ตอนที่ 218 ความขัดแย้งแห่งจิตวิญญาณ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังจวนฟู่ เขามิได้รีบลงมือเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นในทันที เนื่องจากเย่อู๋เซิงผู้รับผิดชอบเดือนสิบสองของหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้เข้ามารอเขาก่อนหน้านี้แล้ว

“เรียนคุณชายขอรับ นี่คือรายงานของอารามซุ่ยเยว่”

ปู้เนี่ยนชือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่มิได้ออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋องอีกเลย ฟู่เสี่ยวกวนอยากรู้ยิ่งนักว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่

เมื่อเขารับกระดาษนั้นแล้วจึงเปิดออกดู ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“ปู้เนี่ยนชือไท่ปลิดชีพตนเองลงในเวลาเที่ยงของวันนี้ ! ”

ตายแล้วงั้นรึ ?

เหตุใดนางจึงตัดสินใจปลิดชีพตนเอง ?

เพียงเพราะความลับของอารามซุ่ยเยว่ถูกเปิดเผยงั้นรึ ?

หรืออาจเป็นเพราะคนของหยี่ฮวาถายถูกจับตัวไปกว่าสิบคน ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงเอ่ยว่า “จงส่งคนไปจับตาดูที่อารามซุ่ยเยว่ไว้ให้ดี โดยเฉพาะหนังสือเข้าออกทุกฉบับ”

“ข้าน้อยรับทราบขอรับ ! ”

เย่อู๋เซิงเดินทางออกจากจวนฟู่ไป ฟู่เสี่ยวกวนนั่งคิดต่อไปว่า จากคำกล่าวของจีหลินชุน ปู้เนี่ยนซือไท่มีตำแหน่งสูงเสียทีเดียวสำหรับหยี่ฮวาถาย ส่วนอารามซุ่ยเยว่นั้นมีไว้สำหรับร่างจดหมายหรือรายงานต่าง ๆ เช่นเรื่องราวที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบฆ่านั้นก็ได้ผ่านอารามซุ่ยเยว่ก่อนไปถึงหอเยียนจือ จากนั้นจึงนำส่งไปยังหลินหงเพื่อส่งต่อไปให้หยางชีกับจ้าวซื่อ

ตามแผนการเดิมนั้น เมื่อทั้งสองลักพาตัวฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว จะส่งเขาขึ้นไปยังเรือที่จอดเทียบท่าเหนือภูเขาลั่งซาน แต่เนื่องจากแผนการล้มเหลว จึงได้เผาทำลายเรือนั้นทิ้งเสีย ส่วนเรื่องจะนำตัวฟู่เสี่ยวกวนส่งไปที่ใด ? อีกทั้งผู้ใดเป็นคนสั่งจับตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ไม่มีใครรู้ เนื่องจากข้อมูลต่าง ๆ ถูกทำลายเสียจนหมดสิ้น จีหลินชุนรู้เพียงเท่านี้ นางและหลินหงมิรู้ว่าผู้ใดที่อยู่บนเรือลำนั้น

สรุปได้ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยี่ฮวาถายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้ให้ซูเจวี๋ยคอยจับตามองดูหยี่ฮวาถายเอาไว้

แต่ในวันนี้เขาได้ทูลถามพระสนมซั่งเมื่อตอนอยู่ในวังเตี๋ยอี๋ และตัดสินใจว่าจะมิเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องหยี่ฮวาถายอีก เนื่องจากเขามิอาจทนต่อผลที่ตามมาได้ แต่หยูเวิ่นเต้าสามารถทำได้

หอชิงเฟิงซี่หยู่กับหยี่ฮวาถาย นี่คือการต่อสู้ระหว่างสององค์กรมืดขนาดใหญ่ในเมืองหลวง แน่นอนว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูจะมิออกมาเผชิญหน้ากันด้วยตนเอง

ฟู่เสี่ยวกวนโยนกระดาษนั้นเข้าไปในเตาผิง จากนั้นสั่งให้ชุนซิ่วเตรียมหมึก และเริ่มลงมือเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น

“ธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่เกิดจนดับสูญ มักมีความเห็นแก่ตนเป็นสันดาน ! ”

เขาเขียนประโยคนี้ลงในหนังสือเป็นประโยคแรก เมื่อพิจารณาอยู่สักพัก เขาก็โยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไปในเตาผิง

แนวคิดนี้แหลมคมเกินไป เกรงว่าเยี่ยนเป่ยซีและฝ่าบาทจะมิอาจยอมรับได้

“สิ่งใดคือกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่ดี ? นั่นหมายความว่าจะต้องส่งเสริมให้ปวงชนในใต้หล้าสร้างความมั่งคั่ง อีกทั้งต้องออกกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินของปวงชนทุกคน ! ”

“เมื่อปวงชนมีแรงจูงใจในการแสวงหาความมั่งคั่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศชาติ ความมั่งคั่งของพวกเขาก็จะเติบโตขึ้นและจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศคึกคักมากยิ่งขึ้น ทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้น และนี่คือผลที่จะได้รับ ! ”

“บทที่ 1 เกี่ยวกับปัจจัยที่เพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน”

“ข้อที่ 1 การแบ่งงานทางสังคม”

“ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพียงแต่มีการแบ่งงานที่แตกต่างกันออกไปในสังคม ชาวนาเพาะปลูกในไร่นาเพื่อผลิตอาหาร คนงานสร้างอุปกรณ์เพื่อเพิ่มผลผลิต พ่อค้าขายสินค้าเพื่อให้สินค้าหมุนเวียน เจ้าหน้าที่บริหารประเทศเพื่อให้สังคมมีเสถียรภาพและสามารถพัฒนาได้อย่างมีระเบียบ ทุกคนต่างทำในสิ่งที่ควรทำในหน้าที่ของตน นี่คือสภาพปัจจุบันของสังคม แต่ยังมิเพียงพอเนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบัน จำกัดความคิดของผู้คนในการแสวงหาความมั่งคั่ง ควรจะต้องมีการปฏิรูปเพื่อกระตุ้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้คนมีความกล้าที่จะแสวงหาความมั่งคั่งโดยมิต้องกังวล”

“……”

“ข้อดีของการปรับปรุงการแบ่งงานทางสังคม คือการเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงานจำนวนมาก การใช้ความสามารถของแรงงานให้ถูกต้องกับงาน ทักษะของแรงงาน และการใช้วิจารณญาณในการเพิ่มผลผลิตสินค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเพิ่มมูลค่าทั้งสิ้น”

“……”

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปอย่างตั้งใจ เขามิทันได้รู้ตัวว่าต่งชูหลานได้เดินเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เขา

ต่งชูหลานเอียงคอมอง นางยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล คิ้วงามคู่นั้นขมวดเสียจนแทบเข้ามาชิดกัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“ตัวอย่างเช่น ในการผลิตเสื้อผ้าหากมีการแบ่งหน้าที่ ดังเช่น การออกแบบ การเลือกวัสดุ การเตรียมวัสดุ การตัดเย็บและการจัดห่อแนวการปฏิบัติในปัจจุบันมิได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ขายในท้องตลาดจึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน กระบวนการทั้งหมดทำเสร็จสิ้นโดยคน ๆ เดียว ซึ่งหมายความว่าไม่มีการแบ่งงานกันทำ หากแบ่งหน้าที่กันมีคนเลือกวัสดุ มีคนเตรียมวัสดุ มีคนตัด มีคนเย็บและมีคนจัดห่อ พวกเขาทำเฉพาะหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้น แน่นอนว่าจะมีความเชี่ยวชาญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเดิมทีอาจตัดเย็บเสื้อผ้าได้ 10 ตัว ก็จะสามารถเพิ่มผลการผลิตเสื้อผ้าได้ 50 ตัวหรือหลายร้อยตัวในทุก ๆ วัน นี่คือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสินค้า และเป็นการสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้น”

ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจ ร้านเสื้อผ้าของนางนั้น หากบรรดาแรงงานแบ่งหน้าที่กัน ก็อาจจะผลิตเสื้อผ้าได้มากกว่าเดิมหลายเท่างั้นรึ ?

นางตัดสินใจจะลองนำไปปฏิบัติตาม แต่นางมิได้จากไปในทันที เนื่องจากนางต้องการดูต่อไปว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเขียนสิ่งใดต่อ

“…เรื่องของการเกษตรมีลักษณะเฉพาะ มิอาจแบ่งหน้าที่ย่อยได้เหมือนอุตสาหกรรมอื่น อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพด้านการผลิตของการเกษตร มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องมือในปัจจุบัน ผลผลิตของการเกษตรต่ำมากในแต่ละปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็สร้างมูลค่าได้ไม่มาก หากต้องการลดแรงงาน จะต้องปรับปรุงอุปกรณ์ในการทำเกษตร ตัวอย่างเช่น พื้นที่ 1 หมู่ต้องการคน 1 คนในการเพาะปลูก หากมีอุปกรณ์ที่ดี ในเวลาเดียวกันคนหนึ่งคนสามารถเพาะปลูกได้ 2 หมู่ขึ้นไป นี่คือการลดแรงงานแต่ได้เพิ่มผลผลิต ส่วนชาวนาที่เหลือให้จัดการส่งพวกเขาไปประกอบอาชีพอื่น สิ่งนี้เรียกว่าการถ่ายโอนแรงงานและเป็นการเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ…”

แสงแดดสีส้มอ่อนส่องกระทบมายังทะเลสาบซวนอู่

เตาผิง ณ หอเถาหรานได้ถูกเติมถ่านเข้าไปใหม่ เปลวไฟพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมยามเย็น ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนหน้าแดงเรื่อ ต่งชูหลานเองก็เช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเขียนต่อไปอย่างขะมักเขม้น ต่งชูหลานก็ยังคงยืนดูอย่างตั้งใจ มิได้ขยับไปที่ใด

ซูซูนั่งไกวชิงช้าพลางกินปิงถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อย นางมิเข้าใจเลยจริง ๆ ว่าบทความนั้นมีสิ่งใดน่าสนใจกัน ?

เมื่อสักครู่นางได้เดินเข้าไปมองเช่นกัน นอกจากตัวหนังสืออันเป็นเอกลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว นางมิได้มีความรู้สึกถึงความน่าสนใจแม้แต่นิดเดียว มิได้สวยงามหรือน่าหลงใหลเหมือนบทกวี

ซูเจวี๋ยหยิบบทความที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเสร็จแล้วขึ้นมาอ่านพร้อมกับเดินไปรอบ ๆ หอเถาหราน เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขียนไปนั้นมีเหตุผล แต่ก็คล้ายกับมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า บทความนี้เพียงต้องการให้กำลังใจ สนับสนุนให้ผู้คนแสวงหากำไร !

อืม มิถูกต้อง หากทุก ๆ คนล้วนแต่ไปแสวงหากำไร จะมิก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นหรอกรึ ?

สิ่งนี้ขัดแย้งกับหลักปรัชญา !

หลักปรัชญาสนับสนุนให้ผู้คนมีจิตใจงดงาม มีความเมตตากรุณา มีความชอบธรรมและมารยาท สนับสนุนการปกครองโดยวรรณกรรม แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนี้ให้ความสำคัญกับเงินทอง การปลดปล่อยความต้องการในการแสวงหาผลกำไรของผู้คน

ซูเจวี๋ยถอนหายใจออกมายาวๆ บทความนี้หากเผยแพร่ออกไป…เกรงว่าบรรดาปัญญาชนทั่วหล้าคงจะโกรธเกรี้ยวเสียจนทนมิได้ !

เนื่องจากในสายตาของปัญญาชนนั้น มีเพียงการร่ำเรียน จึงจะก้าวไปสู่สังคมชั้นสูงได้ มิมีสิ่งใดสูงส่งไปกว่าการร่ำเรียนหนังสือ ประโยคนี้ได้สืบทอดกันมาแต่โบราณ

หากพ่อค้าได้รับการยกย่อง จะมิเป็นการขายหน้าต่อปัญญาชนงั้นรึ ?

แต่อย่างไรก็ตาม เขามองออกถึงคุณค่าของบทความนี้ เปรียบเสมือนการฝึกดาบ เมื่อถูกดาบคมจี้อยู่ตรงหน้าอก คนเราจึงจะใช้ทุกวิถีทางในการต่อสู้เพื่อให้ตนรอดไปได้

หากเขาปรับปรุงเนื้อความแล้วลดความบาดหมางลงเสียหน่อยคงจะดีกว่านี้

ซูเจวี๋ยคิดเช่นนั้น

ต่งชูหลานในฐานะผู้ทำการค้า นางกลับรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดียิ่งนัก

บัดนี้ตำแหน่งของพ่อค้าต่ำต้อยยิ่งนัก หากมิมีตระกูลใหญ่ทั้งหกคอยสนับสนุน เกรงว่าบรรดาพ่อค้าเหล่านั้นคงมิอาจขยายกิจการของตนได้ อีกทั้งยังมิกล้าก้าวเข้ามาในวงการการค้า

ซึ่งหากขุนนางเข้าขัดขวางพวกเขา แน่นอนว่าพ่อค้าจะขาดทุนไม่น้อย หรืออาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็เป็นได้

พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มลง ชุนซิ่วเดินเข้ามาจุดโคมไฟเพิ่มแสงสว่าง นางมองไปที่คุณชาย…นางตระหนักว่าควรจะเรียกคุณชายไปกินอาหารเสียก่อนดีหรือไม่ ?

ไม่นานต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนก็วางพู่กันลง ในที่สุดเขาก็เขียนเสร็จสิ้นไปหนึ่งบท แต่ได้เขียนแตกต่างไปจากหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นในชาติที่แล้ว เนื่องจากเขาเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปมากโขเสียทีเดียว โดยรวมแล้วเขาพอใจในสิ่งที่เขาเขียนเป็นอย่างมาก

เขาได้กลิ่นมะลิอ่อน ๆ โชยมา ใบหน้าของเขายิ้มขึ้นทันควัน เมื่อหันหลังกลับไปพบว่าเป็นต่งชูหลานจริง ๆ

“เสร็จแล้วรึ ?”

“ยังขาดอีกมากนัก…เห้อ ในการประชุมใหญ่ราชวงศ์เมื่อเช้านี้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็ได้มอบหมายหน้าที่หนักหนานี้ให้แก่ข้า”

“ให้เขียนสิ่งนี้งั้นรึ ? ”

“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนบิดตัวแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีนโยบายยี่สิบคำออกมา นั่นคือ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่ง…แต่กรมคลังมิมีเงินมากพอ ฝ่าบาททรงมอบหน้าที่นี้ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน จากนั้นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็โยนหน้าที่นี้มาให้กับข้า นโยบายนี้มีหน้าที่เพียงชี้แนะว่าควรทำเช่นไร ส่วนทั้งสองจะเห็นด้วยและนำไปใช้หรือไม่ ก็มิใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล”

ต่งชูหลานและซูเจวี๋ยนั่งลงที่ตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนตาไม่กะพริบ นางยิ้มขึ้นจนเห็นลักยิ้มอันน่าหลงใหล “ได้ยินท่านพ่อเล่าว่า…เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งงั้นหรือ ? ”

“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ข้าคาดว่าเขาคงวางแผนเล่นงานข้าเสียมากกว่า เสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู หึหึ ! ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเพียงต้องการหลอกใช้ข้าเพียงเท่านั้น ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมาด้วยความไม่พอใจ แต่ต่งชูหลานกลับหัวเราะร่า

การที่ได้เข้าไปทำงานในเสมียนกลาง คนอื่น ๆ ดิ้นรนแทบตาย แต่เขากลับมานั่งบ่นงั้นรึ ! เขาอยากจะกลับไปเป็นพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงหรือเยี่ยงไร ?

ซูเจวี๋ยขยับหมวกของตน แล้วเอ่ยว่า “บทความของเจ้านี้น่าสนใจ เพียงแต่มีความเห็นบางประการที่ขัดแย้งกับปรัชญาเดิม หากลบทิ้งไปจะมิดีกว่ารึ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดีถึงความหมายของซูเจวี๋ย เขาเองก็ได้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เขามิได้ทำมัน

“มิอาจตัดทิ้งไปได้ นี่คือนโยบายปฏิรูป มิสามารถที่จะสร้างสมดุลที่มาจากความขัดแย้งของจิตวิญญาณได้ มีเพียงแค่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของฝ่าบาทและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ส่วนข้านั้น…เพียงแค่เขียนความขัดแย้งเหล่านั้นออกมาเพียงเท่านั้น”