คนแรก ราธบัน ผู้บัญชาการอัศวินของวิหารหลวง ในบรรดาตัวเอกชายทั้งสามคน ปัจจุบันเขาคือคนที่เกลียดอีเบลลีน่าที่สุด ราธบันคือผู้ที่ต้องคุ้มครองปกป้องนักบุญหญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะกฎระเบียบ แต่เขาจะชื่นชอบนักบุญหญิงที่ทำตัวเหลวแหลกแทนที่จะใช้พลังที่ได้มาจากพระเจ้าในการเสียสละและอุทิศตนเพื่อผู้คนได้อย่างไร
‘แล้วไม่นานมานี้ก็มีเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกหักสุดๆ ด้วย’
ฉันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอีเบลลีน่ากับราธบันแย่ลงซึ่งถูกเขียนไว้ในนิยาย
ไม่นานมานี้อัศวินของวิหารหลวงกลุ่มใหญ่ออกไปชายแดนเพื่อปราบปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้น เป็นการปราบปรามครั้งใหญ่ที่แม้กระทั่งผู้บัญชาการอัศวินราธบันยังออกไปร่วมด้วยโดยทิ้งคนไว้เพียงจำนวนหนึ่งเพื่อคุ้มครองวิหารหลวง
เหล่าอัศวินเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งบนผืนแผ่นดินยิ่งเพิ่มความศรัทธาต่อพระเจ้าให้มากขึ้น ทว่าในตอนที่กำลังเดินทางกลับวิหารหลวง เหล่าอัศวินที่ปราบปีศาจโดยไม่ได้รับบาดเจ็บมาตลอดหลายเดือนกลับต้องเผชิญกับปัญหา การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของปีศาจขนาดยักษ์ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อเหล่าอัศวิน แม้จะโชคดีที่ปีศาจตัวนั้นพ่ายแพ้เนื่องจากความสามารถของผู้บัญชาการอัศวินราธบัน แต่รองผู้บัญชาการก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
นักบวชระดับสูงที่อยู่ที่นั่นต่างก็ช่วยกันรักษาแต่พลังของพวกเขายังไม่เพียงพอ ผู้บัญชาการราธบันจึงแบกร่างของเขาแล้วขี่ม้ากลับไปที่วิหารหลวงราวกับคนเสียสติ เมื่อถึงวิหารเขาเดินไปยังห้องของอีเบลลีน่าและร้องขอ
“ไปแจ้งท่านนักบุญหญิง! เร็วเข้า!”
พอเห็นราธบันแบกอัศวินร่างท่วมเลือดวิ่งมา เหล่านักบวชก็ตกใจจนรีบเคาะประตูห้องของนักบุญหญิง ทว่าอีเบลลีน่าไม่ได้เปิดประตูออกมา
“ทำไมท่านถึงเงียบล่ะ!”
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือด้านนอกประตู แต่อีเบลลีน่ากลับไม่ปรากฏกาย ราธบันค่อยๆ สูญเสียความเยือกเย็นแล้ว ตอนนั้นเอง มีนักบวชคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องของนักบุญหญิง เป็นนักบวชที่ทำหน้าที่คอยรับใช้อยู่ข้างอีเบลลีน่า นางเดินดิ่งเข้ามาหาราธบันแล้วถาม
“คือว่า…ได้มีเรื่องอะไรกับท่านนักบุญหญิงก่อนจะออกไปปราบปีศาจหรือเปล่าคะ”
สีหน้าของราธบันพลันบิดเบี้ยวเมื่อได้ยินคำถาม
ก่อนออกไปปราบปีศาจ อีเบลลีน่าขอให้เขารั้งอยู่ที่วิหารหลวง เขาอาจจะรั้งอยู่ที่นี่หากนางมีเหตุผลที่เหมาะสม ทว่าเหตุผลของเบลลีน่าคือตอนที่ตนออกไปข้างนอกวิหารหลวงจะให้พวกอัศวินระดับต่ำมาอารักขาไม่ได้ ราธบันจึงปฏิเสธกลับไป
ตอนนั้น อีเบลลีน่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใส่เขา
“บังอาจ! เจ้าคนที่มีหน้าที่คุ้มครองนักบุญหญิงกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้าอย่างนั้นหรือ!”
แต่จู่ๆ อีเบลลีน่าที่กำลังโมโหราวกับคนบ้าก็หุบปากลง แล้วคลี่ยิ้มอย่างงดงามออกมาเสมือนกับมิใช่คนที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อครู่ คนที่รู้จักอีเบลลีน่ามักจะก้าวถอยหลังเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ พวกเขารู้ดีว่ารอยยิ้มเช่นนี้ของนางอันตรายที่สุด
“ก็ได้ เจ้าออกไปปราบปีศาจเถิด ผู้บัญชาการราธบัน”
“…ขอบคุณ ท่านนักบุญหญิง”
แม้ราธบันจะรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีของนักบุญหญิงที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกะทันหันจากที่ตอนแรกนางยังดึงดันไม่ยอมให้เขาออกไปปราบปีศาจ แต่เขาก็ทำความเคารพแล้วถอยออกไปจากห้องพักของนาง อีเบลลีน่ามองไปยังราธบันพลางกล่าว
“…สักวันข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจจนอยากตายเพราะเรื่องในวันนี้”
สีหน้าของนักบวชที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างพลันดำมืด อีเบลลีน่าต้องสร้างเรื่องให้ราธบันเพราะมีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ในวันนี้เป็นแน่
และตอนนี้ ทุกคนเกิดลางสังหรณ์ขึ้นเมื่อเห็นราธบันยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องของนักบุญหญิงเพื่อรอคอยให้นางออกมา นักบุญหญิงกำลังแก้แค้นให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นอยู่
“คงไม่ใช่ว่า…เพราะเรื่องในวันนั้นท่านนักบุญหญิงก็เลย…”
ราธบันทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นักบุญหญิงคือผู้ที่บูชาพระเจ้าและควรใช้พลังของตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนบนโลก แต่ในตอนนี้กลับปฏิเสธการรักษารองผู้บัญชาการอัศวินที่กำลังจะตายเพราะถูกปีศาจทำร้ายด้วยเหตุผลว่าทะเลาะกับเขาในวันนั้นอย่างนั้นหรือ
เขาไม่ชอบอีเบลลีน่า แม้ภายนอกนางจะดูสง่าและงดงามแต่กลับเป็นคนโหดร้าย อำมหิต และเลือดเย็นเสียจนน่าอับอายเกินกว่าจะเรียกว่านักบุญหญิง แต่อย่างไรเขาก็เป็นอัศวินของวิหารหลวงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงยังเคารพนับถือนาง ไม่ว่าอีเบลลีน่าจะเป็นคนอย่างไรแต่นางก็เป็นนักบุญหญิงที่พระเจ้าเลือกมา เป็นตัวตนที่เขาต้องเชื่อฟังอย่างมิอาจปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้ก้มหัวให้เสมอมา
นางไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจเสียหน่อย แค่เพราะเขาไม่ทำตามคำสั่งถึงกับจะทำลายชีวิตคนอื่นเลยหรือ
นักบวชเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของราธบันจึงรีบเอ่ยห้ามปรามเขา
“ได้โปรด ตอนนี้อย่าเพิ่งต่อต้านท่านนักบุญหญิงเลย ยอมรับว่าเรื่องวันนั้นท่านเป็นคนผิดเถิด ไม่อย่างนั้นท่านนักบุญคงไม่ออกมาแน่!”
“…”
ท่ามกลางความวุ่นวาย ลมหายใจของรองผู้บัญชาการกำลังค่อยๆ เบาบางลง หากยังปล่อยไว้เช่นนี้เขาต้องทนไม่ไหวจนสิ้นใจแน่ ราธบันกัดฟันถามนักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ช่วยไปเรียนถามทีว่าท่านต้องการอะไร”
“อะไรนะคะ”
“ไปเรียนถามท่านนักบุญหญิง…ว่าจะให้ข้าทำอย่างไรเพื่อชดใช้ที่เสียมารยาทในวันนั้น ท่านถึงจะยอมช่วยรักษารองผู้บัญชาการให้”
นักบวชรีบกลับเข้าไปในห้องของนักบุญหญิงหลังจากได้ยินคำ ไม่นานนางก็เดินออกมาหาราธบันอย่างลังเล
“ท่านว่าอย่างไร”
“เอ่อ…คือว่า…”
ราธบันถามนักบวชที่อ้ำอึ้งอยู่กลับไปอย่างร้อนใจ
“ข้าต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมเอ่ยปากยกโทษให้ข้า!”
พอได้ยินคำถาม นักบวชคนนั้นก็หลับตาลงแล้วกล่าว
“ท่านบอกให้คะ…คุกเข่าทั้งสองข้างแล้วคลานไปหาที่เตียงค่ะ ท่านบอกว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ท่านจะไม่เชื่อในความจริงใจของผู้บัญชาการอัศวิน…”
ครั้นได้ยินคำพูดนั้น ผู้คนที่อยู่รอบด้านต่างก็ส่งเสียงฮือฮาและกลั้นหายใจทันที แม้การให้คลานเข่าไปจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่คำสั่งที่ให้คุกเข่าทั้งสองข้างกลับยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงมากขึ้น การคุกเข่าทั้งสองข้างเป็นการกระทำให้กับพระเจ้าเท่านั้น ทว่าในตอนนี้กลับต้องคุกเข่าให้กับนักบุญหญิง แล้วยังต้องคุกเข่าไปจนถึงเตียงอีกด้วย
เป็นการกระทำที่เขาผู้เป็นถึงผู้บัญชาการอัศวินมิอาจทำได้
กระทั่งรองผู้บัญชาการที่ประคองสติอย่างยากลำบากยังส่ายหัวไปมาเมื่อได้ยินคำสั่งนี้
“ไม่ได้นะครับ…ผู้บัญชาการ…นั่น…ทำได้แค่กับพระ…เจ้า…”
ราธบันไม่ลังเลอีกต่อไปเมื่อรองผู้บัญชาการกระอักเลือดออกมาและเริ่มหายใจติดขัดหลังจากเปล่งคำพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
“ช่วยเปิดประตูให้ด้วย”
เขาพูดกับนักบวชก่อนจะคุกเข่าลงไป แล้วคลานไปทางเตียงของนักบุญหญิงราวกับสุนัขตัวหนึ่ง อีเบลลีน่านั่งยิ้มอยู่บนเตียงพลางมองดูราธบันที่คลานอยู่แบบนั้น
อีเบลลีน่าที่เมินเฉยต่อคำขอร้องของราธบันนั่งอยู่กับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ในสภาพแต่งกายไม่เรียบร้อย ชุดของอีเบลลีน่าก็ไม่ต่างกัน เป็นสภาพที่เดาได้ไม่ยากว่าเมื่อครู่นี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ที่นี่
อีเบลลีน่าหันไปกล่าวอย่างนุ่มนวลกับราธบันที่คลานมาจนถึงปลายเตียงว่า
“สมแล้วที่เป็นถึงผู้บัญชาการของเหล่าอัศวิน เพื่อผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งถึงกับยอมคุกเข่าสองข้างให้ข้า ข้าแทบจะหลั่งน้ำตาให้ความทุ่มเทนี้เลยทีเดียว”
“…ได้โปรดช่วยชีวิตรองผู้บัญชาการด้วย”
“ได้สิๆ เจ้าอุตส่าห์คลานเยี่ยงสุนัขมาหาข้าเช่นนี้ แล้วข้าจะเมินเฉยต่อความทุ่มเทของเจ้าได้อย่างไร”
อีเบลลีน่าเปล่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับมิอาจข่มความสนุกได้ท่ามกลางความเงียบงันที่เกิดขึ้นรอบด้าน วันนั้น โชคดีที่ชีวิตของรองผู้บัญชาการถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าก็ยังไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์ เขาจึงต้องกลับบ้านเกิดและเลิกเป็นอัศวินเพราะทำได้เพียงรักษาชีวิตแต่มิอาจจับดาบได้อีกต่อไป
หลังจากวันนั้น ราธบันก็ไม่ไปหาอีเบลลีน่าอีกเลย ส่วนอีเบลลีน่าก็ไม่เรียกหาเขาเช่นกัน เหล่านักบวชต่างก็แสดงออกว่าเป็นกังวลที่ทั้งสองคนผู้มีตำแหน่งสูงสุดในวิหารหลวงแห่งนี้แตกหักกันอย่างเด็ดขาด ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถอุดรอยร้าวที่เกิดขึ้นของทั้งสองได้
***
“ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นเล่า…”
ฉันหลุดถอนหายใจออกมาทันทีเมื่อย้อนนึกถึงเนื้อหาในนิยาย ผู้บัญชาการราธบันเปรียบดั่งตำราของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เป็นอัศวินที่แสวงหาเพียงเกียรติยศและไม่ฝักใฝ่ความโลภส่วนตัว แต่นางกลับฝ่าฝืนกฏของวิหารหลวง ดูถูกเขาด้วยการสั่งให้คลานเข่าต่อหน้าผู้คน
‘ถ้าพยายาม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะดีขึ้นได้ไหมนะ’
‘สานสัมพันธ์กับตัวเอกชายทั้งสามคน’ แผนที่คิดไว้ในตอนแรกดูเหมือนจะไม่เข้าท่าเสียแล้ว
ความสัมพันธ์กับราธบันที่อยู่ในวิหารหลวงยังอยู่ในสภาพนี้ แล้วความสัมพันธ์กับเลออนซึ่งอยู่ในพระราชวังจะวุ่นวายขนาดไหน ไหนจะแอสรันที่อยู่หอคอยจอมเวทอีก
ฉันวาดวงกลมรอบชื่อตัวเอกชายทั้งสามบนกระดาษไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอยและครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงนักบวชที่อยู่ด้านนอก
“ท่านนักบุญหญิง นักบวชคาลูซต้องการเข้าพบค่ะ ท่านจะพบหรือไม่”
เพราะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันของอีเบลลีน่า ฉันจึงใช้วิธีการเบื้องต้นคือสั่งนักบวชที่เฝ้าหน้าประตูไว้ว่าให้ปฎิเสธการขอเข้าพบของทุกคนเพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ปกติอีเบลลีน่าก็ไม่ได้ชอบพบปะผู้อื่นอยู่แล้ว ทุกคนเลยทำเพียงตอบรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครมาขอเข้าพบเลย
‘นักบวชคาลูซ’
เป็นชื่อที่เคยอ่านเจอในหนังสืออยู่สองสามครั้ง แม้มีคำสั่งว่าปฏิเสธการเข้าพบแต่เขาก็ยังคงมา เช่นนี้แสดงว่าคงเป็นตัวละครที่สำคัญน่าดูเลย ให้เข้ามาก่อนแล้วกัน ฉันสั่ง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
‘อย่างไรก็เป็นคนที่จำเป็นต้องเจอ ถ้าอย่างนั้นค่อยๆ เจอทีละคนแล้วทำความเข้าใจคงจะดีกว่า’
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็เก็บกระดาษที่เขียนชื่อตัวเอกชายทั้งสามกับอีริสลง แล้วเตรียมตัวพบกับนักบวชคาลูซ
ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่เดินเข้ามา
‘เป็นนักบวชระดับสูงเสียด้วย’
ดูจากชุดที่สวมใส่ เขาเป็นนักบวชระดับสูงที่ในวิหารหลวงเองก็มีจำนวนไม่มาก ในวิหารหลวงแห่งนี้ นักบุญหญิงเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงสุด รองลงมาคือ ผู้อาวุโส นักบวชระดับสูง นักบวชระดับกลาง นักบวชระดับต่ำ และนักบวชทั่วไปตามลำดับ ส่วนหน่วยอัศวินของวิหารที่ผู้บัญชาการอัศวินราธบันสังกัดอยู่จะมีตำแหน่งที่ต่างกับพวกนักบวช
ชายนามว่าคาลูซที่เข้ามาพบตอนนี้เป็นชายที่มีตำแหน่งสูงมาก เขาเข้ามาในห้องหนังสือแล้วค้อมศีรษะลงตามมารยาทของวิหาร
“คาลูซ ข้ารับใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้าบนบันไดขั้นที่สามมาพบท่านนักบุญหญิง”
“เงยหน้าขึ้นได้”
แม้รู้ว่าควรโต้ตอบอย่างไรเพราะมีความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่ แต่เมื่อต้องมาเจอคนอื่นก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ ความไม่สบายใจที่คิดว่าอาจมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติแล้วตะโกนใส่ว่า ‘นักบุญหญิงตัวปลอม!’ ทำให้ฉันไม่อาจปล่อยวางความกังวลได้
โชคดีที่นักบวชคาลูซไม่ได้กล่าวคำพูดพวกนั้น เขาทำเพียงยืดตัวขึ้นและมองมาที่ฉัน
“มีเรื่องอะไรถึงได้มาขอเข้าพบข้า ข้าแจ้งไปแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องการพบใครสักระยะ”
ปกติอีเบลลีน่าจะพูดประมาณนี้ไหมนะฉันกล่าวออกไปพลางทำท่าทีเบื่อหน่ายราวกับรำคาญด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“ข้าทราบดีว่าร่างกายของท่านยังไม่หายดีเพราะสลบไปนาน แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนักบวชที่ต้องรับผิดชอบพิธีสวดภาวนาจึงต้องมาขอคำยืนยันจากท่านนักบุญ…”
“…พิธีสวดภาวนา?”
ฉันค้นหาความทรงจำในหัวทันทีหลังจากได้ยินคำว่าพิธีสวดภาวนา
“อ้อ…”
จากนั้นก็อดไม่ได้ที่ต้องกุมหน้าผาก หลังจากขัดแย้งกับราธบัน มีตอนหนึ่งในหนังสือที่แสดงให้เห็นว่าอีเบลลีน่าเป็นนักบุญหญิงที่ขาดความรับผิดชอบเพียงใด นั่นคือพิธีสวดภาวนา เป็นพิธีใหญ่ที่จะจัดขึ้นในวิหารปีละครั้ง วันนั้นเป็นวันเดียวที่ชาวบ้านทั่วไปสามารถเข้ามาจนถึงจัตุรัสที่อยู่ใจกลางวิหารหลวงได้ และอีเบลลีน่าผู้เป็นนักบุญหญิงจะต้องทำพิธีสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าร่วมกับทุกคนในพิธีนั้น
มันควรจะเป็นเช่นนั้น
‘แต่อีเบลลีน่าไม่ทำอย่างนั้นน่ะสิ’
ในวันนั้น จู่ๆ อีเบลลีน่าก็บอกว่าตนรู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้าแล้วขังตัวเองอยู่ในห้อง ทางวิหารหลวงจึงต้องจัดพิธีสวดภาวนาแบบไร้นักบุญหญิงขึ้นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าผู้คนรู้สึกผิดหวังกับการกระทำนี้ของอีเบลลีน่าเป็นอย่างมากจนทำให้ข่าวลือว่านักบุญหญิงมัวเมาในกิเลสจนละเลยหน้าที่ของตัวเองแพร่ไปทั่วทุกที่ในแผ่นดิน
‘อีริสเองก็ได้ยินข่าวนั้นด้วย’
เหมือนจะมีฉากที่อีริสคิดว่าวิหารหลวงเป็นอย่างไรเมื่อได้ยินเรื่องที่ผู้คนซุบซิบเกี่ยวกับนักบุญหญิง
‘ช่างเถอะ ตอนนี้เรื่องนั้นยังไม่สำคัญ’
ตอนนี้ควรรู้ก่อนว่านักบวชคาลูซมาสอบถามเรื่องอะไร ไม่ว่าจะลองนึกอย่างไรในหัวก็มีความทรงจำเกี่ยวกับนักบวชคาลูซไม่มาก ถึงจะกล่าวว่ามีความทรงจำของอีเบลลีน่าหลงเหลืออยู่แต่นั่นก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แม้โชคดีที่การวางตัวเป็นนักบุญหญิงอย่างเช่นตอนนี้ไม่ลำบากจนเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจดจำกระทั่งบทสนทนายิบย่อยกับคนอื่นได้
‘มีแต่เรื่องสำคัญที่จำได้’
คาดว่าเหตุผลที่ทำให้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับนักบวชคาลูซมีอยู่สองประการ ไม่มีค่าพอให้จดจำ หรือไม่ก็เพราะไม่อยากจำ แต่ตอนนี้พอเห็นท่าทางของนักบวชคาลูซแล้วอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองกรณี
‘ทำไมคนแบบนี้ถึงได้เป็นนักบวชระดับสูงได้เนี่ย’
มนุษย์เรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความประทับใจ แม้เป็นคนรูปงามแต่เราก็สามารถรู้สึกไม่ถูกชะตาได้โดยสัญชาตญาณ หรือแม้เป็นคนขี้เหร่ก็ยังดึงดูดเราได้ แต่น่าเสียดาย นักบวชคาลูซเป็นทั้งคนขี้เหร่และทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตาด้วย
หลังจากโตขึ้น ฉันก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในโรงพยาบาล พักอยู่ในห้องพักสำหรับผู้ป่วยสิบสองคนด้วยประกันราคาถูกที่สุด ทำให้ได้พบปะผู้คนหลายประเภท การได้สังเกตพวกเขาจึงกลายเป็นกิจวัตรในแต่ละวันเพราะไม่มีอะไรทำ ตอนนี้ฉันจึงสามารถคาดเดาได้ว่าคนคนนั้นเป็นคนแบบไหนจากความประทับใจแรก
ดังนั้นหากยึดเอาความรู้สึกของฉัน นักบวชคาลูซผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่น่าสุงสิงด้วยจริงๆ เป็นคนประเภทนั้นเลย
“ท่านนักบุญหญิง?”
คาลูซเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเพราะฉันจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบา
“…ท่านยังตัดสินใจเรื่องที่ข้าเคยขอไว้ไม่ได้หรือ”
คาลูซเคยขออะไรไว้กันแน่ ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าเรื่องนั้นคืออะไร ฉันจงใจถามกลับไปราวกับรำคาญเสียเต็มที
“นั่นสินะ ข้าเองก็จำไม่ได้ค่อยได้เสียแล้วสิว่าเจ้าเคยมาขออะไรไว้”
ฉันแสร้งทำเป็นลืมเรื่องที่เขาเคยขอ นักบวชคาลูซเลียริมฝีปากอย่างร้อนใจทันทีเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น หลังจากลังเลอยู่หลายครั้ง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ข้าขอร้องท่านเมื่อครั้งที่แล้ว ขอให้ท่านมอบหมายให้ข้าเป็นคนทำหน้าที่ผู้นำในพิธีสวดภาวนาแทนผู้อาวุโสอีลอนที่สลบอยู่”
ขอเรื่องนี้ไว้นี่เอง ลองค้นในความทรงจำของอีเบลลีน่า ตอนนี้อีลอนที่ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของวิหารหลวงไม่อาจทำหน้าที่ของผู้อาวุโสในวิหารหลวงได้เพราะอาการเจ็บป่วยเนื่องจากชราภาพ ดังนั้นตำแหน่งผู้อาวุโสภายในวิหารจึงปล่อยว่าง และมีการช่วงชิงอำนาจกันอยู่ลับๆ
‘แต่อย่างไรการแต่งตั้งผู้อาวุโสก็ขึ้นอยู่นักบุญหญิงอยู่ดี…’
ดังนั้นแม้นักบวชระดับสูงจะไม่พอใจกับพฤติกรรมของอีเบลลีน่าแต่ก็มิอาจตำหนิอะไรได้ ทำเพียงปรับตัวตามความต้องการของนาง ด้วยเหตุนี้อีเบลลีน่าจึงยิ่งทำตัวเหิมเกริมอย่างไม่แยแสมากขึ้น
แต่เดี๋ยวก่อน ฉันไม่มีทางให้คนคนนี้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสแน่ จึงกล่าวกับนักบวชคาลูซด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“ไม่รู้สิ ข้ายังไม่มั่นใจว่าเจ้ารักษาตำแหน่งนั้นได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าออกไป…”
“ทำเช่นนี้ก็ผิดจากที่สัญญากันไว้สิ ท่านนักบุญหญิง!”
คาลูซก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นก่อนที่ฉันจะพูดจบ ใบหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธและความตื่นเต้น ฉันยังไม่ทันตอบอะไรกลับไป เขาก็เปิดปากพูดก่อน
“หรือว่า ท่านไม่ถูกใจชายบำเรอที่ข้าหามาให้”
“…ชายบำเรอ?”
ฉันสงสัยในสิ่งที่ได้ยินครู่หนึ่ง ชายบำเรออะไรนะ?
“ใช่แล้ว ล้วนแต่เป็นคนที่ข้าตั้งใจเลือกแล้วเลือกอีก ใบหน้าและร่างกายของพวกเขาไม่มีรอยแผลเลย ข้ากลัวว่าจะมีคนกล้าตัวเหิมเกริมกับท่านนักบุญ เลยตั้งใจเลือกมาแต่คนที่ดูเชื่อฟัง หรือว่าแค่สองคนยังไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นรอบหน้าข้าจะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นหน่อย ถ้ามีแบบที่ชอบเป็นพิเศษ ท่าน…”
“พอได้แล้ว”
ฉันยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของคาลูซ หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเขา ก็รู้แล้วว่าอีเบลลีน่ารับอะไรมา ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงของนางในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยในตอนที่มีเรื่องกับผู้บัญชาการราธบัน แล้วยังมีชายที่ทิ้งร่องรอยแดงไว้บนผิวใต้เสื้อผ้า พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มที่ได้รับมาจากคาลูซนี่เอง