บทที่ 195 ประมูลยา (2)
ยารักษาอาการบาดเจ็บถือเป็นของที่ล้ำค่า เมื่อประกอบกับยาหิมะแย้มเม็ดนี้อยู่ในระดับ 6 สำหรับจักรพรรดิ์ยุทธ์แล้ว อาจไม่ใช่ของที่ล้ำค่านัก และสำหรับราชายุทธ์ เท่ากับได้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต
ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง หนานหรงชินหวางขมวดคิ้ว ด้วยฐานะของเขาแล้ว ปกติจะรู้ล่วงหน้าว่าการประมูลในครั้งนี้มีของอะไรบ้าง แต่ในนั้นไม่มียาหิมะแย้ม
“ราชายุทธ์ในประเทศเทียนหวู ไม่มีทางที่จะมียาหิมะแรกแย้ม และปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 6 ก็มีแต่ในราชสำนักของพวกเราเท่านั้น”
แววตาของหนานหรงชินหวางสั่นคลอน “คงไม่ใช่เม็ดที่ข้ามอบให้เม็ดนั้นหรอกนะ ?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของหนานหรงชินหวางก็ดูไม่พอใจนัก ของที่เขามอบให้กลับถูกผู้อื่นนำออกมาประมูล การกระทำเช่นนี้เท่ากับไม่ไว้หน้ากันชัด ๆ
แต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ของสิ่งนี้เมื่อตนเองมอบให้แล้ว อีกฝ่ายจะจัดการเช่นไรก็เป็นเรื่องของเขา
“เด็กหนุ่มถือว่าใจกล้าไม่น้อย” ในห้องส่วนตัว หนานหรงชินหวางส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกไม่พอใจหลัวซิวเล็กน้อย
ในการประมูล ณ ขณะนี้ ราคาประมูลของยาหิมะแย้มสูงถึง 70,000 ก้อนหินพลังจิตแล้ว
“ข้าให้ 80,000 !”
จู่ ๆ หนานหรงชินหวางที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวก็พูดขึ้น
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น บรรยากาศในการประมูลก็เงียบสงัดลงทันที ในแง่ของผลการฝึกตน อาจมีคนที่อยู่เหนือกว่าหนานหรงชินหวาง แต่ในแง่ของฐานะ ใครจะกล้าแข่งขันกับราชวงศ์ ?
หลัวซิวเองก็ได้ยินเสียงนี้ เขารู้ว่าหนานหรงชินหวางเป็นผู้เสนอราคาประมูล จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมาอย่างหดหู่
ยาหิมะแย้มเม็ดนี้ นานหรงชินหวางเป็นผู้มอบให้ และตอนนี้ หนานหรงชินหวางก็จ่ายเงินซื้อกลับไปอีกครั้ง ?
แต่หลัวซิวก็เข้าใจในเจตนาของการกระทำในครั้งนี้ของหนานหรงชินหวาง คงเพื่อบอกกับตัวเองว่า อีกฝ่ายพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว
ในเมื่อไม่มีใครสู้ราคา ยาหิมะแย้มเม็ดนี้จึงกลับไปอยู่ในมือของหนานหรงชินหวางอีกครั้ง
งานประมูลในครั้งนี้มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แต่คนที่ซื้อของจริง ๆ นั้นมีอยู่ไม่มาก เพราะของที่นำออกมาประมูลก็มีอยู่เพียงเท่านี้
อันที่จริงแล้ว คนส่วนมากมาเพื่อดูว่าคู่ต่อสู้ในการประลองของตนเองนั้น ซื้อสมบัติอะไรเอาไว้ในมือบ้าง
หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบที่สอง ตอนนี้ก็เหลือเพียงผู้ที่มีรายชื่ออยู่ใน 20 อันดับแรกเท่านั้น แต่ละคนล้วนอยู่ห่างจากการคัดเลือกรายชื่อรอบสุดท้ายของผู้มีสิทธิ์เข้าไปในแดนปริศนาอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
……
เช้าวันรุ่งขึ้น หลัวซิวมาถึงจัตุรัสกลางเมืองของเขตการปกครองชิงฮัว
ตรงจัตุรัสกลางเมืองมีเวทีประลองสูงประมาณ 5 เมตรตั้งอยู่ มีความยาวและความกว้างราว ๆ 200 เมตร และดูสง่างามเป็นอย่างมาก
บริเวณโดยรอบของเวทีประลอง มีฝูงชนมายืนรวมตัวกันอยู่มากมายแล้ว เรียกได้ว่าเป็นคลื่นฝูงชน ห่างออกไปไม่ไกล มีการสร้างอัฒจันทร์และจัดวางเก้าอี้เอาไว้ เพื่อให้ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจต่าง ๆ ได้นั่งชมการประลอง
การประลองยุทธ์เพื่อแย่งชิงสิทธิ์รอบสุดท้าย เรียกได้ว่าเป็นสึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างอัจฉริยะระดับชั้นนำทั้ง 20 คน ที่มาจาก 13 เขตการปกครอง
รายชื่อผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนามีเพียงแค่สิบคนเท่านั้น จากการต่อสู้กันของคนกว่าหนึ่งแสนคนจนกระทั่งถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่น !
นี่เรียกได้ว่าเป็นความโหดร้ายในการต่อสู้แข่งขันบนวิถีของนักยุทธ์ ความรุ่โรจน์และความสำเร็จของนักยุทธ์ทุกคน เบื้องหลังล้วนเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ล้มเหลวของคนรุ่นเดียวกันนับไม่ถ้วน
กฎในการประลองยุทธ์นั้นง่ายมาก ผู้แข่งขันทั้ง 20 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 10 อันดับแรกจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ส่วนอันดับที่ 11 ถึง 20 จะต้องประลองกับ 10 อันดับแรก หากเอาชนะได้ก็จะสามารถขึ้นไปยืนแทนที่ได้
แต่ละคนจะประลองได้เพียงหนึ่งครั้ง และสามารถถูกท้าประลองได้เพียงหนึ่งครั้ง
“อันดับแรก ขอให้ผู้กล้าหนุ่มสาวที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรก ขึ้นมาบนเวทีประลองก่อน” หนานหรงชินหวางพูดขึ้นเสียงดัง
เมื่อพูดจบ ก็มีคนค่อย ๆ ทยอยกระโดดขึ้นไปบนเวทีการประลองทีละคน ๆ ดึงดูดเสียงตะโกนโห่ร้องจากฝูงชนที่ยืนดูอยู่โดยรอบเป็นระยะ ๆ
ในบรรดาคนเหล่านี้ ดูเหมือนหลัวซิวจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเขาไม่เพียงแต่มีคะแนนสะสมอยู่ในอันดับ 1 เท่านั้น แต่เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปในชั้นที่ 7 ของหอคอยมังกรบินได้
นอกจากพวกของหลัวซิวทั้งสิบอันดับแล้ว คนที่เหลืออีกสิบคนจะต้องจับฉลาก คนที่จับได้หมายเลข 1 สามารถเลือกคู่ต่อสู้ของตนเองได้ก่อนเป็นคนแรก และทำเช่นนี้ต่อกันไปเรื่อย ๆ
คนที่จับฉลากได้หมายเลข 10 เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายธรรมดา มีชื่อว่า ลวี่หลัน มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3
ส่วนคู่ต่อสู้ที่นางเลือกก็คือสวีเสว่ซึ่งอยู่ในอันดับ 10 แต่เป็นผู้หญิงที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 เช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้หญิง อีกทั้งผลการฝึกตนก็บรรลุถึงระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 เรียกได้ว่าเป็นหญิงแกร่ง และมีความสามารถที่แตกต่างกันไม่มาก
ทันทีที่ผู้หญิงทั้งสองขึ้นไป ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เจ้ารุกข้ารับ ดาบและกระบี่สองประกายแวววาว
บริเวณโดยรอบของเวทีประลองทั้งสี่ด้าน มีการตั้งค่ายคุ้มกันระดับ 5 เอาไว้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าการประลองจะส่งผลกระทบต่อฝูงชนที่ยืนดูอยู่โดยรอบ
หญิงสาวทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนกำลังจะดำเนินไปถึงช่วงที่เข้มข้นที่สุด ต่างคนต่างค่อย ๆ งัดท่าไม้ตายของตนเองออกมาแสดง
หญิงสาวที่ชื่อว่าลวี่หลันกินยาเข้าไปหนึ่งเม็ด ซึ่งเป็นยาที่สามารถกระตุ้นศักยภาพของนางในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ผลการฝึกตนของนางสามารถยกระดับขึ้นสู่ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 4 ภายในระยะเวลาเพียง 15 นาที
ส่วนคู่ต่อสู้ของนาง สวีเสว่ ก็เลือกใช้ยันต์คุ้มกัน ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือปรมาจารย์ฝึกจิตช่วงกลางได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย
ในที่สุด ลวี่หลันไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันม่านแสงระดับ 4 ได้ภายในระยะเวลา 15นาที จึงพ่ายแพ้การประลอง
ร่างกายของสวีเสว่เองก็สูญเสียพลังไปมาก เหงื่อไหลเปียกชุ่มออกมา ใบหน้าอันงดงามของนางซีดเผือด การใช้ยันต์หยกชั้นกลางระดับ 4 ทำให้นางสูญเสียพลังไปไม่น้อย
อีกทั้งยันต์เป็นสมบัติที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ยันต์ผืนนั้นต้องแลกด้วยหินพลังจิตมูลค่าสูงกว่าหมื่นก้อน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ได้มีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในรายชื่อของผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนา เมื่อเทียบกับยันต์ที่ต้องใช้หินพลังจิตนับหมื่นก้อนแลกมา ก็ยังถือว่าเทียบกันไม่ได้เลย
เพื่อต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ เรียกได้ว่าต้องทุ่มเทในทุก ๆ ด้านจนเลือดตาแทบกระเด็น
จากนั้น การประลองของคู่ที่สองก็เริ่มขึ้น ผู้ท้าประลองเป็นชายหนุ่มที่ชื่อว่าไป๋หงเซวียน คู่ต่อสู้ที่เขาท้าประลองก็คือปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 ที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่ 8
การประลองยกนี้ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ไป๋หงเซวียนโจมตีคู่ต่อสู้จนพ่ายแพ้ และขึ้นไปแทนที่ การประลองสำเร็จ
ผู้ชมต่างพากันอุทานขึ้นว่า การเอาชนะการประลองในครั้งนี้ สำหรับไป๋หงเซวียนแล้ว นับว่าเป็นเพราะโชคอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนชายหนุ่มที่พ่ายแพ้กลับนิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงกระอักเลือดและล้มหมดสติลงกับพื้น
“ซีโรว่”
หลัวซิวเดินเข้าไปหาเหยียนซีโรว่ จากนั้นจึงดึงกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แล้วยื่นให้กับนาง
“หลัวซิว นี่เจ้า……” เหยียนซีโรว่แสดงสีหน้างุนงง
“ในกระบี่เล่มนี้ มีห้วงกระบี่ของข้าซ่อนอยู่ เจ้าสามารถสำแดงออกมาในการประลอง เพื่อชิงสิทธิ์ในการเข้าแดนปริศนาได้” หลัวซิวพูดขึ้นเช่นนี้
รายชื่อของเหยียนซีโรว่ไม่ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรก ไม่ว่าจะเพราะทั้งสองคนเคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายร่วมกันมาในการประลองเพื่อความอยู่รอด หรือเป็นเพราะความผูกพันทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งของพวกเขาจากการผ่านวัฏจัจักรชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน หลัวซิวล้วนจำเป็นต้องช่วยเหลือนาง
“เจ้ามอบกระบี่ให้ข้าแล้ว หากมีคนท้าประลองกับเจ้า แล้วเจ้าจะทำเช่นไร ?” เหยียนซีโรว่ส่ายหัว และได้ยื่นมือออกไปรับกระบี่
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้จะไม่มีกระบี่ ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้” ใบหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
หลัวซิวกล้าพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเขามีความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาฝึก《วิชาพลังมังกรแท้》สำเร็จ ความสามารถของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากเข้าไปในหอคอยมังกรบินอีกครั้ง การเข้าไปในชั้นที่ 7 คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ใบหน้าอันงดงามของเหยียนซีโรว่แดงก่ำขึ้นเล็กน้อย หลัวซิวปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง แล้วจะให้หัวใจของนางไม่รู้สึกพิเศษต่อหลัวซิวได้อย่างไร ?
“ขอบคุณนะ”
นางเอ่ยขอบคุณ ไม่คิดจะปฏิเสธอีกต่อไป และยื่นมือไปรับกระบี่มา
“เช้ง !”
ดึงกระบี่ออกมาเล็กน้อย แสงของคมดาบสะท้อนออกมา ทำให้ดวงตาอันงดงามของเหยียนซีโรว่ปรากฏความประหลาดใจขึ้น
“เป็นกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางระดับล่างจริงหรือ ?”
ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางขยับเล็กน้อย ยากที่จะปกปิดอาการตกใจเอาไว้ อาวุธระดับนี้แม้แต่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเอง ก็ยากที่จะมีไว้ในครอบครอง อาวุธที่ล้ำค่าเช่นนี้ หลัวซิวกลับยกให้นางใช้ง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ ?
ในใจของเหยียนซีโรว่ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื้นตัน ไม่ใช่เพียงเพราะหลัวซิวทำดีกับตนเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะความไว้วางใจที่เขามอบให้ด้วย