บทที่ 196 เครื่องรางระดับ 5

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 196 เครื่องรางระดับ 5

 

“ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนั่น!”

ฉากที่หลัวซิวให้เหยียนซีโรว่ยืมดาบของเขา ถูกช่าวชูเจิ้งฉีมองเห็นอย่างชัดเจน

ต่อหน้าผู้อื่น เหยียนซีโร่วเป็นคู่หมั้นของเขา สัญญาการสมรสนี้ได้สร้างพันธมิตรระหว่างสำนักชิงเทียนเจี้ยนและสำนักไป๋ซิงกู่

แต่เหยียนซีโร่ว นางผู้นี้ ไม่มีสีหน้าที่ดีต่อเขาแม้แต่น้อย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาใช้วิธีที่น่ารังเกียจบางอย่างในการแข่งขันเอาชีวิตรอดรอบแรกโดยตั้งใจจะแย่งมา

อาศัยอยู่ในสำนักชิงเทียนเจี้ยนตั้งแต่เด็ก เขาถูกห้อมล้อมด้วยรัศมีของอัจฉริยะเสมอมา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขามาด่อน และไม่เคยมีสิ่งที่เขาต้องการแล้วไม่ได้

เขาควบคุมทุกอย่างอยู่ในกำมือ แต่ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อหลัวซิวได้ปรากฏตัวและได้ทำลายทุกอย่างทั้งหมด

ช่าวชูเจิ้งฉีกลั้นความโกรธของเขาไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมานั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชม ราชายุทธ์ผู้แกร่งแกร่งแห่งสำนักชิงเทียนเจี้ยน สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีมากนัก

จอมยุทธ์หญิงนางหนึ่งในสำนักไป๋ซิงกู่ นั่นก็คืออาจารย์ของเหยียนซีโร่ว สีหน้าผ่อนคลาย มุมปากยิ้มบางๆ

หลังจากผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินแล้ว หลัวซิวก็ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็ได้รับคัดเลือกจากราชวงศ์ หากอำนาจที่อยู่เบื้องนี้สามารถดึงสำนักไป๋ซิงกู่มาเป็นฝ่ายเดียวกันได้ ผลประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก

อันที่จริงแล้วสำหรับสำนักไป๋ซิงกู่ เหยียนซีโร่วสามารถชนะผลประโยชน์สูงสุดให้กับสำนักได้ นี่เป็นภาพที่นางอยากจะมองเห็นมากที่สุด

“ได้ยินมาว่าดาบเร็วของหลัวซิวนั้นดีมาก เขาให้ดาบของเขากับคนอื่น ถ้ามีใครมาท้าเขา เขาจะเผชิญกับมันอย่างไร”

บางคนในฝูงชนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าการกระทำของหลัวซิว ไม่เหมาะสมเล็กน้อย

“ฮ่าฮ่า ซูซีคิดว่าเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องใช้ดาบ”

บนเวทีการแข่งขัน การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป

ในบรรดาคนที่อยู่ในอันดับท้ายๆ ของสิบ ตาหนึ่งหรือสองตากะพริบ และหลังจากเห็นหลัวซิ่วมอบดาบให้เหยียนซีโร่ว พวกเขามีความคิดที่ต่างออกไป

ทุกคนต่างก็รู้ดีกว่า หลัวซิวเป็นจอมยุทธ์ดาบ สำหรับจอมยุทธ์ดาบแล้ว หากในมือไร้ดาบ ความแข็งแกร่งก็จะลดลงอย่างมากโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่ได้โง่เขลาเช่นนี้ ดาบหนึ่งได้ส่งออกไปแล้ว หรือว่ายังไม่อนุญาตให้เขามีดาบเล่มที่สองเหรอ?

แต่ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่ถูกการแข่งขันเพื่อชิงโควตาของแดนปริศนาปิดบังสายตา อารมณ์กระวนกระวายและกระสับกระส่าย เป็นการง่ายที่จะละเลยเรื่องสามัญสำนึกบางอย่างไป

ในขณะนั้น ชายหนุ่มชุดขาวก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีแข่งขันและพูดเสียงดังว่า “ข้าต้องการท้าทายหลัวซิว ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่ง!”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็โกลาหลทันที เพราะทุกคนรู้ดีว่าในสิบอันดับแรก ความแข็งแกร่งของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

การที่สามารถผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน หมายความว่าเขามีความแข็งแกร่งแดนฝึกจิตขั้น 7

“ชายหนุ่มคนนี้ นึกว่าหลัวซิวไม่มีดาบอยู่ในมือก็เป็นเสือที่ไร้กรงเล็บจริงๆเหรอ?”

“สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ขู่ผู้คนด้วยกรงเล็บ”

มีการถกเถียงกันมากมายบนเวทีการแข่งขัน และทุกคนต่างก็จ้องมองไปบนเวที อยากจะดูว่าฮีโร่หนุ่มคนไหนที่สมองร้อนจนลุกเป็นไฟ ที่กล้ายั่วยุหลัวซิว

ตามหลักแล้วหลังอันดับสิบ ผู้ที่จับฉลากได้เลขสิบ มีโอกาสมากที่สุดที่จะไปเผชิญหน้ากับหลังซิว แต่ในขณะนี้มันเร็วกว่ากำหนด

ในไม่ช้าก็มีคนรู้จักชายหนุ่มในชุดขาวบนเวทีการแข่งขัน ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแก๊งนักค่ายกล ชื่อ เฉิงเซวียน“หลัวซิว เจ้าฆ่าเพื่อนของข้า ยี่ซวน ในการแข่งขันความเป็นความตาย วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ผู้ที่ผ่านด่านหอคอยมังกรบินชั้น 7 ว่าได้รับชื่อเสียงจอมปลอมหรือไม่”

เฉิงเซวียนที่อยูบนเวทีการแข่งขันนั้นสายตาเย็นชา เขาเป็นคนที่ไม่ออกตัวในหมู่อัจฉริยะหลายคน แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

หลัวซิวเหลือบมองช่าวชูเจิ้งฉีด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะมีเพียงช่าวชูเจิ้งฉีและเหยียนซีโร่วเท่านั้นที่รู้ว่าเขาฆ่ายี่ซวน

เป็นไปไม่ได้ที่เหยียนซีโร่วจะพูดเรื่องนี้ออกไป เพราะฆ่าอัจฉริยะของแก๊งนักค่ายกลนั้น เทียบเท่ากับการรุกรานแก๊งนักค่ายกล

หากไม่ใช่เหยียนซีโร่ว งั้นก็ต้องเป็นช่าวชูเจิ้งฉีอย่างไม่ต้องสงสัย

ช่าวชูเจิ้งฉีเองก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในดวงตาของหลัวซิว แต่เขากลับยิ้มอย่างเย็นชาอย่างไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก

ถูกท้าทายโดยตรง ตามกฎของการแข่งขัน หลัวซิวไม่สามารถปฏิเสธได้

นอกจากนี้ เขาไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเลย

“ตามที่เจ้าปรารถนา”

หลัวซิวก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขัน เผชิญหน้ากับเฉิงเซวียน

บนที่นั่งผู้ชมของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หลายคนมองดูหลัวซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อน และคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้อัจฉริยะอย่างเขาเติบโตขึ้นไปอีก

เพราะสิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจในสิบสามเขตการปกครองของประเทศเทียนหวู

แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ อัจฉริยะอย่างนี้ ตอนนี้แค่เพิ่งจะแสดงความแข็งแกร่งออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ได้เติบโตโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงพอที่จะเป็นกังวล

ไม่ว่าอัจฉริยะจะแข็งแกร่งขนาดไหน ทันทีที่ถูกฆ่าตายโดยที่ยังไม่เติบโต เขาก็แย่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

สำนักชิงเทียนเจี้ยน สำนักเหลยหวู่ แก๊งนักค่ายกล แก๊งหลอมอาวุธและราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มาชมการแข่งขัน เหมือนจะบรรลุข้อตกลงพิเศษบางอย่างจากมุมตาของพวกเขา

บนเวทีการแข่งขัน เฉิงเซวียนจ้องหลัวซิวนิ่ว “ข้ายอมรับว่าสามารถผ่านด่านหอคอยมัวกรบินชั้น 7 ได้ เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ข้าอาจจะไม่แพ้ให้เจ้าก็ได้”

ขณะพูด เฉิงเซวียนยกมือขึ้นและโบกมือ และแหวนเก็บของบนนิ้วของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้า ธงค่ายเก้าสายบินออกมาและลอยไปทุกทิศทางราวกับลำแสง

นักค่ายกลที่แท้จริงไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด แต่อาศัยค่ายกลรูปแบบการระดมพลังฟ้าดิน เป็นวิธีที่น่าสะพรึงกลัวในการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง

การวางค่ายกลของเฉิงเซวียนดูแล้วเหมือนเขาทำมาบ่อยครั้ง หลัวซิวไม่ทันหยุดเขา

ม่านแสงสว่างขึ้น จากนั้นแสงเลือดเก้าแสงรวมตัวเป็นแส้ยาวปรากฏขึ้นในค่ายกล

นี่คือรูปแบบค่ายกลการสังหารระดับ 4!

ทันใดนั้น แส้สีเลือดเก้าเส้นก็กระตุก เหมือนกับงูเหลือมเลือดเก้าตัว และค่ายกลยันต์ลายเส้นต่างๆ สั่นไหว กระจายความแปรปรวนอันทรงพลังของพลังฟ้าดิน

หลัวซิวรู้ดีว่าการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับนักค่ายกล ต้องต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสชนะ

“กระบี่เพลิงเพลิง!”

เห็นแค่มือของหลัวซิวยื่นมือออกไปจับ เพลิงมรณะควบแน่นขึ้นในฝ่ามือ กลายเป็นดาบที่มีเปลวไฟสีดำลุกโชน

พลังจิตแท้ควบแน่นและแปรสภาพเป็นดาบ!

“ช่างเป็นการฝึกฝนพลังจิตแท้บริสุทธิ์จริงๆ!” ฝูงชนอุทานออกมา เพราะผู้ที่ใช้วิธีนี้ได้ ส่วนใหญ่คือปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตช่วงปลาย พลังจิตแท้จึงบริสุทธิ์พอที่จะกลั่นตัวเป็นอาวุธ

วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่าการควบแน่นจิตให้เป็นอาวุธ

“บูม! บูม! บูม!…”