วจะเรียกว่าเป็นห้องสมุดก็ไม่ผิดนักบุญหญิงชอบของพวกนี้สินะ ฉันคิด ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ

“มาสรุปสถานการณ์ในตอนนี้ก่อนดีกว่า”

ฉันค้นเจอกระดาษกับปากกาอย่างรวดเร็ว ฉันควรสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นและสถานการณ์ในตอนนี้เพื่อคิดว่าควรทำอย่างไรในอนาคต

อันที่จริง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะหนีออกไปหากเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่แล้ว แบบนั้นก็อาจจะหนีจากเหตุการณ์ที่เคยอ่านในหนังสือได้ด้วย ทว่าพอลองคิดดูให้ดีอีกครั้งก็พบว่านั่นไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไร

ถ้าฉันหนีออกไปสถานการณ์จะเป็นยังไงน่ะเหรอถึงจะเรียกได้ว่าเป็นตัวปัญหา แต่อย่างไรนักบุญหญิงในตอนนี้ก็คืออีเบลลีน่า ทางวิหารหลวงจะต้องวุ่นวายโกลาหลมากแน่

ถึงจะมีความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรู้จักโลกนี้ดี’

ความทรงจำของอีเบลลีน่าจำกัดอยู่แค่ชีวิตประจำวันในวิหารหลวง เธอเข้ามาอยู่ในวิหารหลวงตั้งแต่อายุยังน้อยจึงไม่รู้เรื่องราวภายนอกเลย

ในสถานการณ์แบบนี้หากหนีออกไปจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว ผ่านไปไม่กี่วันก็คงถูกพวกอัศวินเจอตัวแล้ว

‘ถ้ากลายเป็นแบบนั้น…’

ลองจินตนาการถึงภาพที่ทุกคนหันไปกระซิบกระซาบชี้นิ้วใส่ฉัน ทุกคนคงจะคิดว่าในที่สุดนักบุญหญิงที่ทำตัวตามอำเภอใจคนนี้ก็ถึงขนาดออกไปก่อเรื่องนอกวิหารหลวงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็แค่ชื่อเสียงที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีกเท่านั้น

‘แล้วก็ไม่ใช่ว่าพอหนีไปแล้วเรื่องที่อีเบลลีน่าเคยทำจะหายไปเสียหน่อย’

ฉันย้อนนึกถึงเรื่องแย่ๆ ในหนังสือที่อีเบลลีน่าทำ

“เฮ้อออ”

ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เรื่องเลวร้ายที่อีเบลลีน่าทำไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องสองเรื่อง เนื่องจากนางเป็นนักบุญหญิงที่เอาแต่ใจ ดังนั้นนางจึงไล่พวกนักบวชคนใดก็ตามที่ตำหนินางไปยังวิหารหลวงที่ห่างไกลซึ่งอยู่ในพื้นที่อันตราย อีกทั้งยังใช้ทรัพย์สินของวิหารหลวงตามอำเภอใจด้วย หากข้าบริพารของนางทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย นางจะชี้หน้าด่าและดูถูกพวกเขาอย่างไม่ลังเล แต่ไม่มีใครสามารถว่าอะไรกับนางได้ นั่นเพราะอีเบลลีน่าคือนักบุญหญิง

‘อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่ได้ฆ่าใครตาย’

ตอนนี้คือสองปีก่อนที่อีริสจะปรากฏตัวขึ้น

อีเบลลีน่าเริ่มจับผิดและมีคำสั่งให้ประหารอีริสตอนที่ข่าวลือเกี่ยวกับอีริสเริ่มถูกพูดถึง

‘ถ้า…จากนี้ไปลองพยายามแก้ไขเรื่องที่อีเบลลีน่าเคยทำไว้ได้ไหมนะ’

การหนีไปไม่อาจทำให้เรื่องที่นางเคยทำไว้หายไป แล้วถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อ ตั้งใจแก้ไขเรื่องที่นางเคยทำไว้ล่ะ

ในหนังสือเขียนเล่าว่าไม่มีใครออกมาอยู่เคียงข้างอีเบลลีน่าเลยในตอนที่นางเผชิญกับจุดจบที่น่าเวทนา แต่ฉันคิดว่าถ้าจากนี้ไปฉันพยายามและสามารถเปลี่ยนใจคนอื่นได้ หลังจากนี้อีกสองปีเรื่องราวทั้งหมดอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

‘แล้วยังมีอีริสกับตัวเอกชายอีกสามคนนั้น…’

ฉันเขียนชื่อของคนทั้งสี่ลงไปบนกระดาษ

อีริส ราธบัน เลออน แอสรัน

‘ถ้าพยายาม ความสัมพันธ์ของฉันกับทั้งสี่คนนี้ก็น่าจะดีขึ้นได้’

เนื้อหาในหนังสือเล่าว่าอีเบลลีน่าเหมือนคนคลุ้มคลั่งทุกครั้งเมื่อได้ยินชื่ออีริส ดังนั้นพออีริสมายังวิหารหลวง นางจึงมีคำสั่งให้ฆ่าทันที แต่ถ้าฉันให้การต้อนรับอีริสอย่างดีเมื่อนางปรากฏตัวล่ะ

…อาจจะผ่านไปด้วยดีก็ได้นะ?’

อีริสคือคนที่พยายามจะเข้าใจอีเบลลีน่าจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ไม่สิ เรียกได้ว่าเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ฝ่ายเดียวกับอีเบลลีน่าด้วยซ้ำ ผู้หญิงแบบนี้ หากทำดีด้วยจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้แน่นอน

‘ตัวเอกชายทั้งสามคนก็เหมือนกัน’

ในหนังสือ ผู้ที่สั่งฆ่าอีเบลลีน่าคือชายสามคนนี้ นั่นเป็นเพราะอีเบลลีน่ามุ่งร้ายต่ออีริส แต่หากว่าจากนี้ไปฉันเป็นเพื่อนกับทั้งสามคนแล้วยอมมอบตำแหน่งนักบุญหญิงและทุกสิ่งทุกอย่างให้เมื่ออีริสปรากฏตัวขึ้น รวมถึงสัญญาว่าจะไม่ปรากฏตัวอีกล่ะ?

‘ถ้าทำแบบนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ’

ชายสามคนนี้คือผู้ที่ปกป้องอีริส ดังนั้นถ้าฉันแสดงให้เห็นว่าจะไม่ทำอันตรายใดๆ และเข้ากันได้ดีกับนาง พวกเขาคงไม่ฆ่าฉัน

‘ปัญหาก็คือ…’

ฉันมองไปยังชื่อของตัวเอกชายทั้งสามอย่างกังวล

‘ความสัมพันธ์ของฉันกับสามคนนี้ไม่ดีอยู่แล้ว’

นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้เลย