ตอนที่ 216 เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 216 เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน

เมื่อใกล้เวลาบ่าย ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินทางออกจากวังเตี๋ยอี๋ แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ทำการของเสมียนกลาง

พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้ มีท้องพระโรงเฉิงเทียนเป็นใจกลาง และมีถนนไท่ผิงเป็นถนนสายหลักใช้ในการสัญจร ด้านตะวันออกและตะวันตกทั้งสองข้างเป็นสำนักงานต่าง ๆ

เสมียนกลางตั้งอยู่ในทางทิศตะวันออก ตำแหน่งที่ตั้งมิเลวเสียทีเดียว ทิวทัศน์สวยงาม แต่อาจดูเก่าแก่ไปสักเล็กน้อย

ฟู่เสี่ยวกวนยืนพิจารณาสถานที่แห่งนี้จากภายนอกอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เดินเข้าไปด้านใน

ภายในนั้นช่างเงียบสงบ มีเพียงชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมใส่ชุดราชการนั่งจิบชาอยู่ข้างเตาผิง

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ไปรับชุดทำงาน เขามิรู้ว่าชุดที่ชายผู้นั้นสวมใส่คือตำแหน่งใด แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เขามิเคยพบเห็นชายผู้นี้ในการประชุม ดังนั้นจึงได้เดินหน้าเข้าไป

ฉีเหมยหันหน้ามามองดูฟู่เสี่ยวกวน เขามิรู้จักชายผู้นี้ แต่ดูจากอายุคาดว่าคงเป็นคุณชายตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เดินทางมาแต่เช้าเช่นนี้ คงจะต้องการนำหน้าผู้อื่นสินะ

ฉีเหมยมิได้มองข้ามเขาไป หากสามารถเข้ามายังที่นี่ได้ แน่นอนว่าต้องมิใช่คนธรรมดา เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด ตำแหน่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้ มิกล้าต่อปากต่อคำกับผู้ใด

“เชิญคุณชาย”

“ขอบคุณท่านมาก”

“อย่าได้เกรงใจไปเลย เชิญดื่มชาก่อนเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามฉีเหมย เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เอ่อ…มิทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ?”

“อ้อ ข้าชื่อฉีเหมย คุณชายเดินทางมาเร็วไปเสียหน่อย ในวันนี้เพิ่งเปิดสำนักงาน อีกทั้งในตอนเช้ามีการประชุมใหญ่ราชวงศ์ เหล่าขุนนางชั้นสูงกลางวันคงได้กลับไปนอนพักสักงีบหนึ่ง”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เหตุใดท่านฉีเหมยจึงมิได้กลับไปนอนสักงีบ ? ”

“เห้อ…” ฉีเหมยวางม้วนหนังสือในมือลง “เจ้าคิดว่าข้ามิอยากกลับไปนอนงั้นรึ ? แต่ในวันนี้เป็นข้าที่ต้องอยู่เวร แม้จะมิมีเรื่องใด ๆ แต่ที่นี่ก็จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า มิทราบว่าคุณชายมาหาผู้ใด ? ”

“อ้อ ข้ามาคอยท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน”

ฉีเหมยตะลึง เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกัน ?

“นัดหมายไว้แล้วงั้นรึ ? ”

“อืม”

ฉีเหมยจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ !

ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมิใช่ผู้ที่ใครต้องการพบก็พบได้ แม้แต่เขาเองที่ทำงานในเสมียนกลาง ก็ยังพบเจอเขาน้อยครั้งนัก ที่สำคัญไปกว่านั้น ชายหนุ่มผู้นี้นัดหมายกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนไว้แล้ว

“ชานี้เริ่มจางแล้ว ข้ามีชาดี ๆ อยู่ คุณชายโปรดรอสักครู่”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ เขามองเห็นแผนผังตำแหน่งต่าง ๆ แขวนอยู่ที่ผนัง

แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ด้านบนสุดคือฮ่องเต้ จากนั้นคือสำนักการเมืองทั้งสี่สำนัก อันได้แก่ สำนักเลขาธิการ เสมียนกลาง สำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ

ภายใต้สำนักเสนาบดีแบ่งออกเป็นหกกรม ได้แก่กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมคลัง กรมโยธาธิการ กรมกลาโหมและกรมราชทัณฑ์

ภายใต้สำนักผู้ตรวจการแบ่งเป็นสำนักงานตรวจสอบและสำนักรักษาความลับ

ซึ่งมีองค์ประกอบง่ายดายกว่าในชาติที่แล้วมากนัก

ฉีเหมยต้มชากาใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนหลังอ่านจบแล้วจึงเดินกลับไปที่เดิมแล้วเอ่ยถามว่า “สำนักงานของเรานี้งานยุ่งหรือไม่ ?”

ฉีเหมยคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะใช้คำว่าเรา “ข้าจะเอ่ยให้ฟังนับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ที่นี่จะกลายเป็นที่ยุ่งที่สุดในพระราชวัง เจ้ามิรู้หรอกรึ ? หนังสือทุกฉบับจะต้องนำมาให้พวกเราอ่านดูก่อน หนังสือมีมาจากที่ต่าง ๆ มากมาย โดยรวมแล้วคือชีวิตที่สุขสบายนั่งดื่มชาเช่นตอนนี้ ข้าคาดว่าจะมิมีอีกแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา หากเป็นเช่นนี้เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของเขาเล่า !

“เจ้าหน้าที่ทุกคน…งานยุ่งหมดงั้นรึ ?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามออกไป ภายในใจเขาคิดว่าตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูคงจะมิได้วุ่นสักเท่าไหร่นัก ?

“เหอะ ๆ ท่านซางจงซูลิ่งยังมิได้หยุดพักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เจ้าคิดว่าพวกเราจะเป็นเยี่ยงไรเล่า ? ”

“ถ้าเยี่ยงนั้นคงมิมีเวลาแอบอู้งานเป็นแน่”

ฉีเหมยเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน หรือชายหนุ่มผู้นี้จะเข้ามาทำงานที่เสมียนกลางกัน ?

มองดูแล้วมิน่าใช่ ที่เสมียนกลางมิเคยมีผู้ที่อายุน้อยเพียงนี้เข้ามาทำงาน ผู้ที่สามารถเข้ามาในเสมียนกลางได้ อย่างน้อยก็อายุอานามสามสิบขึ้นไปแล้ว

“คุณชาย ข้าจะอธิบายให้ฟังง่าย ๆ ว่า หากจะแอบอู้งานละก็ ต้องไปที่จิ่วซื่ออู่เจียน ที่นั่นงานสบายนัก เหอะๆๆๆ”

“เห้อ…หาได้เหมือนที่เสมียนกลางไม่ ตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกยิ่งกว่าสุนัข ! หากพบเจอปัญหาใดเข้า อาจต้องทำงานทั้งคืนก็มิใช่เรื่องแปลกใด ๆ ”

จิตใจฟู่เสี่ยวกวนห่อเหี่ยวลงทันที เขาตกหลุมพรางของเยี่ยนเป่ยซีเข้าให้แล้ว !

มิได้การแล้ว เขาจะต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขารับตำแหน่งนี้มิได้ !

กว่าจะมีชีวิตที่แสนสุขสบายได้ในชาตินี้ เขาจะไม่ยอมรับหน้าที่หนักหนากับชีวิตแสนวุ่นวายอีกเด็ดขาด !

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านฉีที่ชี้แนะข้า ข้าขอตัวก่อน”

“อ้าวๆๆ มาดื่มชาก่อนค่อยไปสิ ! ”

แต่ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งเร็วราวกับกระต่าย เขาวิ่งออกมาจวนถึงประตูของสำนักงาน ขายังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป ก็พบว่าเยี่ยนเป่ยซียืนอยู่ตรงหน้า !

“คิดจะหนีงั้นรึ ? เจ้าช้าไปเสียแล้ว ! หึ ๆ ”

ข้างกายของเยี่ยนเป่ยซีมีชายชรารุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ ชายชราผู้นี้มองไปแล้วค่อนข้างมั่งคั่ง แม้ผมจะเริ่มหงอกขาวแต่ใบหน้าดูอวบอิ่ม โดยรวมแล้วมิเลวทีเดียว

ชายชราผู้นั้นมองดูแล้วยิ้มให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นเยี่ยนเป่ยซีจึงเอ่ยขึ้นว่า “พระประสงค์ของฝ่าบาท เจ้ากล้าขัดขืนงั้นรึ ? ”

“มิใช่เช่นนั้น ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน นี่ท่านกำลังโกงข้า ! ”

“เจ้าลองเอ่ยมาว่าข้าโกงเจ้าเยี่ยงไร ?”

“เอ่อ…ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าจะกล่าวให้ท่านฟังว่า ข้านี้มีนิสัยเกียจคร้านจนเคยตัว ท่านกลับให้ข้ามาทำงานในที่ที่วุ่นวายเพียงนี้ หากข้าทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา จะทำให้ท่านอับอายขายหน้าเสียเปล่าใช่หรือไม่ ? เอาเช่นนี้ไหม…ท่านโปรดเมตตา ปล่อยข้าไปเถิดได้หรือไม่ ? ให้ข้าเป็นเพียงไท่จงต้าฟูก็พอได้หรือไม่ ? ”

เสียงคุยกันที่ด้านหน้าประตูถูกฉีเหมยได้ยินเข้า เขาจึงเดินมาตรวจดู พบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและท่านซังก็อยู่ ณ ที่นี้ด้วย อีกทั้งชายหนุ่มเมื่อครู่ถูกพวกเขาดักเอาไว้ที่หน้าประตู

เมื่อได้ยินชายหนุ่มต่อรองกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เขาก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใดจึงกล้ากระทำเช่นนี้ !

“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าคือคนของเสมียนกลาง ต่อให้ตายไปวิญญาณก็ยังเป็นของเสมียนกลาง ! อย่าได้คิดหนีไปไหนเชียว ฝ่าบาทจะมิทรงกลับคำแน่ อีกอย่าง…เจ้ามีความอดทนสูงมิใช่รึ ? เพียงแค่เจ้าทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ข้ารับรองว่าท่านขุนนางระดับสูงซังจะให้อิสระแก่เจ้าเป็นแน่ ข้อเสนอนี้เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ?”

“ท่านกำลังรังแกข้าอยู่ !”

เยี่ยนเป่ยซีหัวเราะออกมา เขานึกในใจว่า อืม ! ข้ารังแกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ?

เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แต่ละวันชอบทำตัวอวดเก่ง ไม่ทำการทำงาน คอยแต่แก้แค้นคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ไร้สาระสิ้นดี เรื่องราวในราชวังจึงจะนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เจ้ายังมิเข้าใจงั้นรึ ?

“ไปๆๆ ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับงานให้เจ้าฟัง”

ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงก้าวขาเข้ามาด้านใน ด้านฉีเหมยตกตะลึงอ้าปากค้าง…เขาคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นรึ !

มิน่าเล่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนจึงได้นัดหมายกับเขาไว้ ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้จะมารับตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟู

เขาอายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดเสียด้วยซ้ำก็ได้รับตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ !

ข้าอยู่ในเสมียนกลางมา 3 ปีแล้ว แต่กลับมีตำแหน่งเพียงจู่ซูขั้นเจ็ดเพียงเท่านั้น…

เขาทำความเคารพเยี่ยนเป่ยซีและซังหยู จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าไปด้านใน

“ผู้นี้คือท่านซังหยู เป็นจงซูลิ่งสูงสุดของเจ้า ต่อจากนี้เจ้าจะทำงานให้แก่ท่านซัง ก่อนหน้านี้ข้าได้ปรึกษาหารือกับท่านซังแล้ว เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาท”

ผู้ดูแลนำน้ำชาเข้ามาวางให้ จากนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่หน้าตาบูดบึ้งแล้วกล่าวว่า “ดูเจ้าสิ เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยากลำบาก ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ดีเช่นกัน แต่หากเจ้าทำออกมาได้ดี เจ้าจะได้รับผลงานมากมายเพียงใดรู้หรือไม่ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น และเอ่ยถามว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านว่าเรารับราชการเพื่อสิ่งใด ? ”

“…เพื่อความสุขของประชาชน เพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติบ้านเมือง”

“ข้าคิดว่ารับราชการเพื่อเงินเท่านั้น”

“เจ้า…!” เยี่ยนเป่ยซีเริ่มแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา “เจ้าจะมีความรู้สึกนึกคิดสักหน่อยมิได้หรือไรกัน ? เอาล่ะ เพื่อเงินทองก็ตามแต่ เจ้าต้องการเอ่ยสิ่งใด จงกล่าวออกมาตรง ๆ ! ”

“ข้าอยากจะบอกว่า…ข้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง ! ”

ท่านขุนนางซังหัวเราะออกมาเสียงดัง เยี่ยนเป่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ผ่านไปสักครู่เขาจึงเอ่ยออกมาว่า “ข้ารู้ดีว่าเจ้ามิขาดแคลนเงินทอง แต่ราชวงศ์หยูต้องการเงิน ! เจ้าลองไปถามท่านเสนาบดีต่งดูสิว่ากรมการคลังนั้นยังมีเงินเหลืออยู่เท่าใด ? เจ้ารู้ดีว่าหากทำสงครามจะต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนมหาศาล ! กรมการคลังจัดการเงินทุกอีแปะอย่างดี แต่ในทุก ๆ ปีมักมีเรื่องที่คาดมิถึงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยและสงคราม”

“ท่านเสนาบดีต่งนอนมิหลับมาเป็นเวลานาน เนื่องจากคำนึงถึงเรื่องเงินนี้ ฝ่าบาทเองก็เสวยพระกระยาหารได้ไม่มากนักเนื่องจากเรื่องเงินนี้ เจ้าเล่า…เจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดกลับมิยินดีช่วยเหลือราชวงศ์หยูกัน ?”

……

บัดนี้ท่านขุนนางระดับสูงซังก็ยิ้มไม่ออก เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีจริงจัง

ฟู่เสี่ยวกวนถือถ้วยชาไว้ในมือ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงได้เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านขุนนางระดับสูงซัง เรื่องการหาเงินของประเทศนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือทำสงคราม ! ”

เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อไปว่า “หากมีกองทหารที่แข็งแกร่ง และทางเราเป็นผู้เริ่มสงคราม วิธีการปล้น…เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลที่สุด”

เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูมองหน้ากัน ปล้นงั้นรึ ?…ทหารราชวงศ์หยูจะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน !

ประเทศอื่น ๆ มิมาปล้นราชวงศ์หยูก็นับว่าบุญโขแล้ว นี่เจ้ากำลังจะให้ราชวงศ์หยูไปปล้นผู้อื่นงั้นรึ ?

“นอกจากปล้นเล่า ?”

“นอกจากนี้ก็ยากยิ่ง”

“ลองกล่าวมา”

“เปลี่ยนแปลงประเทศ แก้ไขและยกฐานะของพ่อค้าให้มากกว่าเกษตรกร ! ”

เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึง ซังหยูก็เช่นกัน

“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ? หากกดขี่เกษตรกรแล้วใครจะเป็นผู้เพาะปลูกกัน ? เรื่องอาหารต่าง ๆ จะจัดการเยี่ยงไร ? หากมิมีอาหารกิน การค้าต่าง ๆ จะมีประโยชน์อันใด ?”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นไปได้ยาก แต่หากให้ทั้งสองเท่าเทียมกันคงจะมิยากเท่าใดนัก ! ”

“ท่านทั้งสองลองไตร่ตรองดูว่าเงินทองเหล่านี้มาจากที่ใด ? เงินของประเทศมาจากภาษีใช่หรือไม่ แต่บัดนี้จากการบันทึกพบว่าพ่อค้าเสียภาษีมากกว่าเกษตรกร หากมิเพิ่มภาษีก็ต้องเพิ่มการค้าให้มากยิ่งขึ้น ! ”

“มีเพียงการค้าเจริญรุ่งเรือง หากพ่อค้าได้เงินมากขึ้น ประเทศจึงจะมีเงินมากมายตามมา ดังนั้นข้าน้อยคิดว่าหากมิแก้ไขนโยบายในส่วนนี้ ตำแหน่งของพ่อค้ามิสูงขึ้น เงินทอง…คงจะมิสามารถวิ่งเข้ามาในกรมการคลังเองได้ ! ”