เล่ม 6 เล่มที่ 6 ตอนที่ 172 การแข่งขัน ทำลายชีวิต

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“พระชายาโยวอ๋อง ท่านคิดอย่างไรกันแน่? ไม่เข้าร่วมการแข่งขันแล้วหรือ? ”

        “ใช่ ทุกคนกำลังจะไปหอกุ้ยเหรินทางฝั่งนั้นเพื่อเป็นกำลังใจให้ท่าน! ท่านอย่ายอมแพ้เด็ดขาด! ”

        “พวกท่านไม่เห็นหรือว่าอนุปี้ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้? ท่านชายน้อยอวี้เสียใจและทุกข์ใจเพียงใด ยังจะไปแข่งขันได้อย่างไรเล่า”

        “แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าก็เป็นการยอมแพ้อย่างง่ายดายนั่นเอง ช่างน่าเสียดาย! หากพลาดโอกาสครานี้ ท่านชายน้อยอวี้คงไม่มีโอกาสในตำแหน่งประมุขสกุลซูอีกแล้ว”

        เสียงของทุกคนล้วนลอยเข้าหูซูจิ่นซี ทว่านางไม่ได้พูดอันใดแม้แต่น้อย

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! จัดเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว อนุปี้ถูกย้ายขึ้นไปบนรถม้า ท่านชายน้อยอวี้และหมอเทวดาหวาก็อยู่ในรถม้าของอนุปี้แล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าฝ่ายองครักษ์จัดการทุกอย่างและกลับมารายงานซูจิ่นซี

        “เรื่องวันนี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใด? ”

        ซูจิ่นซีเห็นเพียงรถม้าสองคันชนกันอย่างรุนแรง ทว่าเนื่องจากห่วงใยอาการบาดเจ็บของอนุปี้ นางจึงไม่มีเวลาถามถึงสถานการณ์ให้ชัดเจน

        “อีกฝ่ายเป็นคนขับรถม้าธรรมดา เสียชีวิตในที่เกิดเหตุตอนที่ชนกับรถของพวกเรา กระหม่อมได้แจ้งไปยังที่ทำการปกครองส่วนกลางเมืองตี้จิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        คนขับรถม้าธรรมดา?

        ใช่หรือ?

        ซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสงสัย

        แม้จะเป็นอุบัติเหตุโศกนาฏกรรมรุนแรง ทว่าคงไม่ถึงกับตายในที่เกิดเหตุกระมัง?

        “พาข้าไปดู! ”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซีเดินตามหัวหน้าองครักษ์ไปยังด้านหน้ารถม้าของฝ่ายตรงข้าม

        ลักษณะเช่นนั้นช่างดูรุนแรงเสียจริง ร่างของคนขับครึ่งหนึ่งอยู่ใต้รถม้าและมีเลือดไหลบนพื้นเป็นจำนวนมาก

        ทว่าซูจิ่นซีไม่คิดว่าคนขับจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างแน่นอน

        เนื่องจากเลือดที่ไหลออกจากมุมปากของคนขับเป็นสีดำ ยิ่งไปกว่านั้นดวงตายังเป็นสีเขียว ริมฝีปากสีม่วง ซึ่งเป็นลักษณะอาการติดพิษ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อซูจิ่นซีเดินเข้าไปใกล้ ระบบถอนพิษก็ได้ระบุพิษแล้ว

        นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?

        เดิมทีรถม้าชนกันครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด ต้องเกิดจากคนจงใจกระทำอย่างแน่นอน

        คนขับคงแกล้งทำเป็นคนตาย หลังจากเกิดเหตุแล้วรู้ตัวว่าหนีไม่พ้น จึงได้กินยาพิษปลิดชีพ

        ซูจิ่นซีมั่นใจว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ พวกมันตั้งใจชนซูอวี้โดยตรง จุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาไปที่สนามประลองการแข่งขัน

        ผู้ใดกันแน่ที่ใช้วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะยอมสละชีวิตโดยไม่ลังเล?

        “ไปสืบให้ชัดเจน! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

        “พ่ะย่ะค่ะ! ” หัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างรับคำสั่ง

        ซูจิ่นซีหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมเนื้อบางออกจากแขนเสื้อ และเก็บตัวอย่างเลือดบนร่างคนขับ

        พูดตามตรง แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่ได้ประนีประนอมยอมแพ้การแข่งขัน ทว่าจะทำอย่างไรได้! อนุปี้กลายเป็นเช่นนั้นแล้ว นางจะบังคับซูอวี้ที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งให้ทิ้งแม่ของเขาเพื่อไปที่สนามประลองได้อย่างไร?

        นางทำไม่ได้และก็ทนไม่ได้เช่นกัน

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงขึ้นรถม้าและสั่งให้เคลื่อนตัวกลับจวน

        ทว่าในขณะที่รถม้าของซูจิ่นซีเพิ่งหันหัวกลับนั้น เสียงของซูอวี้ก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกรถม้า “ท่านพี่จิ่นซี”

        ซูจิ่นซีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเปิดม่านรถม้าออก “อวี้เอ๋อร์ เป็นอันใดหรือไม่? ”

        ใบหน้าเล็กของซูอวี้ยังคงมีคราบน้ำตา ทั่วทั้งร่างของเขาราวกับมะเขือยาวที่ถูกแช่งแข็งอย่างไรอย่างนั้น ทว่าดวงตาของเขากลับแน่วแน่มั่นคงยิ่งนัก “ท่านพี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์กำลังจะเข้าร่วมการแข่งขัน ท่านพาข้าไปที่ลานประลองเถิด! ”

         ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าในเวลานี้ซูอวี้จะตัดสินใจเช่นนี้ นางจินตนาการได้ยากยิ่งว่าภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ สำหรับเด็กคนหนึ่งต้องใช้สติปัญญาและความกล้าหาญมากเพียงใดในการตัดสินใจอย่างหนักแน่นมั่นคง

        หลังจากประหลาดใจ ซูจิ่นซีมองเข้าไปในดวงตาของซูอวี้และถามว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ? ”

        ไม่คาดคิดว่าซูอวี้จะไม่ตอบคำถามของซูจิ่นซีทว่ากลับจับชุดของซูจิ่นซีแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านแม่ นางจะต้องไม่เป็นอันใด ใช่หรือไม่? อวี้เอ๋อร์กลัวจริงๆ ว่าจะไม่มีท่านแม่อีกต่อไปแล้ว”

        ทันใดนั้นหัวใจของซูจิ่นซีก็ราวกับถูกตรึง นางกระโดดลงจากรถม้าและกอดร่างเล็กๆ ของซูอวี้ไว้ในอ้อมแขน “อวี้เอ๋อร์วางใจ แม่ของเจ้าจะต้องไม่เป็นกระไรอย่างแน่นอน จะต้องไม่เป็นกระไรอย่างเด็ดขาด พี่หญิงจิ่นซีจะไม่ปล่อยให้นางเป็นอันใด”

        ซูอวี้กำเสื้อผ้าของซูจิ่นซีแน่น แม้เขาจะไม่ส่งเสียงร้องไห้ ทว่ายังมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ไม่น้อย ซูจิ่นซีรู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของซูอวี้สั่นเทิ้ม ในขณะที่เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอดทนไว้

        หลังจากนั้นไม่นานซูอวี้ก็เงยหน้าขึ้น เขามองดวงตาของซูจิ่นซีอย่างแน่วแน่ “ท่านพี่จิ่นซี พวกเราไปกันเถิด! การแข่งขันจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว”

        ซูจิ่นซีทนไม่ได้ นางพูดขึ้นว่า “อวี้เอ๋อร์ แม้การแข่งขันจะสำคัญยิ่ง ทว่าหากเจ้าต้องการอยู่เคียงข้างแม่ของเจ้า เราสามารถคิดหาวิธีอื่นเพื่อเลื่อนการแข่งขันออกไปได้”

        ซูอวี้ลังเลเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็เรียกคืนความแน่วแน่ “ท่านแม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวี้เอ๋อร์จะสามารถชนะได้  อวี้เอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวัง อวี้เอ๋อร์ต้องการให้ท่านแม่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินข่าวดีว่าอวี้เอ๋อร์ชนะการแข่งขัน”

        “ท่านพี่จิ่นซี ท่านจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหากับท่านแม่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        ภายในใจของซูจิ่นซีปวดร้าวอย่างรุนแรง

        นางจ้องกลับดวงตาของซูอวี้ด้วยสายตาแน่วแน่เช่นกัน “อืม! พี่หญิงจะไม่ยอมให้แม่ของเจ้าเป็นกระไรอย่างแน่นอน! ”

        “ท่านพี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์เชื่อในตัวท่าน! ”

        ขณะที่พูด ซูอวี้ก็ผละจากซูจิ่นซีและขึ้นนำไปบนรถม้าของนาง

        ไม่รู้ว่าเหตุใด ประโยคของซูอวี้ที่ว่าจะเชื่อในตัวนางนั้นช่างราวกับปุยนุ่น ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็วางเดิมพันในใจ แม้คำพูดจะไม่ทำร้ายให้คนบาดเจ็บ ทว่าความโศกเศร้าจนแทบขาดใจกลับตราตรึงอยู่ตรงนั้น

        ในช่วงเวลาที่ไร้ความช่วยเหลือ เด็กอายุเพียงแปดปีต้องมีความไว้วางใจมากเพียงใดกัน ถึงสามารถมอบชีวิตคนที่สำคัญที่สุดของเขาให้อยู่ในมือบุคคลอื่น?

        “ท่านพี่จิ่นซี พวกเราไปกันเถิด! ”

        ซูอวี้ปาดน้ำตาบนใบหน้าแล้วเรียกซูจิ่นซี

        ดวงตาของซูจิ่นซีแน่วแน่ นางพูดกับแม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “แม่นมฮวา ท่านอย่าไปเลย กลับจวนไปกับทุกคน และแจ้งพ่อบ้านให้คิดวิธีตามหาจิ่วหรง บอกเขาว่า ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ให้เขาช่วยชีวิตอนุปี้ให้ได้ นับว่าซูจิ่นซีเป็นหนี้บุญคุณเขา ข้าจะตอบแทนคืนให้ในอนาคต”

        “พระชายาโปรดวางพระทัย ตราบใดที่คุณชายจิ่วหรงยังอยู่ในเมืองตี้จิงไม่จากไปไหน หม่อมฉันและพ่อบ้านจะต้องพลิกเมืองตี้จิงตามหาเขาให้พบอย่างแน่นอน”

        ซูจิ่นซีพยักหน้า หลังจากนั้นก็รับสั่งหัวหน้าองครักษ์ด้านข้างว่า “เจ้าไปหอกุ้ยเหรินที่ถนนหลักฉางอันก่อน และพาหมอหลวงอวิ๋นไปที่จวนโยวอ๋อง”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        แม่นมฮวาและหัวหน้าองครักษ์น้อมรับคำสั่งของซูจิ่นซี แล้วแยกย้ายจากไป

        ซูจิ่นซีขึ้นรถม้าพาซูอวี้ไปยังทิศทางของหอกุ้ยเหรินบนถนนหลังฉางอัน

        ซูอวี้นั่งอยู่ในรถม้า ใบหน้าเปื้อนน้ำตามองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าดูระยะห่างระหว่างรถม้าของอนุปี้กับรถม้าของพวกเขาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถม้าหายไปในฝูงชน ซูอวี้จึงกลับมานั่งในรถม้าและก้มศีรษะลงต่ำ

        แม้ซูอวี้ไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ ทว่าร่างกายเล็กๆ ของเขากลับสั่นเทิ้มตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเสียงยังสะอึกสะอื้น เป็นเรื่องยากที่ซูจิ่นซีจะไม่สังเกตเห็น

        “ซูอวี้ เจ้าแข็งแกร่งที่สุด แม่ของเจ้าก็เช่นกัน! ” ซูจิ่นซีเอื้อมมือออกไปจับมือของซูอวี้ไว้

        ทันใดนั้นซูอวี้ก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและดึงมือของตนออก

        ใบหน้าซูจิ่นซีเปลี่ยนไปทันที “อวี้เอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นกับมือของเจ้า? ”

        “ไม่…ไม่มีกระไรพ่ะย่ะค่ะ! ” ซูอวี้รีบซ่อนมือไว้ด้านหลังของตนเอง

        “จะไม่มีอันใดได้อย่างไร? ข้าเห็นแล้ว” ซูจิ่นซีดันร่างของซูอวี้และดึงมือขวาของเขาออกมา

        ทันใดนั้น ใบหน้าของซูจิ่นซีดูย่ำแย่ แววตาของนางซับซ้อนเป็นอย่างมาก

        ข้อมือขวาของซูอวี้นูนขึ้น เดิมทีมีขนาดเล็กทว่าตอนนี้กลับใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้นบนแขนยังมีบาดแผลที่ เลือดเกาะแห้งกรัง

        “นี่คืออาการบาดเจ็บที่เจ้าได้รับตอนรถม้าพลิกคว่ำหรือ? เหตุใดเจ้าไม่บอกก่อน? มือขวาของเจ้าเป็นเช่นนี้ จะเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างไร? ”

        มือขวาเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของแพทย์ การฝังเข็ม การตรวจชีพจรและอื่นๆ อีกมากมายจำเป็นต้องใช้มือขวา ยิ่งไปกว่านั้นความสมบูรณ์ของมือขวายังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความแม่นยำในการวินิจฉัย

        มือขวาของซูอวี้ได้รับบาดเจ็บ ถึงเวลานั้นแม้แต่การตรวจวัดชีพจรก็สามารถปรากฎข้อผิดพลาดได้ สถานการณ์เช่นนี้จะชนะได้อย่างไร?