ตอนที่ 217 หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 217 หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น

คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูชะงักนิ่งเงียบไร้คำกล่าวใด ๆ ออกมาชั่วครู่

ในยุคของเกษตรกรรมเยี่ยงนี้ ถึงแม้พ่อค้าจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่ในนโยบายของชาติ ชาวเกษตรก็ยังถือว่าเป็นบทบาทสำคัญอยู่

โครงสร้างชนชั้นบัณฑิต ชาวเกษตร ชั้นแรงงาน และพ่อค้ามิเคยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเหล่าปัญญาชนจึงทุ่มเทที่จะเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ซึ่งเป็นชนชั้นลำดับที่หนึ่งในสังคม และถึงแม้รายได้ของชาวเกษตรจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างมาก จนถึงขั้นอาจจะใช้ชีวิตได้อย่างน่าสังเวช แต่ในชนชั้นของระดับชาติแล้ว พวกเขาเป็นรองเพียงบัณฑิตเท่านั้น

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ชีวิตประจำวันของพ่อค้านั้นดีที่สุด แม้ว่าตัวตนของพวกเขาจะต่ำที่สุดก็ตาม

อย่างเช่นเศรษฐีอันดับหนึ่งของหลินเจียงฟู่ต้ากวน เขาเป็นเพียงเศรษฐีที่ดิน ค้าขายธัญพืช แท้จริงแล้วก็เป็นพ่อค้าเช่นกันมิใช่รึ

เขามีเงินทองมากมาย จนฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้ได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่ความกล้าของเขากลับเล็กจ้อย และกลัวการรุกรานจากขุนนางมากที่สุด

ข้อเสียเปรียบในกระดานหมากนี้ เยี่ยนเป่ยซีกับซังหยูและคนอื่น ๆ ย่อมมองมิออก ในความรู้ของพวกเขา พ่อค้ามิได้ทำการเพาะปลูก กลับค้นพบหนทางลัดในการซื้อและการขายเพื่อให้ได้กำไร หรืออาจจะเป็นหลังจากที่วัสดุราคาต่ำของพวกเขาได้ผ่านการแปรรูปแล้ว หลังจากนั้นจึงจะได้รับกำไรอย่างมหาศาลในยามที่ทอดสู่ตลาด

พฤติกรรมเหล่านี้สำหรับผู้ที่ผ่านการศึกษาทั่วไป มันคือการได้รับมาโดยมิต้องลงแรง ซึ่งเป็นการลักขโมยทุจริตเอารัดเอาเปรียบและมิใช่หนทางที่ถูกต้อง

แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของฟู่เสี่ยวกวน เป็นคราแรกที่ทั้งสองได้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้อย่างตั้งใจ พวกเขาย่อมทราบองค์ประกอบภาษีของกรมคลังเป็นอย่างดี ในอดีตมิได้รู้สึกเลยว่ามันมีความผิดปกติที่พ่อค้าเป็นผู้จ่ายภาษีเกินกว่าครึ่ง แต่ในตอนนี้กลับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวว่าต้องให้การพาณิชย์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรุ่งเรืองยิ่งขึ้นจึงจะแก้ปัญหาเงินคลังขาดแคลนได้

แท้จริงแล้วเรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่ง ต่อให้เยี่ยนเป่ยซีจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่เขาก็มิกล้ากระทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชาติ

“ยังมีหนทางอื่นอีกหรือไม่ ?” เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยถาม

“ข้ามิมีแล้ว เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ง่ายดายก็ได้กล่าวกับท่านไปแล้ว หากไร้หนทางแก้ไขตัวตนของพ่อค้าได้ ข้าก็มิมีประโยชน์ในฐานะขุนนาง หรือไม่…ท่านถือเสียว่าข้าเป็นเพียงมูลฝอยไปเสียเถอะ”

“ไสหัวออกไป ! ”

เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืน สองมือไขว้หลังและเดินวนไปมาอย่างฉุนเฉียว

“เจ้าจงเขียนรายละเอียดความคิดเห็นของเจ้าออกมา…” เขาสูดลมหายใจลึก ๆ “ข้าจักต้องนำเรื่องนี้ไปหารือกับฝ่าบาท ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ดังนั้นบทความของเจ้าต้องทำให้ข้าสงบลงให้จงได้”

ทันใดนั้นในหัวของฟู่เสี่ยวกวนก็พลันนึกถึง “หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น” ที่เคยอ่านในชีวิตก่อน กล่าวได้เลยว่าก็แทบจะเป็นเหตุผลเดียวกัน เพียงแต่เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นได้ไม่ละเอียดพอเท่าความฝันในหอแดง แต่หากเขียนตามความหมายของตำราเล่มนั้นโดยประมาณชายชราผู้นี้ก็น่าจะพอรับได้

“ข้าต้องการเวลาครึ่งเดือน”

“นานถึงเพียงนั้นเลยรึ ? มิได้ ข้าให้เวลากับเจ้าเพียง 3 วันเท่านั้น !”

ชายชรานี่ เจ้ามองข้าเป็นเครื่องจักรกลหรือเยี่ยงไรกัน !

“มิสามารถทำได้ใน 3 วัน สิ่งนี้ยุ่งยากยิ่งกว่านโยบายบรรเทาสาธารณภัยเป็นร้อยเท่า สิ่งที่เกี่ยวข้องนั้นมีมากมายเกินไป อย่างน้อยต้อง 10 วัน มิเช่นนั้นแล้วก็ล้มเลิกการเจรจา ! ”

ซังหยูเฝ้ามองทั้งสองต่อรองกันด้วยท่าทีแปลกใจ เขาอยู่ในเสมียนกลางมาจวนจะยี่สิบปีแล้ว แต่เป็นคราแรกที่ได้เห็นเรื่องเช่นนี้ คาดมิถึงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนจะโต้เถียงกับชายหนุ่มผู้หนึ่งจนหน้าดำหน้าแดง ก็เพื่อช่วงเวลาเพียงไม่กี่สิบวันนั้น แต่ก็คาดมิถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกล้าแข็งข้อกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน แท้จริงก็คือลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ เป็นจริงดังในร้อยแก้ว เยาวชนราชวงศ์หยูที่กล่าวไว้ว่า อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดิน แผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา !

และผลลัพธ์ก็ออกมามากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนยอมพ่ายแพ้แล้ว !

ท่าทางของฟู่เสี่ยวกวนที่ตั้งท่าจะล้มแผงขายของและจากไป ก็ทำให้เยี่ยนเป่ยซีต้องถอยไปก้าวใหญ่ในท้ายที่สุด

“ได้ ๆ 10 วัน หากเจ้าเขียนบทความนั้นออกมามิได้ รอดูได้เลยว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไร ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเริงร่า และหยิบจอกชาและส่งไปเบื้องหน้าเยี่ยนเป่ยซีอย่างร่าเริง “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร…ท่านโปรดใจเย็น ข้ามิกล้ารับปากได้ว่าจะสามารถเขียนบทความออกมาได้ แต่ข้าน้อยขอรับปาก หากสามารถตระหนักถึงความสำคัญของพ่อค้าได้ เริ่มต้นการพาณิชย์ใหม่ได้ ก็จะเห็นผลสำเร็จภายในเวลาสามปี”

“สามปีนานเกินไป หนึ่งปี หนึ่งปีเท่านั้น ! ”

นี่มันมิมีเหตุผลแล้ว การเพาะต้นกล้ายังต้องรอครึ่งปีกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ !

“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ทุกอย่างย่อมมีข้อกำหนด เศรษฐกิจก็เช่นกัน ต่อให้ฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย การดำเนินนโยบายนี้ต้องรอนานเท่าใด ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าที่พ่อค้าเหล่านั้นจะยอมรับ ขุนนางแต่ละพื้นที่ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการปรับตัวเข้ากับนโยบายนี้ และเหล่าพ่อค้าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสร้างโรงงานผลิตสินค้าของตนเองได้ ? ”

“ดังนั้นต้องทานข้าวก็ต้องทานเป็นคำ ๆ ไป มิเช่นนั้น…ข้าวคงจะติดคอตาย ! ”

เยี่ยนเป่ยซีคิ้วขมวด ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาก็เป็นความจริง เป็นตนเองที่ร้อนรนมากเสียเกินไป

“เอาล่ะ ๆ ข้ามิขอโต้เถียงกับเจ้าเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าจงทำบทความนี้ออกมาให้แล้วเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยมาหารือกันอีกครา”

“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง…เพียงแต่ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมายและจะรบกวนการใช้ความคิดของข้า ดังนั้นข้าน้อยจึงมีความคิดว่า ในสิบวันนี้คงจะมิมาที่นี่แล้ว ต้องใช้ความคิดอยู่ที่จวนอย่างเงียบ ๆ เยี่ยงนั้นจึงจะสามารถเขียนบทความออกมาได้ ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ ?”

“ไปไป ไสหัวไป ! เจ้าชอบทำให้ข้ารำคาญเสียจริง”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าก่อนจะกุมหมัดและโค้งคำนับเยี่ยนเป่ยซีและซังหยู “ท่านขุนนางระดับสูงเยี่ยน ท่านขุนนางระดับสูงซัง ข้าน้อยขอตัวก่อน ! ”

พวกเขาจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่หายไปด้านนอกประตูแล้ว เยี่ยนเป่ยซีจึงหัวเราะขึ้นมา “ท่านซัง ชายผู้นี้ท่านคิดเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ?”

“สายตาของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนนั้นมิมีผู้ใดเหมือน ถึงข้อโต้แย้งของเขา…แม้จะสวนทางอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อได้ฟังดี ๆ แล้วก็สมเหตุสมผลยิ่ง นโยบายการเกษตรสำคัญระดับชาติมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน แต่กลับมิมีผู้ใดกล่าวถึงข้อแตกต่าง และปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นมาแต่ช้านาน แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขากล่าวในวันนี้ ราวกับต้องมีการปฏิรูปอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเสียแล้ว”

“อือ…” เยี่ยนเป่ยซีลูบเคราสั้นพยักหน้าและกล่าวอย่างเชื่อมั่น “แรงต่อต้านของเรื่องนี้ต้องใหญ่หลวงเป็นแน่ ปัญหามิได้อยู่ที่ฝ่าบาท แต่ต้องมีการคัดค้านจากผู้คนในหมู่บัณฑิตเป็นแน่ พวกเขาต่างก็มีฐานะต่ำต้อยและความคิดนี้ก็ได้ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของบัณฑิต คนเหล่านี้ต่างดูถูกพ่อค้ายิ่ง ต่างคิดว่าพวกเขานั้นหน้าเงินและเห็นแก่ตัว มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ หากนโยบายนี้ได้รับการผลักดัน พวกเขาจะต้องโดดออกมาคัดค้านเป็นแน่ ท่านซัง ดังนั้นจะต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจึงจะดี”

ซังหยูพยักหน้า “ข้าจะไปคุยกับขุนนางระดับสูงช่างกวนเหวินซิ่ว ก่อนอื่นคงต้องรอดูไปก่อน รอจนกว่าจะได้รับคำอนุญาตให้ปฏิรูปจากฝ่าบาท แล้วจากนั้นจึงจะเชิญขุนนางระดับสูงช่างกวนเหวินซิ่วจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาเปลี่ยนความคิดความอ่านของเหล่าบัณฑิต โดยผ่านตำราที่ออกโดยกั๋วจื่อเจี้ยน และจะถูกมอบให้กับเหล่าบัณฑิตของราชวงศ์หยู เพื่อให้พวกเขามีการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจเสียก่อน”

“นโยบายนี้ใช้ได้ เฮ้อ…หากมีเวลามาพอถึงแปดหรือสิบปี การผลักดันเรื่องนี้ก็คงมิยากลำบากเยี่ยงนี้ แต่ในตอนนี้ เวลามิคอยข้าแล้ว”

…..

…..

ณ วังเตี๋ยอี๋

ฮ่องเต้หยูยิ่นแต่งกายด้วยชุดลำลองและกำลังนั่งผิงเตาไฟพร้อมกับอ่านตำราไปด้วย ในตอนที่หยูเวิ่นหวินจะลุกออกไป กลับถูกหยูยิ่นเรียกเอาไว้ “เวิ่นหวิน ข้าขอถามเจ้าเสียหน่อย…ครั้งก่อนที่เจ้าและต่งชูหลานไปยังเรือนซีซานที่หมู่บ้านเสี้ยชุน เจ้าเคยได้เห็นโรงงานที่เขาสร้างขึ้นมาใช่หรือไม่ ? ”

หยูเวิ่นหวินนั่งลงอีกครา และทำหน้ามุ่ย

“ในเวลานั้นเขามีเพียงโรงกลั่นสุรา น้ำหอมยังอยู่ในขั้นเตรียมการยังมิได้ผลิตออกมาเพคะ และก็ยังมิมีแม้แต่เงาของสบู่แม้แต่ชิ้นเดียว”

“โอ้…กล่าวได้ว่า ภายในระยะเวลาสั้น ๆ สองถึงสามเดือน เขาก็สามารถสร้างน้ำหอม สบู่และปูนซีเมนต์เหล่านั้นออกมาได้เยี่ยงนั้นรึ ? ”

“เพคะ ประมาณนั้น ที่เสด็จพ่อตรัสถามเยี่ยงนี้มีความหมายอันใดหรือเพคะ ? หรือว่าเสด็จพ่อสนใจโรงงานของเขารึเพคะ ?”

พระสนมซั่งเหลือบมองหยูเวิ่นหวิน “เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน ? เสด็จพ่อของเจ้าจะสนใจสิ่งเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นรึ ?”

“ก็ไม่แน่นี่เพคะ ! ”

หยูยิ่นหัวเราะ วางหนังสือที่อยู่ในมือลง และเอ่ยถามอีกครา “ต้นทุนน้ำหอมและสบู่ของเขาเท่าใดรึ ? และเขาได้ตั้งราคาขายเท่าไว้เท่าใด ?”

“นั่น…” หยูเวิ่นหวินกลอกตาไปมา แล้วกล่าวว่า “น้ำหอมหนึ่งขวดมีต้นทุน 3 ตำลึง รวมกับค่าขนส่งและเบ็ดเตล็ดแล้ว พวกเราจึงขายในราคา 10 ตำลึง ต้นทุนของสบู่นั้นอยู่ที่หนึ่งชิ้นประมาณ 2 ตำลึง พวกเราขายที่ 7 ตำลึง”

“โอ้…คำนวณเยี่ยงนั้นรึ ราคาขายสูงกว่าต้นทุนถึงสองเท่า” หยูยิ่นพยักหน้า เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“มิใช่ เสด็จพ่อถามถึงสิ่งนี้ทำไมรึเพคะ ?”

หยูยิ่นมิได้ตอบกลับไป แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “ในขณะที่เจ้าอยู่ที่ซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าหนึ่งประเทศให้ความสำคัญในด้านพาณิชย์ เพิ่มตัวตนของพ่อค้าให้สูงขึ้น ประเทศนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เจ้าบอกสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้นให้ข้าฟังได้หรือไม่ เล่าโดยละเอียด ข้าต้องการฟังให้เข้าใจ”

หยูเวิ่นหวินเหลือบมองพระสนมซั่ง พระสนมซั่งก็พยักหน้าเช่นกัน

“ตกลงกันก่อนเพคะ หากเสด็จพ่อทรงฟังแล้วมิชอบพระทัย ก็มิสามารถไปตำหนิฟู่เสี่ยวกวนได้ เพราะในยามที่เขาบอกกับข้าและชูหลานก็เคยได้กล่าวแล้วว่าคำพูดเหล่านี้ค่อนข้างจะสวนทางกับนโยบายของชาติ จึงห้ามกล่าวให้คนนอกฟังโดยเด็ดขาด”

หยูยิ่นคิ้วขมวด “กล่าวมาเถอะ ข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร”

ดังนั้น หยูเวิ่นหวินหวนนึกไปถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้กล่าวไว้ในค่ำคืนที่ร่วมรับประทานปลาด้วยกัน และกล่าวกับหยูยิ่นออกไปโดยละเอียด

“เขาพูดว่าเมิ่งจื่อมีคำกล่าวไว้ว่า ไพร่ฟ้าค่าสูงหนัก บ้านเมืองรองลงมา ราชาไร้น้ำหนักใด นี่คือคำกล่าวของนักปราชญ์ ประชาชนสำคัญที่สุด พวกเขาคือรากฐานของประเทศชาติ ความสำคัญของพวกเขาคืองานที่อยู่ขั้นพื้นฐานที่สุด แต่กลับสร้างในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น และมิสามารถประมาณการมูลค่ามันได้”

“…..”

“เขายังถามอีกว่าภาษีเหล่านั้นมาจากที่ใด วิเคราะห์กลับไปก็มาจากชาวนาและเหล่าเกษตร เหล่าคนงาน รวมไปถึงเหล่าผู้ครอบครองที่ดินเช่นข้า ทั้งยังมีพ่อค้าอีกด้วย”

“ทั้งที่คนเหล่านี้มีความสำคัญถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดประเทศกลับมิให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้กัน ปัญญาชนดูถูกชาวนา เรียกพวกเขาว่าไม้ปักดินเหนียว ขุนนางดูถูกพ่อค้า คิดว่าทั่วร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบทองแดง พวกเขากลับมิเคยคิดถึงด้วยซ้ำ ว่าเบี้ยหวัดที่พวกเขาได้รับ ส่วนมากก็เป็นภาษีจากพ่อค้าทั้งสิ้น ดังนั้นหากให้ความสำคัญกับการค้า ให้ความสำคัญกับพ่อค้ามากยิ่งขึ้น ประเทศนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”

“เขาได้กล่าวไว้เยี่ยงนี้เพคะ เสด็จพ่ออย่าได้กริ้วนะเพคะ !”

หยูเวิ่นหวินจ้องมองหยูยิ่นอย่างกังวลใจ หยูยิ่นหันมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดนี้ แต่ยังคงมิออกความคิดเห็นใด

นี่มิใช่เรื่องเล็ก ๆ เหมือนกับคำพูดของเวิ่นหวิน คำพูดนี้มีความขัดแย้งอยู่เล็กน้อย เพราะคำพูดนี้มันขัดกับนโยบายปัจจุบัน

แต่รายได้จากภาษีของราชสำนักก็เป็นดังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาอย่างแท้จริง มาจากเกษตร ชนชั้นแรงงาน และพ่อค้า อย่างน้อยภาษีจากพ่อค้าก็มากเกินครึ่ง

เยี่ยงนั้นหากข้าต้องการส่งเสริมทางค้า แล้วจะเปลี่ยนมุมมองของปัญญาชนในใต้หล้านี้ได้เยี่ยงไร ?

หยูยิ่นมิเข้าใจ ครุ่นคิดถึงนโยบายยี่สิบคำที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้เขียน เจ้าหนุ่มนั่นจะมีวิธีการทำให้บรรลุผลได้หรือไม่ ?