เล่ม 6 เล่มที่ 6 ตอนที่ 173 ล่มสลายพังทลาย ช่วงเวลาแห่งวิกฤต

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แท้จริงแล้วสิ่งที่ซูจิ่นซีคิดทั้งหมดนี้ ซูอวี้ก็กังวลอยู่

        ทว่าเขายังคงเม้มปากและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านพี่จิ่นซี ข้าทำได้พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซีมองไปยังซูอวี้ที่อายุยังน้อย ใบหน้าของเขามีความอดทนและแข็งแกร่งอย่างที่เด็กในวัยนี้ไม่มี ซูจิ่นซีไม่สามารถอดกลั้นได้

        “หรือให้พี่หญิงคิดหาวิธีเลื่อนการแข่งขัน? ”

        “ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ! ท่านพี่จิ่นซี ท่านเชื่อข้า! ”

        ซูอวี้รีบขัดขวางไว้ เขาจับมือของซูจิ่นซี

        เวลายิ่งนาน ฝันร้ายยิ่งมาก

        ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว จะมีอุบัติเหตุที่ไม่ได้คาดคิดอันใดเกิดขึ้นอีก

        “เช่นนั้นก็ดี! หากกระทบกับการแข่งขัน เจ้าต้องบอกข้านะ! ”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        รถม้ามาถึงถนนหลักฉางอันอย่างรวดเร็ว

        เรื่องที่สกุลซูได้จัดประกวดคัดเลือกผู้สืบทอดในหอกุ้ยเหรินได้แผ่ขยายไปทั่วเมืองตี้จิง ประตูของหอกุ้ยเหรินรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่มารอชมตั้งนานแล้ว

        ทันทีที่ซูจิ่นซีและซูอวี้ลงจากรถ ฝูงชนรอบๆ ประตูหอกุ้ยเหรินก็รีบกรูมาที่ซูจิ่นซีและซูอวี้

        “พระชายาโยวอ๋อง ได้ยินมาว่ารถม้าถูกชนระหว่างทาง อนุปี้ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย พวกเราคิดว่าท่านจะไม่มาเข้าร่วมการแข่งขันแล้วเสียอีก! ”

        ซูจิ่นซียกยิ้มที่มุมปาก “ทุกท่านโปรดวางใจ ไม่ว่าจะเจอปัญหาและอุปสรรคใด ลูกหลานของสกุลซูทุกคนจะไม่ยอมแพ้ในการแข่งขันนี้”

        “เช่นนั้นก็ดี! พระชายาโยวอ๋อง แท้จริงแล้วพวกเรากำลังรอท่านอยู่ พวกเรามาหอกุ้ยเหรินเพื่อดูการแข่งขันของท่าน ได้ยินมาว่าซูอวี้เป็นแพทย์อัจริยะ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? ”

        ซูจิ่นซีเหลือบมองซูอวี้ที่โศกเศร้าและขวัญเสียเล็กน้อย นางบีบมือของซูอวี้แน่น “เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ล้วนเป็นลาภยศชื่อเสียงของแต่ละบุคคล แพทย์ที่มีจิตใจดีและมีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม หน้าที่หลักของแพทย์คือการช่วยชีวิตคนและรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ สกุลซูจะสนองความปรารถนาและความหวังของบรรพบุรุษ”

        “พระชายาพูดดียิ่งนัก! ”

        “พระชายาพูดดียิ่งนัก! ”

        “พระชายาของพวกเราพูดได้ดียิ่ง! ”

        ……

        ทุกคนต่างร้องสรรเสริญขึ้นมาในทันที

        ทันใดนั้นแววตาของซูอวี้พลันสว่างวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขามองไปยังซูจิ่นซีด้วยความเหลือเชื่อ

        ซูจิ่นซียิ้มให้ซูอวี้อย่างอ่อนโยนยิ่งนัก นางจับมือซูอวี้ให้เดินไปตามถนนที่ฝูงชนพากันแหวกทางให้ทีละก้าวๆ มู่งหน้าไปทางถงเหวินถัง

        ทว่า…

        ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวบนโลกช่างคาดเดาได้ยากและช่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

        ขณะที่พวกเขากำลังก้าวขึ้นบันไดทางเข้าหอกุ้ยเหริน ทันใดนั้นชายที่มีมีดคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากทางด้านหลังของพวกเขา ภายใต้สายตาของทุกคน คาดไม่ถึงเขาจะแทงเสื้อแขนกุดตัวนอกของซูอวี้ด้วยกริชแวววาวในมือ

        ไม่มีผู้ใดคาดหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น

        ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีคนลงมืออย่างอุกอาจในเวลากลางวันแสกๆ ? ทั้งยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย

        “อวี้เอ๋อร์… ”

        ซูจิ่นซีรีบร้อนพยุงซูอวี้ไว้

        ชั่วพริบตาเลือดก็ทะลักออกมาในทันที ทำให้เสื้อผ้าบนแผ่นหลังของซูอวี้เปียกโชก ในขณะนั้นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของซูอวี้พลันซีดเซียวไร้ร่องรอยเลือดฝาด ราวกับถูกปกคลุมด้วยกระดาษบางๆ อย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ดวงตาก็เริ่มพร่ามัวลงไม่น้อย

        “ท่านพี่จิ่นซี ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้า… ”

        ซูอวี้จับมือของซูจิ่นซี เลือดอึกใหญ่ไหลออกมาจากปากของซูอวี้อย่างต่อเนื่อง

        ซูจิ่นซีตกใจกลัว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทว่านางยังคงพยายามสงบสติตนเองให้มากที่สุด “อวี้เอ๋อร์ อดทนไว้ เจ้าห้ามหลับ อย่าเพิ่งหลับโดยเด็ดขาด”

        “ท่านพี่จิ่นซี… ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้า… ข้า… ”

        ดวงตาของซูอวี้เบิกกว้าง พยายามฟังคำพูดของซูจิ่นซี เพื่อไม่ให้ตนเองหลับตาลง เขาพูดอย่างดื้อรั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        ทว่าซูอวี้กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ เสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ซูจิ่นซีเปิดกำไลข้อมือปี่อั้นถึงจะได้ยินซูอวี้ที่พยายามจับยึดเสื้อของซูจิ่นซีและคำพูดประโยคหลัง

        ปรากฏว่าเป็น “ท่านพี่จิ่นซี ช่วยข้าด้วย… ต้องช่วยข้าให้ได้… วันนี้ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้! ไม่อาจ… ”

        ภายในใจของซูจิ่นซีตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด

        นางไม่อยากเชื่อเลยว่าในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ซูอวี้ เด็กอายุเพียงแปดปีจะพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด คาดไม่ถึงว่าไม่ใช่เพื่อตัวเอง ทว่าเพราะรับปากท่านแม่ของตนว่าจะชนะการแข่งขัน

        “หลีกทาง! ”

        ซูจิ่นซีรีบอุ้มซูอวี้และตะโกนใส่ฝูงชนที่ปิดกั้นทางเข้าหอกุ้ยเหริน

        ฝูงชนรีบแหวกทางให้ซูจิ่นซีที่ไม่รู้ว่าเอาความแข็งแกร่งมาจากที่ใด ร่างกายเล็กๆ อุ้มเด็กชายอายุแปดปีคนหนึ่งโดยไม่รู้สึกหนักและรีบเดินไปยังหอกุ้ยเหริน

        แพทย์และผู้อุทิศตนทางการแพทย์จากถงเหวินถัง ทั้งยังมีผู้คนจากสกุลซูและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนสำคัญที่ได้รับเชิญจากซูจิ่นซี เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้

        แต่ละคนที่เห็นซูจิ่นซีอุ้มซูอวี้เข้ามาพร้อมกับเลือดที่ไหลอาบ ล้วนเบิกตาโตและอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

        “ซูจิ่นซี นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ” ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่รีบถามซูจิ่นซีขึ้นมา

        “ไปให้พ้น! ”

        ซูจิ่นซีพูดอย่างดุดัน นางอุ้มซูอวี้และวิ่งตรงไปยังห้องโถงด้านหลังของหอกุ้ยเหริน

        ขณะที่วิ่ง ซูจิ่นซีก็ตะโกนว่า “อาจารย์ผู้ไกล่เกลี่ยตัดสินแห่งหอกุ้ยเหริน นำยาหยุดเลือดทั้งหมดมาให้ข้า! ”

        ทันทีที่เสียงพูดจบลง นางก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน

        ซูจิ่นซีพบห้องสำหรับพักผ่อนที่ด้านหลังของหอกุ้ยเหริน นางวางซูอวี้ให้นอนราบบนเตียง จัดดวงหน้าให้หันเข้าด้านในและหันร่างกายออกไปด้านนอก จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าอกของซูอวี้

        แม้สถานการณ์จะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในเวลานี้ซูจิ่นซีกลับสงบเป็นอย่างมาก นางทำทุกสิ่งด้วยความรวดเร็วสอดคล้องกับความนิ่งสงบ

        “ซูอวี้ อย่าหลับ ได้ยินหรือไม่? ” ซูจิ่นซีตบหน้าซูอวี้เบาๆ

        “จิ่น… ท่านพี่จิ่นซี…ท่านพี่ อวี้เอ๋อร์…ไม่…นอน ไม่…นอน… ”

        มือเล็กๆ ของซูอวี้ดึงผ้าห่มไว้แน่นอย่างรุนแรง

        กริชสั้นที่ปักเข้าไปในร่างกายของซูอวี้ยังคงมีเลือดไหลออกมาด้านนอกไม่หยุด

        ซูจิ่นซีจำเป็นต้องชักมีดออกและหยุดเลือดให้ซูอวี้ทันที

        ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยทำการรักษาบาดแผลภายนอกเช่นนี้ ทั้งยังไม่ใช่ความสามารถเฉพาะทางของนาง

        นางไม่สามารถพิจารณาได้ว่ากริชสั้นได้ทำลายอวัยวะภายในร่างกายของซูอวี้หรือไม่ ยิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือมีอาการอย่างไร หลังจากที่กริชสั้นถูกดึงออกมา

        ทำอย่างไรดี?

        ทำอย่างไรดี?

        นางควรทำอย่างไรกันแน่?

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

        ซูจิ่นซีตอบสนองด้วยการหันกลับไปในทันที

        หมอกหนาทึบที่เห็นได้อย่างเลือนลาง มองไปทางใดก็กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต นั่นคือความกังวลกลางดวงใจของซูจิ่นซี ความละอายใจ ความสับสน และความสิ้นหวัง

        ทว่าเมื่อพบกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่นในเดือนสามซึ่งเพียงพอที่จะละลายธารน้ำแข็งบนยอดเขาหิมะ ทุกสิ่งทุกอย่างพลันจางหายไปอย่างรวดเร็ว

        เป็นอวิ๋นจิ่น ทั้งยังมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์นั่น

        ในขณะนี้ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไรดี

        นางยิ้มกว้างด้วยความโชคดี

        รัศมีแสงระยิบระยับในดวงตาสั่นไหว นางโบกมือให้อวิ๋นจิ่น “รีบมาเถิด นี่เป็นความถนัดเฉพาะทางของท่าน”

        อวิ๋นจิ่นไม่พูดสิ่งใดอีก เขารีบเดินไปที่ด้านข้างของซูอวี้เพื่อตรวจชีพจรและตรวจสอบบาดแผล

        ทว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีไม่เคยคาดคิดคือ หลังจากที่อวิ๋นจิ่นทำทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างสงบ เขากลับพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เด็กผู้นี้อยู่ในสภาวะที่อันตรายและเสี่ยงเป็นอย่างมาก มีอาการบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย กระหม่อมต้องดึงมีดทันทีเพื่อหยุดการไหลของเลือด ทว่ากระหม่อมมั่นใจเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น”

        เพียงส่วนเดียว?

        เช่นนั้นก็คือ มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในสิบที่จะช่วยซูอวี้ไว้ได้?

        เป็นไปได้อย่างไร?

        ใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ

        ในเวลานี้ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผลักดันให้หัวใจของซูจิ่นซีและซูอวี้แทบพังทลายในชั่วพริบตา

        คาดไม่ถึงว่าซูอวี้จะหมดสติไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังหมดสติด้วยสภาพที่อันตรายและอาการสาหัสเป็นอย่างยิ่ง