“เฮ้อออ”
พอคาลูซกลับออกไปแล้วฉันก็ออกคำสั่งไปว่าวันนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบอีก ก่อนจะฝังร่างตัวเองลงบนโซฟา
‘ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลเรื่องของอีริสกับตัวเอกชายทั้งสามคน’
ไฟลามมาถึงปลายเท้าแล้ว ไฟขนาดใหญ่ที่ว่าคือปัญหารอบตัวอีเบลลีน่าและพิธีสวดภาวนา
ฉันแหวกเสื้อออกแล้วมองร่างกายของอีเบลลีน่า บนร่างยังคงมีร่องรอยหลากสีหลงเหลืออยู่
‘ก่อนอื่นต้องไม่อนุญาตให้ผู้ชายพวกนั้นเข้าพบอีก’
ฉันบอกคาลูซว่าไม่จำเป็นต้องพาชายพวกนั้นมาให้อีกต่อไปแล้ว แต่เขากลับตะโกนออกมาเสียงดังว่าจะหาคนที่ดีกว่าเดิมมาให้เพราะเข้าใจความหมายของฉันผิดไป ดูเหมือนเขาจะคิดว่าฉันรังแกเขาเพราะไม่พึงพอใจในตัวผู้ชายเหล่านั้น
เขารีบจากไปหลังจากขอให้ฉันคิดทบทวนเรื่องตำแหน่งของผู้อาวุโสใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งนี้ฉันไม่มีทางปล่อยให้เหล่าชายบำเรอที่เขาเลือกให้เข้ามาในวิหารเป็นอันขาด
‘ต้องรีบจัดการปัญหารอบตัวโดยเร็ว…แต่ตอนนี้เอาเรื่องพิธีสวดภาวนาก่อน’
ที่ชื่อเสียงของอีเบลลีน่าในนิยายตกต่ำจนติดดินก็มีจุดเริ่มต้นมาจากพิธีสวดภาวนา ดังนั้น ฉันต้องจัดการพิธีสวดภาวนานี้ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัยก่อนเป็นอย่างแรก
***
การเตรียมตัวสำหรับพิธีสวดภาวนานั้นไม่ยาก ด้วยเพราะทุกคนในวิหารให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พอย้อนนึกถึงความทรงจำของอีเบลลีน่า รายชื่อคนและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพิธีสวดภาวนาก็ผุดขึ้นมา ฉันออกมานอกห้องแล้วบอกว่าอยากตรวจสอบว่าการเตรียมการพิธีสวดภาวนาไปถึงไหนแล้ว เหล่านักบวชต่างก็ทำสีหน้าไม่เชื่อแล้วก็วิ่งไปหายที่ใดสักแห่ง
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็พาคนกลุ่มหนึ่งกลับมา เป็นผู้คนที่รับหน้าที่จัดเตรียมพิธีสวดภาวนา
ความจริงเรื่องแรกที่ทำให้ฉันตกใจที่สุดก็คือเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองอาทิตย์จะถึงพิธีสวดภาวนาแล้ว และเรื่องที่สองคือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอีเบลลีน่าไม่เคยสนใจการเตรียมพิธีที่จัดขึ้นปีละครั้งนี้เลย แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วก็ตาม
ดังนั้นพอฉันบอกว่าจะเตรียมพิธีสวดภาวนา พวกนักบวชเลยคิดว่าต้องรีบจัดการงานทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ
เริ่มด้วยกระดาษที่เขียนกำหนดการในพิธีสวดภาวนาที่กองอยู่บนโต๊ะหนังสือ ทันทีที่ฟังคำอธิบายจบก็มีนักบวชที่รับผิดชอบเรื่องชุดพิธีการมารออยู่ก่อนแล้ว
“…ยังต้องใส่อีกหรือ”
พอฉันถามออกไปอย่างเหนื่อยล้าหลังจากลองใส่ชุดพิธีการตัวที่สิบ เหล่านักบวชก็ทำสีหน้าราวกับว่าทำไมฉันถึงถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วออกมา ลองนับดูตอนหลังพบว่ามีชุดพิธีการที่ฉันต้องเปลี่ยนใส่ทั้งหมดสิบห้าตัวตลอดสองวัน ชุดพิธีการก็คือชุดพิธีการ ทว่าของที่ต้องถือ หมวกที่ต้องสวม เครื่องประดับที่ต้องติด รองเท้าที่ต้องใส่ ทั้งหมดนี้แตกต่างกันไปตามลำดับของพิธีการทั้งสิ้น
หลังจากตรวจสอบชุดพิธีอยู่ครู่หนึ่งจนเสร็จ ก็มีนักบวชอีกคนเดินเข้ามาหาแล้วกล่าว
“ท่านนักบุญหญิง ถ้าไม่รบกวนท่านลองตรวจสอบเส้นทางเดินพิธีดูหน่อยดีหรือไม่ ถึงจะไม่ต่างจากปีที่แล้วมากเท่าไร แต่สำหรับพวกนักบวชที่เพิ่งเข้าร่วมพิธีนี้เป็นครั้งแรก…”
เสียงของนักบวชที่พูดอธิบายค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ไม่แปลกใจ เพราะในอดีตพอได้ยินพวกนักบวชขอให้ตนทำอะไร อีเบลลีน่าจะตอบกลับไปทันทีว่า ‘รำคาญ ข้าไม่ทำแล้ว’ จากนั้นก็กลับเข้าห้องไปถ้าในครั้งนี้เป็นแบบนั้นอีกจะทำอย่างไรดี ฉันมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของนักบวชเหล่านั้น
“เข้าใจแล้ว นำทางข้าไป”
อันที่จริง ฉันรู้สึกตื่นเต้นแล้วก็รอคอยงานนี้อยู่บ้าง เพราะหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าแล้วฉันก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง รวมถึงเป็นกังวลว่าถ้าออกไปข้างนอกแล้วคนอื่นรู้สึกถึงความผิดปกติเพราะเผลอทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
แต่ถ้าฉันออกมาข้างนอกพร้อมกับเหล่านักบวชเพื่อเตรียมพิธีสวดภาวนาเช่นนี้ พวกเขาจะนำทางฉันด้วยตนเอง รวมถึงยังไม่มีใครมาเข้าใกล้ฉันง่ายๆ
ฉันเดินออกมาจากที่พักพร้อมกับพวกนักบวช
แม้เป็นเพียงแค่การออกไปเดินชมภายในวิหารหลวงแต่ก็มีผู้ติดตามกว่าสิบคน เมื่อนักบวชที่นำอยู่ด้านหน้าประกาศว่าท่านนักบุญหญิงมา คนที่เดินอยู่ในวิหารหลวงต่างก็รีบหลบเข้าด้านข้างแล้วโค้งคำนับ
ตอนอยู่แต่ในห้องก็รู้สึกหนักใจแล้ว แต่พอได้ออกมาด้านนอกก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าอำนาจที่นักบุญหญิงมีนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
“ก่อนอื่นจะเริ่มตรวจสอบเส้นทางเดินพิธีที่จัตุรัสกลางก่อน”
นักบวชที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพูดพลางนำทางให้
จัตุรัสกลาง
ฉันแอบสะดุ้งเบาๆ ตอนที่ได้ยินคำนี้ จัตุรัสกลางในวิหารหลวง นั่นคือสถานที่ที่อีเบลลีน่าในนิยายถูกลงโทษด้วยการเผา ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ระเบียงที่อยู่ปลายทางเดินหินอ่อนสีขาว จัตุรัสขนาดใหญ่ก็ปรากฏเข้าสู่สายตา
“ว้าว…”
แม้อดใจไว้แล้วแต่ฉันก็หลุดอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวจนได้ จัตุรัสที่ปรากฏอยู่ด้านล่างของระเบียง ถึงจะเรียกว่าจัตุรัสแต่ขนาดความกว้างนั้นเทียบเคียงกับเมืองขนาดเล็กได้เลย ความใหญ่ของจัตุรัสกลางที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกทำให้ฉันค้นพบว่าวิหารหลวงแห่งนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด
‘สถานที่ใหญ่ขนาดนี้สร้างมาเพื่อนักบุญหญิงเท่านั้นหรือเนี่ย…’
ชั่วขณะที่กำลังรู้สึกตาพร่าเมื่อรู้ว่าอำนาจที่นักบุญหญิงครอบครองนั้นใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้
“…!”
พลันสบสายตากับใครบางคนที่ยืนอยู่ในจัตุรัส
แม้อยู่ไกลกันแต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีดวงตาสีดำ ผ่านไปหลายวินาที ฉันถึงละสายตามาสังเกตใบหน้าของเขาได้ เส้นผมสีดำตัดสั้น ด้านล่างลงมาคือผิวสีเข้มบ่มแดดที่ชวนมอง ดวงตาเหยี่ยวใต้เรียวคิ้วหนาตรง ริมฝีปากที่ปิดแน่นสนิทใต้สันจมูกที่ให้ความรู้สึกเยือกเย็น
เป็นบุรุษที่คล้ายกับรูปปั้นที่แกะสลักขึ้นจากเหล็กกล้า ชายคนนั้นกำลังมองมาทางฉันเหมือนที่ฉันจ้องไปทางเขา ชั่วขณะหนึ่งที่เวลาผ่านไปพร้อมกับสายตาที่พัวพัน คนที่เป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปก่อนคือเขา
“อา…”
พอเห็นเขาหันหน้าไปก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่เสียงถอนหายใจดังขึ้น เหล่านักบวชที่อยู่ด้านข้างพลันดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมา
“ทะ ท่านนักบุญหญิง เขาไม่ได้เจตนาหรอกค่ะ”
“ใช่ค่ะ อย่างไรจากตรงนี้ก็ไกลมาก ผู้บัญชาการราธบันคงไม่รู้ว่าท่านนักบุญอยู่ที่นี่จึงจากไปเฉยๆ เช่นนั้น”
“…ราธบัน?”
ตอนที่พึมพำชื่อที่นักบวชเอ่ยออกมา ฉันถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มที่พบเมื่อครู่คือผู้บัญชาการอัศวินราธบันที่เคยเห็นอย่างเลือนลางในห้วงความทรงจำของอีเบลลีน่า
‘แม่เจ้า’
ในบรรดาคนที่ฉันเคยพบเจอมาทั้งหมด เขาคือคนที่มีภาพลักษณ์ดุดันที่สุด เขาคือหนึ่งในตัวเอกของโลกใบนี้ ใจฉันเต้นตึกตักเป็นเพราะได้เจอกันโดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจงั้นเหรอพวกนักบวชยิ่งกระวนกระวายไม่รู้ควรทำตัวอย่างไรเมื่อเห็นฉันยืนนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด
แต่ฉันเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นเช่นนี้
ผู้บัญชาการอัศวินราธบันเป็นคนที่รักษากฎระเบียบของวิหารอย่างเคร่งครัด กระทั่งในนิยายเองมีฉากที่อีริสล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ ว่าเขาไม่ใช่คนแต่เป็นเครื่องจักรเพราะรักษากฎดั่งดาบมากเกินไป เป็นคนที่ยอมจบชีวิตดีกว่าต้องฝ่าฝืนกฎของวิหาร ราธบันคือคนประเภทนั้น
‘เขากล้าฝ่าฝืนกฎระเบียบต่อหน้าทุกคนอย่างสง่าผ่าเผยเลย’
ในวิหารหลวงแห่งนี้ นักบุญหญิงคือผู้ที่มิอาจต่อต้านได้ ดังนั้นหากเป็นตามปกติ เมื่อได้เห็นอีเบลลีน่า ราธบันต้องเดินมาตรงหน้านางและโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพ ทว่าเขากลับกล้าเมินและหันหลังกลับไปท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างสง่าผ่าเผย
“เจ้า เจ้าคนไม่มีมารยาท…!”
นักบวชคนหนึ่งเปล่งเสียงดังราวกับไม่อยากเชื่อหลังจากเห็นราธบันเดินจากไป นักบวชรอบข้างก็พลอยส่งเสียงดังตามกันขึ้นมาทันใด ในหมู่พวกเขา นักบวชที่บอกทางให้ฉันพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเผือดเป็นพิเศษ
“ผู้บัญชาการราธบันจะกล้าเมินท่านนักบุญหญิงได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ ดังนั้นท่านโปรดระงับโทสะด้วย”
ดูจากสีหน้าของนักบวช ดูเหมือนเขาจะกังวลว่านักบุญหญิงที่ก้าวออกมาจากห้องอย่างยากลำบากจะโมโหราธบันจนกลับห้องไป
‘หรือไม่ก็คงกลัวว่าฉันจะตะโกนสั่งให้ไปลากตัวผู้บัญชาการราธบันมา’
หากเป็นอีเบลลีน่าก็คงสั่งให้ทำเช่นนั้นทันที แต่ฉันไม่มีความคิดที่จะทำแน่ ลองนึกถึงความรู้สึกที่เขาต้องคลานเข่าเพื่อช่วยชีวิตผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว เขาไม่วิ่งเอามีดมาฟันนางทิ้งตอนนี้ก็ดีแล้ว
‘ดีนะที่เขาเดินจากไปเฉยๆ’
กลับกัน หากเขาเดินเข้ามาทำความเคารพฉันคงไม่สบายใจ ขณะกำลังใจลอยมองตามทางเดินที่ราธบันเดินจากไป มีใครบางคนเดินเข้าใกล้แล้วกล่าว
“คนไร้มารยาทเช่นนี้จะปล่อยไปเฉยๆ หรือขอรับ ถือโอกาสนี้เปลี่ยนตัวผู้บัญชาการอัศวินที่ทำตัวไร้ความรับผิดชอบไปเลยดีหรือไม่”
จากนั้น นักบวชคนอื่นก็พูดเสริมคำพูดของเขาราวกับรออยู่แล้ว
“ใช่ขอรับ อย่างที่ทุกคนทราบกันดี อัศวินของวิหารทำตัวไม่ต่างจากเป็นทหารส่วนบุคคลของผู้บัญชาการราธบันมาเป็นเวลานานแล้ว ข้าคิดว่าควรจะแต่งตั้งผู้บัญชาการคนใหม่โดยเร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะสับสนไปมากกว่านี้ว่าควรรับใช้ใครกันแน่”
หากฟังผ่านๆ คงได้ยินเพียงเสียงที่ตำหนิความไร้มารยาทของผู้บัญชาการ แต่หากตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินน้ำเสียงที่มุ่งหวังให้ฉันจัดการเขาอย่างเด็ดขาด ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่แสยะยิ้มออกไปหลังจากได้ยินคำพูดพวกนั้น
“ต่อให้ไม่ใช่ผู้บัญชาการราธบัน ในวิหารหลวงนี้ก็มีอัศวินที่มีความสามารถโดดเด่นอีกมากมายขอรับ ขอแค่ท่านนักบุญหญิงเอ่ยปาก ข้าจะรีบส่งรายชื่อไปให้”
“ข้าก็มีคนที่อยากแนะนำให้เช่นกัน แต่หากว่าท่านอยากเห็นด้วยตาตนเองจะรีบไปสั่งให้เตรียมตัวเดี๋ยวนี้”
ทุกคนต่างก็อยากดันอัศวินที่มีความเกี่ยวข้องกับตนขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ ฉันจดจำใบหน้าและรายชื่อของคนเหล่านี้เอาไว้ในสมอง เพราะคนที่สมควรถูกกวาดล้างออกจากวิหารไม่ใช่ราธบันแต่คือคนพวกนี้ต่างหาก