“คุณหนูเฟิ่ง ข้าเกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาเล็กน้อย วันนี้มิว่ายังไงแม่นางก็ต้องไปขอรับ” เจ้าหน้าที่ทั้งสองดูลำบากใจและยืนอยู่ที่ประตูโดยเข้ามาขวางทางของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้
ท่านผู้ตรวจการได้ออกคำสั่งให้เชิญเฟิ่งชิงเฉินไปให้ได้ มิเช่นนั้น……
มิว่าคดีนี้จะตัดสินออกมาอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งก็จะถูกขุ่นเคือง ท่านผู้ตรวจการเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง เขาจะกล้าทำให้ตระกูลเซี่ยและตระกูลหวังขุ่นเคืองได้อย่างไร
จึงเป็นเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำตัวเฟิ่งชิงเฉินเข้ามารองรับความโกรธของทั้งสองตระกูล
“อะไรนะ? ข้าไร้ความสามารถช่วยอะไรพวกท่านมิได้ แต่พวกท่านก็ยังอยากให้ข้าไปอีกหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเน้นย้ำคำว่า “ไร้ความสามารถ”
“เหอะๆ คุณหนูเฟิ่ง ท่านจะไร้ความสามารถได้อย่างไร? ความสามารถของท่านนั้นข้าน้อยเคยได้เห็นแล้ว คุณชายรองซูฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เพราะคุณหนูเฟิ่ง มิว่าอย่างไรคงต้องขอเชิญท่านเดินทางไปกับเราสักหน่อยขอรับ”
มิว่าจะช่วยได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินเพียงไปแสดงทัศนคติของนางออกมา จากนั้นความโมโหของทั้งสองตระกูลเซี่ยกับตระกูลหวังก็จะมาลงที่นางแทน
เจตนาร้ายเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะมิเข้าใจได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินตัวสั่นด้วยความโกรธ
ใต้เท้าเว่ยผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าบิดาของคุณชายเหยียนเสียอีก
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะแสร้งทำเป็นคนหน้าซื่อใจคดกับคนสองคนนี้ นางตบโต๊ะแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “พวกท่านคิดว่าข้าโง่หรือ? ใช้ข้าเป็นโล่กำบัง? ก็ควรดูด้วยว่าพวกท่านมีความสามารถนั้นหรือไม่ เรื่องนี้อย่าว่าแต่พวกท่านเลย แต่ให้ใต้เท้าเว่ยเป็นคนมาเชิญไปเอง ข้าก็คงจะมิไว้หน้า……อย่าบีบบังคับให้ข้าฆ่าพวกท่าน”
เอ่อ……
เจ้าหน้าที่ทั้งสองสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินเซออกไปหนึ่งก้าวจนเกือบจะล้มลง ในที่สุดพวกเขาก็สงบลง และเมื่อกำลังจะโน้มน้าวดูอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มขี้เล่นดังขึ้นข้างหลัง
“คุณหนูเฟิ่งช่างเย่อหยิ่งอะไรเช่นนี้ แม้แต่ใต้เท้าเว่ยเดินทางมาเชิญก็มิยอมไว้หน้า แล้วหากข้าออกหน้าเองเล่า? จะไว้หน้าข้าหรือไม่?”
ขณะที่กล่าวนั้น ชายหนุ่มก็ใช้พัดปักลายดอกท้อพัดเบาๆ เดินเข้าไปอย่างสง่างาม
เสื้อคลุมพระจันทร์เสี้ยวปักด้วยดอกท้อสองสามดอกตรงแขนและชายเสื้อ มองไปดูสดใสมิน่าเบื่อ
ใบหน้างดงามราวดอกท้อแต่มิเหมือนหญิงสาว รูปร่างผอมเพรียว หน้าตาหล่อเหลาดูอารมณ์ดี ชายผู้นี้คงมาจากตระกูลที่มั่งคั่งและสูงส่ง
เขาคือใครกัน?
เมื่อคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหวังและเซี่ย เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวออกมาอย่างมิมั่นใจว่า “ท่านคือคุณชายจากตระกูลหวังหรือตระกูลเซี่ย?”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?” คุณชายผู้งดงามผู้นั้นนั่งลงที่ตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ
เห็นได้ว่าเขาคนนี้เคยชินต่อการอยู่เบื้องบน
“มีคนเดินทางมาที่จวนเฟิ่งมิมากนัก มิทราบว่าท่านนามว่าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินก็นั่งลงเช่นกัน
นางเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร หากว่านางยืนคุย ก็จะกลายเป็นว่าสาวรับใช้ยืนคุยกับนาย
อีกฝ่ายชั่งดูสูงสง่าเหลือหลาย!
“เจ้ามิรู้จักข้าจริงหรือ?” คุณชายผู้นั้นตกใจราวกับว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินมิรู้จักเขาเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิด นางพยายามค้นหาความทรงจำเดิมของร่างนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นส่ายหน้าอย่างจริงใจ “เป็นเรื่องแปลกหรือที่ข้ามิรู้จักท่าน?”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะอ้าปากเอ่ย ก็มีเสียงชายผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่งดังขึ้นที่นอกประตู “ฮ่าๆๆ คุณชายเซี่ยซาน ข้ามินึกเลยว่าในพระราชวังนี้ยังมีคนที่มิรู้จักเจ้าอยู่ด้วย”
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายหนุ่มในชุดขาวยาวปักลายดอกกล้วยไม้ที่แขนเสื้อและชายเสื้อกำลังเดินเข้ามาอย่างสงบและสง่างาม
ช่างหล่อเหลา สง่างาม สูงส่ง
ทั้งสองเรียกได้ว่าสูสีกัน
“นางมิรู้จักข้า และนางคงมิรู้จักเจ้าอย่างแน่นอนคุณชายหวังชี”
เมื่อชายหน้าตางดงามไร้ที่เปรียบสองคนเช่นบุปผาปรากฏขึ้นพร้อมกัน หากเป็นสตรีทั่วไปก็คงถูกหลงเสน่ห์เสียจนหัวใจเต้นแรง น่าเสียดาย……
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินได้พบกับเสด็จอาเก้าตงหลิงจิ่ว ชายหนุ่มรูปหล่อที่ดุจดั่งเทพนิยายอย่างที่หาได้ยากในโลกใบนี้ นางจึงมิสนใจชายหนุ่มรูปงามในแบบของมนุษย์นี้เลย
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนคำนับคุณชายหวังชีเบาๆ จากนั้นส่งสายตาให้หวังชีเป็นความหมายว่าให้นั่งลง
เซี่ยซานและหวังชีมองไปก็พอจะรู้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน เซี่ยซานนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้าน แล้วหวังชีจะไปนั่งตำแหน่งรองได้อย่างไร
แน่นอนว่าหวังชีมิได้แสดงความสุภาพออกมาแม้แต่น้อย เขานั่งลงตรงที่นั่งหลักดื้อๆ แล้วพยักหน้าไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
ช่างเป็นเหล่าคุณชายที่ถูกตามใจจนติดนิสัยแย่เหลือเกิน
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ นางมิได้กล่าวอะไรออกมาแล้วนั่งลงตรงที่นั่งตำแหน่งรองลงมา
“ข้ามิรู้ว่าคุณชายทั้งสองจะมาที่นี่ การต้อนรับอาจมิดีเท่าที่ควร โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ชาธรรมดาคงมิสามารถทำให้คุณชายทั้งสองคนพอใจได้ ดังนั้นชิงเฉินจึงมิอาจบังคับบ่าวให้นำมารับรองคุณชายทั้งสองได้”
ความหมายก็คือ เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่จะนำชามาต้อนรับ
หืม?
เซี่ยซานและหวังชีตกตะลึงพร้อมกัน รอยยิ้มบนริมฝีปากของพวกเขาดูแข็งทื่อ
ในฐานะผู้นำรุ่นหลังของตระกูลเซี่ยและตระกูลหวัง พวกเขามิเคยเจอเรื่องแบบนี้สักครั้งตั้งแต่เกิด
มีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ มีสตรีผู้มิหลงใหลในพวกเขา?
“การต้อนรับแขกของคุณหนูเฟิ่งช่างน่ายกย่องนัก” เซี่ยซานรู้สึกตัวและกล่าวเยาะเย้ย
“ท่านเดินทางมาโดยมิได้รับเชิญ เรียกว่าแขกได้หรือ? นอกจากนี้ คุณชายทั้งสองคนช่างสูงส่ง จวนเฟิ่งของข้านั้นยากจนยิ่งนัก แม้ว่าจะพยายามสักเพียงไร ก็คงมิอาจให้การต่อนรับคุณชายทั้งสองได้”
“……”
เซี่ยซานและหวังชีตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง
พวกเขามิเคยเห็นผู้ใดที่กล่าวถึงความยากจนได้ดีเช่นนี้มาก่อน มิเคยเห็นผู้ใดเปิดเผยและยังดูมีเหตุมีผลเหลือเกิน
หากเป็นคนธรรมดา น่านจะพยายามหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องเหล่านี้และปิดบังความยากจนมิใช่หรือ?
นี่คือเฟิ่งชิงเฉินสินะ?
จากนั้นทั้งสองก็ยิ้มอย่างรู้ทัน
“ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนูเฟิ่งมานานแล้ว แต่การได้เห็นคุณหนูกับตาในวันนี้จึงได้รู้ว่ามิธรรมดาจริงๆ” ริมฝีปากของหวังชีแสดงรอยยิ้มที่น่าสนใจออกมา
เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ มิน่าแปลกใจที่พี่น้องในตระกูลล้วนกำลังคุยกันเรื่องเฟิ่งชิงเฉินมิขาดปาก โชคดีที่เขาไม่มีสิ่งใดทำ มิฉะนั้นคงจะพลาดโอกาสดีๆ เหล่านี้ไป
“ชื่อเสียงข้าหรือ? ข้าเฟิ่งชิงเฉินมิมีชื่อเสียงที่ดีหรอก” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเยาะตัวเองและหันหน้าไปทางดวงตาที่พินิจพิเคราะห์นางอยู่ของทั้งสองอย่างสงบ
การเคลื่อนไหวที่ตรงไปตรงมาดังกล่าว ทำให้หวังชีและเซี่ยซานรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พวกเขาอายเสียจนละสายตาจากไป
เดิมทีต้องการปกปิดมันด้วยการดื่มชา แต่ก็คิดได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมิได้เตรียมชาไว้ให้พวกเขาเลย
เซี่ยซานวางมือลงบนโต๊ะครู่หนึ่ง และเมื่อเขากำลังจะยกมันขึ้นมาก็พบว่ามีถ้วยชาวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขาจึงหยิบมันขึ้นมาเป็นนิสัย
เฟิ่งชิงเฉินมิทันได้สนใจ เมื่อตอนที่เห็นพบว่าริมฝีปากของเซี่ยซานสัมผัสถ้วยน้ำชาไปแล้ว
“คุณชายเซี่ย ข้าเพิ่งดื่มน้ำแก้วนั้นไป” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเอื้อมมือไปหยุดเขา แต่มันก็สายเกินไป
“พรูด!……”
คุณชายเซี่ยซานผู้สง่างาม พ่นน้ำชาออกมาอย่างไร้มารยาทครั้งแรกในชีวิต
“เอ่อ……สกปรกยิ่งนัก”
โชคดีที่เฟิ่งชิงมีปฏิกิริยารวดเร็ว มิเช่นนั้นคงจะถูกน้ำชากระเด็นใส่แน่นอน
“ฮ่าๆๆ……” คุณชายหวังชีเอนกายหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เจ้า เจ้า……” ใบหน้าของเซี่ยซานแดงก่ำ “ตุ้บ” เสียงเขาวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง น้ำชากระเซ็นออกมาจากถ้วยชา จากนั้นเขาก็คำรามออกมาว่า
“ข้าทำไมอย่างนั้นหรือ? คุณชายเซี่ย นี่มิเกี่ยวกับข้า ข้ามิได้เชิญท่านมา ชานี้ข้าก็มิได้นำมาให้ท่าน” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธทันที
นางทำให้คนอื่นขุ่นเคืองมามากพอแล้ว นางมิต้องการทำให้คุณชายหวังและคุณชายเซี่ยต้องขุ่นเคืองใจอีก
“เจ้าทำสิ่งใดงั้นหรือ? เจ้าปล่อยให้ข้าดื่มน้ำลายของเจ้า! เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าบอกมาว่าบัญชีนี้ข้าควรคิดกับเจ้าเช่นไร?”
ถุยๆๆ!
เซี่ยซานทำท่าทางรังเกียจและถ่มน้ำลายออกมา
“ดื่มน้ำลายข้าหรือ? ข้าต่างหากที่ควรจะโวยวายที่ท่านจูบข้าทางอ้อม” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
นางสนใจเขาหรือไร?
“จูบเจ้า? เฟิ่งชิงเฉินเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? สตรีที่น่ารังเกียจสูญเสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน มิคู่ควรที่จะสวมรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ!” เซี่ยซานตัวสั่นด้วยความโกรธ
เซี่ยซานผู้เติบโตมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นดูถูก
เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน? สตรีที่น่ารังเกียจ?
แววตาของความโศกเศร้าปรากฏขึ้นในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน มิว่าจะอย่างไร สองคำนี้คงจะถูกตราตรึงไว้กับนางไปตลอดชีวิตมิมีวันถูกชะล้างออกไป
แม้นจะบอกตัวเองว่ามิต้องสนใจ แต่เฟิ่งชิงเฉินยังคงรู้สึกมิสบายใจ
เฟิ่งชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึก นางพยายามระงับความเศร้าโศกในใจและบอกตัวเองว่ามิต้องไปสนใจ
หวังชีนั่งอยู่ข้างๆ และเห็นฉากนี้กับตา แววตาของเขามีนัยยะแห่งความเย้ยหยัน
เป็นเพียงสตรีน่ารังเกียจและต่ำต้อย กลับกล้ามีน้ำเสียง
คำของเซี่ยซานนั้นค่อนข้างรุนแรง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ทำได้เพียงยอมรับและอดทน
นี่แหละหนอชีวิต
ชีวิตของนาง เฟิ่งชิงเฉิน!
บทที่ 27 เข้าใจผิด

บทที่ 29 ดูถูก