ตอนที่ 219 สนทนายามค่ำคืน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ซูเจวี๋ยไม่เข้าใจในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวน แต่ต่งชูหลานกลับรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

“เหมือนกับประโยคที่เจ้าได้กล่าวไว้ในคืนนั้นที่เรือนซีซานเมื่อปีที่แล้ว ความกังวลใจของซูเจวี๋ยมิได้ไร้เหตุผล สุดท้ายแล้วประเทศของราชวงศ์หยูก็เป็นประเทศทางวัฒนธรรมและการเล่าเรียน เชิดชูความรู้ หากบทความของเจ้าได้เผยแพร่ออกไป จะมิเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วทั้งใต้หล้ารึ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนเอนร่างไปข้างหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาราวกับคุยกับตนเอง และก็เหมือนกำลังอธิบายไปในตัว “ในอดีตข้ามิทราบถึงสถานการณ์ของราชวงศ์หยู ย่อมวาดหวังขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่ในตอนนี้ที่ได้ทราบมาโดยคร่าว ๆ แท้จริงแล้วก็กังวลอยู่เช่นกัน กังวลให้ต้นไม้ต้นนี้อย่าล้มลง และข้าก็หวังจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายใต้ต้นไม้นี้ไปชั่วชีวิต”

เขาหยุดนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยต่ออีกว่า “ไม่กี่วันก่อนข้าได้ไปจวนเยี่ยน เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยถามข้าหนึ่งคำถาม ในตอนนั้นข้ายังคิดว่าคำถามของเขาค่อนข้างไร้สาระ แต่เมื่อมาตระหนักในตอนนี้ คำถามของเขากลับหมายถึงสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์หยู”

“เขากล่าวว่า เขามีที่ดินหนึ่งแปลง ได้ปลูกต้นกุยช่ายไว้แต่กลับละเลยมัน ดังนั้นที่ดินนั้นจึงเต็มไปด้วยวัชพืช เอ่ยถามข้าว่าจะกำจัดวัชพืชนั้นไปเรื่อย ๆ หรือจะกำจัดต้นกุยช่ายและวัชพืชให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยปลูกใหม่… คำตอบของข้าคือหากที่ดินนั้นแห้งแล้งไปแล้ว สู้ปล่อยไปจะดีกว่า แต่หากดินนั้นยังอุดมสมบูรณ์ เยี่ยงนั้นก็กำจัดวัชพืชไปอย่างช้า ๆ เถอะ”

“ในยามนั้นข้าคิดว่านี่คือทางเลือกที่เขากำลังเผชิญ การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ แต่อำนาจของตระกูลเยี่ยนเป็นอันดับที่หนึ่งของราชวงศ์หยู ดาบเล่มนั้นย่อมตัดลงมายังศีรษะของตระกูลเยี่ยน ข้าคิดว่าเขาอาจจะหมายถึงทางเลือกของตระกูลเยี่ยน แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าข้านั้นจะคิดผิด ที่เขาถามมานั้นมิใช่หนทางเลือกของตระกูลเยี่ยน แต่เป็นหนทางเลือกของประเทศนี้”

“ประเทศเปรียบเหมือนที่ดินนั่น และมันก็ได้แห้งแล้งไปนานแล้ว เพียงแต่ต้นกุยช่ายและวัชพืชที่อยู่บนหน้าดินนั้นยังเขียวชอุ่ม แต่นั่นก็แค่แข็งนอกแต่อ่อนใน ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้เอ่ยนโยบายยี่สิบคำขึ้นในการประชุมใหญ่ราชวงศ์ ความตั้งใจก็มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกเพื่อรวมประชาชนในราชวงศ์หยูให้เป็นปึกแผ่น กล่าวว่าพวกเขานั้นคืออนาคตที่สวยงาม เพื่อให้ประชาชนทั่วทั้งใต้หล้าอยู่อย่างสุขสบาย ประการที่สองก็เพื่อค้นหายาที่ดี เพื่อยืดอายุขัยของราชวงศ์หยู จนไปถึงขั้นทำให้ราชวงศ์หยูฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครา”

“นี่คือโรคเรื้อรัง มิมียาใดรักษาได้ แต่ทางเหนือมีชาวฮวงที่จ้องตาเป็นมัน และทางตะวันออกก็มีแคว้นอี๋ที่เตรียมกระโจนสู่สนามรบ ราชวงศ์หยูมิมีเวลามาชักช้าแล้ว ข้ากล้าสาบานว่า หากราชวงศ์หยูเผยความอ่อนแอให้เห็นเพียงนิด ย่อมเกิดสงครามระหว่างสองสถานที่นี้อย่างแน่นอน และความอ่อนแอนี้จะเกิดขึ้นหลังการปะทุของการฉ้อโกงเสบียงบรรเทาสาธารณภัย เพื่อจัดระเบียบการปกครองใหม่ ฝ่าบาทต้องการให้ราชวงศ์หยูตกอยู่ในความสับสนสักปีสองปี แต่นี่คือความวุ่นวายของการขัดแย้งจากภายใน และเป็นความขัดแย้งของตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ข้ามิทราบว่าฝ่าบาทใช้สิ่งใดมามั่นใจว่านี่คือความขัดแย้งภายใน มิใช่จากภายนอก หากเกิดความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก…ข้าในฐานะคุณชายเศรษฐีที่ดินก็คงจะไร้หนทางมีความสุขกับชีวิตอิสระเสียแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนเล่าออกไปเสียมากมาย ซูเจวี๋ยและต่งชูหลานถึงได้ตระหนักว่าสถานการณ์ของราชวงศ์หยูในตอนนี้ร้ายแรงยิ่งนัก !

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียด หากใต้หล้าเกิดความโกลาหล เปลวไฟสงครามโหมกระพืออีกครา จะมีอีกกี่ชีวิตกันที่จะถูกเปลวไฟนั้นแผดเผา ?

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มขึ้นมา “พวกเจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของข้าเท่านั้น อย่างไรแล้วราชวงศ์หยูก็เป็นประเทศใหญ่ ต่อให้เกิดเรื่องราวมากมาย ก็มิมีทางพังทลายภายในครึ่งปีเป็นแน่”

“หากเกิดขึ้นจริง ๆ พวกเราจะรับมือได้เยี่ยงไร ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“กองทัพสี่ชายแดนมีมากกว่าสามแสนคน นอกจากนี้ยังมีทหารจากจวนโจว ที่ได้รับการฝึกในทุกรูปแบบ แม้ที่เมืองหลวงนี้จะมีกองกำลังอีกกว่าแสนคน ในความเป็นจริงแล้วหากต้องเข้ารบ ข้าคิดว่าภายในราชวงศ์หยูมั่นคงพอ อย่างมากทุกคนในใต้หล้าก็แค่ใช้ชีวิตประจำวันให้เข้มงวดมากขึ้น และหวังว่าราชวงศ์หยูจะมิใช่ผู้แพ้”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้พูดปลอบใจพวกเขา กองทัพที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไร !

ยามที่เขาเข้าราชสำนัก ก็มิได้มีความรู้เกี่ยวกับกำลังรบทางกองทัพของราชวงศ์หยูลึกซึ้งมากสักเท่าใด เพียงแค่ได้ฟังจากปากของไป๋ยู่เหลียนมาเท่านั้น และได้รับรู้มาว่ากำลังรบของกองทัพชายแดนตะวันออกมีปัญหาเล็กน้อย ส่วนกองทัพชายแดนเหนือก็ได้ปะทะกับชาวฮวงมาตลอดทั้งปี คาดว่ากำลังรบคงจะมิมีปัญหาอันใด

ต่งชูหลานครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน กล่าวออกมาเยี่ยงนั้นก็เหมือนว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหมายถึงตนได้ตีตนไปก่อนไข้ แล้วเหตุใดเมื่อครู่เขาต้องกล่าวเสียงแผ่วเยี่ยงนั้นกันด้วยเล่า ?

ชุนซิ่วได้จัดโต๊ะอาหารที่ศาลาเถาหราน คาดมิถึงว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าจะมากับลวี่ซั่ง

“บังเอิญมาได้เวลาอาหารพอดี ข้ายังมิได้ทานข้าวมา นำสุราของเจ้าออกมาด้วย” หยูเวิ่นเต้ามิเคยเกรงใจฟู่เสี่ยวกวนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาทำตัวราวกับเป็นเจ้าของที่นี่ไปแล้วครึ่งตัว

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รำคาญพี่เขยผู้นี้แต่อย่างใด อย่างไรเสียหยูเวิ่นเต้าก็ได้ช่วยเขาไว้ไม่น้อย

หยูเวิ่นเต้าทักทายซูเจวี๋ย แล้วนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะ หันมองซ้ายขวาและเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ซูม่อไปอยู่ที่ใดกัน ข้ามิได้พบกับเขามาสักพักแล้ว ?”

“เหมือนว่าจะมีธุระที่อาราม เขาได้เดินทางไปตั้งแต่ปีที่แล้ว กระหม่อมว่า…ซีชานเทียนฉุนของกระหม่อมคงเหลือไม่มากแล้ว พวกท่านดื่มกันอย่างประหยัดได้หรือไม่ ?”

หยูเวิ่นเต้าจ้องเขาเขม็ง “เจ้าอย่าได้ตระหนี่นักเลย หากซูม่อกลับมาแล้วก็ฝากบอกเขาเสียหน่อย หงจวง…อือ เหมือนว่าหงจวงจะคิดถึงเขานะ”

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ซูเจวี๋ยหันหน้าไปมองหยูเวิ่นเต้าอย่างตื่นตะลึง ซูซูเกือบจะตกลงมาจากชิงช้า

ฟู่เสี่ยวกวนเคยพบแม่นางหงจวงผู้นั้น ปีที่แล้วนางได้ติดตามหยูเวิ่นหวินไปยังซีซาน อาจกล่าวได้มิเต็มปากว่างดงาม แต่ก็มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับซูม่อแล้ว นางก็มิได้ดูดีเท่ากับซูม่อ

แม่นางผู้นั้นค่อนข้างจะเย็นชา พูดจาน้อยคำนัก คาดมิถึงว่าจะเป็นพวกเย็นชาแต่ใจร้อน

“เรื่องนี้…หากซูม่อกลับมาแล้ว กระหม่อมจะคุยกับเขา”

สุราและอาหารถูกจัดตั้งไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างนั่งล้อมโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามหยูเวิ่นเต้าว่าคืนนี้มาทำอันใดที่จวนฟู่

“จะต้องรบแล้ว แต่การรบครานี้น่าเบื่อนัก ข้ามิสามารถออกหน้าได้ จะให้อยู่ในวังหลวงก็อยู่ไม่สุข คิดไปคิดมา ข้าเดินออกมาหาเจ้าเพื่อดื่มสุราที่นี่เสียดีกว่า”

เหตุผลนี้มีอานุภาพยิ่ง ต่งชูหลานที่ยังมิเข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “รบหรือเพคะ ? องค์ชายห้าผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงพระองค์จะรบกับผู้ใดกัน ?”

หยูเวิ่นเต้าหัวเราะขึ้นมา “รบกับพี่ชายของข้า ! ”

ต่งชูหลานผงะ พี่ชายของพระองค์เยี่ยงนั้นรึ ? “องค์ชายใหญ่หรือว่าองค์ชายสี่เพคะ ?”

“พี่สี่…แต่ข้าก็มิมั่นใจเท่าใดว่าพี่ใหญ่จะมาร่วมสนุกด้วยหรือไม่”

ต่งชูหลานจ้องมองหยูเวิ่นเต้าที่บัดนี้มีท่าทีจริงจังมิเหมือนว่ากำลังโกหกอยู่ แต่เรื่องนี้มิสามารถพูดโกหกออกมาได้ เยี่ยงนั้นระหว่างองค์ชาย…หรือว่าจะยังมีข้อขัดแย้งอันใดอยู่ ?

นางมิมีทางเอ่ยถามออกไปอีก ข้อพิพาทเรื่ององค์รัชทายาท กับเรื่องนี้จะเป็นการดีกว่าหากรับทราบข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มสนใจ “จะเปิดศึกเมื่อใดกัน ? ”

“เฮ้อ…” หยูเวิ่นเต้าเงยหน้ามองไปบนฟ้า “เมื่อดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้า”

“ดี กระหม่อมขอให้พระองค์โชคดีมีชัย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนชนจอกสุรากับหยูเวิ่นเต้า และยกดื่ม ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ศึกครานี้…เกรงว่าจะมิต้องสู้”

“เพราะเหตุอันใด ? ”

“กระหม่อมรู้สึกว่าหยี่ฮวาถายในตอนนี้มิมีความคิดที่จะสู้กับพระองค์”

หยูเวิ่นเต้ายกจอกสุราขึ้นมาแต่มิได้ดื่มลงไป เขาขมวดคิ้วนิ่ว เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ริมฝีปากของเขาบางเป็นเส้นตรง เส้นริมฝีปากก็ยาวยิ่ง มองดูแล้วคมราวกับกระบี่

“คนของกระหม่อมคอยจับจ้องการเคลื่อนไหวของหยี่ฮวาถายอยู่ตลอด”

“พวกกระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีโพรงอีก 3 โพรง กระหม่อมคาดว่าที่หยี่ฮวาถาย เกรงว่าพวกเขาจะหนีไปหมดแล้ว”

“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเขาจะไม่ปะทะกับข้า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “กระหม่อมเพียงแค่คาดเดา” บัดนี้เขาได้จ้องมองสายตาที่สับสนของหยูเวิ่นเต้า จึงกล่าวเสริมให้อีกหนึ่งประโยค “เขาต้องการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท มิมีความจำเป็นที่จะต้องเสียแรงมาต่อกรกับพระองค์ อุดมการณ์ของพระองค์คือเป็นผู้นำทางการต่อสู้ เขากลับปรารถนาอย่างยิ่ง แล้วจะสู้กับพระองค์เพื่อให้สูญเสียทั้งสองฝ่ายเพื่อเหตุอันใด ? ”

หยูเวิ่นเต้าตื่นตระหนก ให้ตายเถอะ นี่มิใช่ว่าเสียโอกาสไปเปล่าเยี่ยงนั้นรึ !

เขาดื่มสุราจนเกลี้ยงจอก เช็ดปาก และใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาทาน

เขาเชื่อในการคาดเดาของฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว 5 ส่วน แต่เขามิได้ให้คนแยกย้าย รอจนดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้าแล้วคอยดูสถานการณ์อีกครา

“วันนี้ข้าได้ยินข่าวมา คาดมิถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีได้ทูลเสด็จพ่อให้พี่ใหญ่หยูเวิ่นเทียนขึ้นนำกองทัพชายแดนตะวันออก…เจ้าลองกล่าวมาสิว่าเยี่ยนเป่ยซีมีจุดประสงค์อันใดกัน ?”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจกับข่าวนี้อย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเยี่ยนเป่ยซีจะได้เลือกหนทางนี้แล้ว เลือกถอนตัวจากตำแหน่งนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออก

เขาเลือกหนทางตัดแขนตนเอง อีกทั้งยังเด็ดเดี่ยว เพียงแต่เหตุใดเขาจึงเสนอหยูเวิ่นเทียนกัน ?

องค์ชายใหญ่เป็นผู้ร่วมลงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท หากปล่อยให้เขาได้กุมอำนาจทางทหาร…คิดไปแล้วฮ่องเต้ก็คงมิมีทางตกปากรับคำเป็นแน่

“เขาแค่เพียงแสดงท่าทีต่อฝ่าบาทเพียงเท่านั้น คิดไปแล้วองค์ชายใหญ่มิมีทางออกห่างจากเมืองหลวงเป็นแน่ ท้ายที่สุดแล้วศูนย์รวมอำนาจก็อยู่ที่เมืองหลวง หากเขาจากไป แล้วจะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไร ?”

“เจ้าคิดผิด เขายินยอมที่จะไปจริง ๆ ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เพราะเหตุใดกัน ?”

“เพื่ออุดมการณ์ เจ้าเชื่อหรือไม่ ? ” หยูเวิ่นเต้ากล่าวขึ้นมาและมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างจริงจัง ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแย้มและส่ายหน้า

อุดมการณ์อันใด อุดมการณ์ของเขาคือขึ้นเป็นฮ่องเต้มิใช่หรอกรึ !

“ฝ่าบาทมีพระประสงค์อันใดรึ ? ”

“เสด็จแม่เล่าว่าฝ่าบาทยังมิแสดงท่าทีอันใด”

ต่อจากนั้นหยูเวิ่นเต้าก็พ่นลมหายใจและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ใหญ่ของข้าเป็นบุคคลที่โดดเด่น ถึงแม้จะมิเหมือนข้าที่ถูกส่งไปป่ากระบี่ตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เสด็จพ่อก็ได้เชิญอาจารย์มาสอนวิทยายุทธ์ให้กับเขาตั้งแต่วัยเยาว์เช่นกัน จนถึงวันนี้ก็ยังมิทราบว่าอาจารย์ของเขาคือผู้ใด และจนถึงวันนี้ก็ยังมิมีผู้ใดทราบว่าทักษะที่แท้จริงของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด นอกจากนี้เขาก็ชื่นชอบยุทธวิธีการรบ ทั้งยังท่อง ‘กลยุทธ์สงคราม’ ที่เผิงถูเป็นผู้ประพันธ์ได้จนขึ้นใจ แน่นอนว่าเขาต้องใด้อ่านตำราสงครามมาอีกจำนวนมาก หากกล่าวถึงวิทยายุทธ์ ข้ามิอาจเทียบเขา พี่สี่ก็มิอาจจะเทียบเขาได้ และในวันนี้ที่กองทัพชายแดนตะวันออกเหม็นเน่า เสด็จแม่เกรงว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยที่จะให้พี่ใหญ่นำกองทัพชายแดนตะวันออก”

“มิกลัวว่าจะเป็นการเลี้ยงเสือเยี่ยงนั้นรึ ? ”

หยูเวิ่นเต้าหัวเราะ “จะมีอันใดน่ากังวลกัน ? เนื้อเน่าก็อยู่ในหม้อนั่น”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ กล่าวได้ว่า น่ากลัวว่าสิ่งที่พระสนมซั่งคาดไว้จะถูก และก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฝ่าบาทจะตอบรับ

ราชวงศ์หยูกำลังวุ่นวาย ฝ่าบาทได้ตระเตรียมพระทัยเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่จะวุ่นวายถึงเพียงใด ฝ่าบาทก็มิได้คาดไว้ แทนที่จะอยู่ในเมืองหลวง สู้ส่งองค์ชายใหญ่ออกไปควบคุมอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะดีกว่า

ต่อให้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวายเกินกว่าจะจัดการได้ สุดท้ายก็ยังมีองค์ชายใหญ่ที่จะสามารถนำทหารมากวาดล้างสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงได้

นี่ต่างหากที่เรียกว่าความเด็ดเดี่ยวที่จะหักแขนของตนเอง !

หยูเวิ่นเทียนควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกไว้ พระปิตุลาของเขาเซวี๋ยติ้งชานก็ควบคุมกองทัพชายแดนตะวันตก ทางตะวันตกก็ยังมีกษัตริย์แห่งเจิ้นซีเพ่งเล็งอยู่ เซวี๋ยติ้งชานมิมีทางต่อต้านราชวงศ์หยูได้

ตราบใดที่พรมแดนทั้งสองอยู่ในกำมือ ถึงแม้ว่ากุยช่ายทั้งหมดในชายแดนนี้จะถูกกำจัดออกไป แต่ดินแดนแห่งนี้ ก็จะยังอยู่ในกำมือของราชวงศ์หยู

แต่ฝ่าบาทกลับละเลยปัญหาอย่างหนึ่งไป มิมีผู้ใดอยากเป็นกุยช่าย หากมีดนั้นมิคมพอ เกรงว่าจะทำให้มือที่จับมีดนั้นบาดเจ็บได้