บทที่ 455 ทดสอบหน้ากล้อง / บทที่ 456 ลงม้าข่มขวัญ

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 455 ทดสอบหน้ากล้อง / บทที่ 456 ลงม้าข่มขวัญ Ink Stone_Romance

บทที่ 455 ทดสอบหน้ากล้อง

หลังจากส่งหานเซี่ยนอวี่กลับไป เยี่ยหวันหวั่นย้อนนึกถึงข้อความเสียงที่กงซวี่ส่งมาเหล่านั้นอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

ปากของหมอนี่ร้ายกาจเกินไป ไปปูเสื่อทำนายชะตาชีวิตเลยเถอะ แค่พูดเรื่อยเปื่อยยังพูดถูกตั้งหลายเรื่องขนาดนี้ จนเป็นคู่แข่งเธอได้แล้ว!

อีกสองวันหลังจากนั้น เยี่ยหวันหวั่นด้านหนึ่งก็คอยระแวดระวังความเคลื่อนไหวของโจวเหวินปิน ด้านหนึ่งก็ศึกษาบทกับลั่วเฉินอย่างใกล้ชิดจนทะลุปรุโปร่ง

เหมือนว่าทางโจวเหวินปินจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอยู่กันแน่

ส่วนกงซวี่เจ้าหมอนั่นก็ติดลมบน แค่ตามหาคนก็หาเสียรู้กันทั้งประเทศ ไม่เพียงใช้เส้นสายของแฟนคลับ ยังใช้เส้นสายของทุกคนรอบข้างด้วย ตอนนี้รู้กันทั้งวงการแล้ว

โชคดีที่ปกติแล้วเธอไม่ได้เข้าออกคอนโดในคราบผู้หญิง มีบ้างครั้งสองครั้งที่แต่งหญิงเข้าออก แต่ก็สวมแมสก์ปิดปากอยู่เสมอ ต่อให้วันนั้นมีคนในร้านเห็นเธอเข้า ก็เป็นไปได้น้อยมากที่จะตามหาเธอเจอ

ความร้อนแรงของเรื่องแบบนี้อยู่ได้อย่างมากก็แค่สัปดาห์เดียว ถ้าหาคนไม่เจอเดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง เยี่ยหวันหวั่นจึงไม่เก็บมาใส่ใจ ทุ่มความสนใจอยู่ที่การเตรียมตัวทดสอบหน้ากล้อง

เพียงพริบตาก็ถึงวันทดสอบหน้ากล้องแล้ว

การเริ่มโปรเจกต์ ‘มังกรผงาด 2’ เป็นเรื่องที่ฮือฮากันทั่ว นักแสดงจำนวนไม่น้อยจึงทุ่มสุดตัวเพื่อขอส่วนแบ่งบ้าง

ในวันทดสอบหน้ากล้อง นักแสดงหลายคนมาถึงสถานที่ทดสอบหน้ากล้องแต่เช้า แต่เพราะตัวซ่งจินหลินยังมาไม่ถึง นักแสดงหลายคนนี้จึงจับกลุ่มพูดคุยกัน

“ได้ยินว่ากำหนดให้หลิงเส่าเจ๋อรับบทพระเอกแล้วเหรอ”

“ก็ต้องกำหนดแล้วสิ เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดงจาก ‘มังกรผงาด’ ภาคแรก ยังเป็นนักแสดงดาวรุ่งของหวงเทียนเอ็นเตอร์เทนเมนต์ด้วย ชื่อเสียงโด่งดังมากเลย ตอนนี้หาคิวมารับบทได้ ทีมผู้กำกับก็ต้องน้อมรับด้วยความยินดีอย่างที่สุดอยู่แล้ว” ดาราเบอร์เล็กคนหนึ่งกล่าวอย่างมั่นใจ

“การถ่ายทำ ‘มังกรผงาด 2 ’ ครั้งนี้ ว่ากันว่าจะเลือกจากนักแสดงชุดเดิมก่อนเป็นหลักนี่”

ขณะที่คนเหล่านี้กำลังพูดคุยกัน เยี่ยหวันหวั่นพาลั่วเฉินเดินเข้ามา

หลายคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่เมื่อครู่ เหลือบเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามา สายตาเปลี่ยนเป็นประหลาดทันที

“นักแสดงชุดเดิมเหรอ? เฮ้อ…นี่ก็นักแสดงชุดเดิมมาอีกคนแล้วไม่ใช่เหรอ” ดาราเบอร์เล็กๆ คนหนึ่งมองลั่วเฉินที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหวันหวั่นอย่างพินิจพิจารณา นัยน์ตาแฝงความเย้ยหยันอยู่หน่อยๆ

“ตอนนั้นที่มังกรผงาดฉาย ลั่วเฉินคนนี้ก็ดังอยู่พักหนึ่งนี่นา แต่ว่าตอนนี้…”

คนคนนั้นพูดเพียงครึ่งเดียว กลับหยุดไปไม่พูดให้จบ ทว่าคำที่พูดไม่จบนั้น คนทั้งหลายตรงนั้นล้วนรู้อยู่แก่ใจดี

การแสดงของลั่วเฉินในมังกรผงาดทำได้ไม่เลวเลย เวลานั้นก็ดังอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่เรื่องที่เคยเกิดขึ้น หลังจากช่วงนั้น ข่าวคราวของลั่วเฉินก็เงียบหาย ส่วนคนเดบิวต์พร้อมเขาอย่างหลิงเส่าเจ๋อซึ่งแสดงมังกรผงาดด้วยกันกลับโด่งดังเป็นพลุแตก จนทุกวันนี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่นักแสดงทั่วไปจะเทียบเคียงได้อีกแล้ว

เป็นสองคนที่มาจากละครเรื่องเดียวกัน หลังจากผ่านไปหลายปีกลับมีชะตาต่างกันราวฟ้ากับเหว

“ว่ากันว่ามังกรผงาด 2 จะเลือกนักแสดงชุดเดิมก่อนเป็นอันดับแรก  แต่ก็ไม่แน่หรอก…ลั่วเฉินเงียบหายไปนานหลายปี คิดจะกลับมาแย่งบทนี้ มันง่ายอย่างนั้นที่ไหน ฉันได้ยินว่า…บทพระรองนี้น่ะ ภายในกำหนดให้เป็นซวี่หมิงนานแล้ว”

“ซวี่หมิง? เขาเป็นลูกชายบุญธรรมของนักลงทุนคนหนึ่งในมังกรผงาด 2 ไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันว่า…ครั้งนี้ลั่วเฉินแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือไม่มีหวังแล้วล่ะ”

“ยังหวังอะไรได้ล่ะ เขายังคิดว่าเป็นเมื่อหลายปีก่อนหรือไง ก็แค่ดังขึ้นมาแป๊บๆ เพราะโพสต์เวยป๋อโพสต์เดียวเท่านั้น แค่คุณสมบัติผ่านจนได้ทดสอบหน้ากล้องก็ดีเท่าไหร่แล้ว!”

ดาราเล็กๆ หลายคนเกาะกลุ่มพูดจาเหยียดหยัน ไม่มีความคิดที่ว่าลั่วเฉินจะชิงบทพระรองไปได้เลย

แม้ว่าเสียงพูดคุยของพวกเขาจะไม่ดังนัก แต่ก็ยังลอยถึงหูลั่วเฉินและเยี่ยหวันหวั่นไม่มากก็น้อย

ตอนที่ได้ยินชื่อซวี่หมิง ใบหน้าของลั่วเฉินแข็งทื่อไปเล็กน้อย

“พี่เยี่ย…” ลั่วเฉินเหลือบมองทางเยี่ยหวันหวั่นเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ความมั่นใจในดวงตาของเขาหายไปไม่น้อย

เยี่ยหวันหวั่นมองลั่วเฉินในสภาพนี้ เลิกคิ้วสูงเอ่ยถาม “ทำไม? กลัวงั้นเหรอ”

ลั่วเฉินรีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ครับ ผม…”

“ไม่ต้องคิดอะไร นายแค่ต้องจำไว้ ตั้งแต่วินาทีที่การทดสอบหน้ากล้องเริ่ม นายก็คือหลินลั่วเฉิน” เยี่ยหวันหวั่นจ้องมองแววตาสับสนของลั่วเฉิน นัยน์ตาเผยความฮึกเหิมออกมาอย่างชัดเจน

ลั่วเฉินสบตากับเยี่ยหวันหวั่น ใจสั่นวูบหนึ่ง

เขาหลุบตาลง นึกถึงทุกอย่างที่เยี่ยหวันหวั่นทำเพื่อเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วพลันลอบกำหมัดแน่น

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พี่เยี่ยทุ่มเทเตรียมการเพื่อเขา ต่อให้มีโอกาสเพียงหนึ่งในพัน เขาก็จะทำผิดต่อความพยายามของพี่เยี่ยไม่ได้!

เมื่อลั่วเฉินเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แววตาสับสนหายไปแล้ว

เยี่ยหวันหวั่นเห็นแววตาของลั่วเฉินเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น มุมปากจึงยกยิ้ม

ในเวลานี้เอง ซวี่หมิงกับผู้จัดการส่วนตัวของเขาเดินเข้ามาในห้องทดสอบหน้ากล้องแล้ว

…………………………………………….

บทที่ 456 ลงม้าข่มขวัญ

นักแสดงทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เงียบเสียงทันทีเมื่อเห็นซวี่หมิงเดินเข้ามา

รูปลักษณ์ภายนอกของซวี่หมิงดูภูมิฐาน หน้าตาหล่อเหลาตามกระแสนิยม สูงหนึ่งเมตรแปดสิบกว่าเหมือนราวแขวนเสื้อ บุคลิกท่าทางก็ไม่มีที่ติ บวกกับทักษะการแสดงที่ดี ทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการ ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ซวี่หมิงก้าวเท้ายาวเข้ามาในเต็นท์ถ่ายภาพ ดวงตาซึ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจคู่นั้นบนใบหน้าเด่นสะดุดตากวาดมองไปรอบๆ ผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาด้านหลังเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อาหมิง พวกผู้กำกับซ่งยังไม่มา นายรออยู่ที่นี่แป๊บหนึ่ง”

ซวี่หมิงพยักหน้ารับคำนิ่งๆ ในขณะที่สายตากวาดผ่านลั่วเฉินกับเยี่ยหวันหวั่นที่อยู่ห่างอออกไปไม่กี่ก้าว คิ้วเลิกสูงอย่างคาดไม่ถึง

ผู้จัดการสังเกตเห็นสายตาของซวี่หมิงจึงมองตามไป กระซิบว่า “อาหมิง วันนี้พวกลั่วเฉินเขาก็มาด้วย คงจะมาทดสอบหน้ากล้องบทพระรอง”

“ครับ ผมรู้แล้ว” ซวี่หมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ

พูดแล้ว ซวี่หมิงก็เดินตรงไปทางลั่วเฉินและเยี่ยหวันหวั่น

ลั่วเฉินกำลังปรับอารมณ์ เตรียมที่จะทดสอบหน้ากล้องในลำดับต่อไป เมื่อเห็นว่าซวี่หมิงพาผู้จัดการส่วนตัวเดินตรงมา แววตาพลันวาบไหว เหลือบมองเยี่ยหวันหวั่นทีหนึ่ง

เยี่ยหวันหวั่นส่งสายตาเรียบนิ่งไร้ความกังวลให้ลั่วเฉิน จากนั้นมองซวี่หมิงที่กำลังเดินเข้ามา

หากพูดถึงหน้าตาภายนอก สามารถพูดได้ว่าซวี่หมิงโดดเด่นกว่าคนทั่วไป บทพระรองของ ‘มังกรผงาด 2’ ในชาติก่อนเป็นของซวี่หมิงนี่เอง แม้ว่าซวี่หมิงจะอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องผู้ลงทุน ทว่ากล่าวถึงทักษะการแสดงแล้วนับว่าไม่เลวทีเดียว ในชาติก่อนก็โด่งดังขึ้นอีกด้วย ‘มังกรผงาด 2’

เพียงแต่ว่า…

หากพูดถึงทักษะการแสดงเพียงอย่างเดียว ระหว่างซวี่หมิงกับลั่วเฉินนั้นยังห่างกันอยู่ไม่น้อย

และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเยี่ยหวันหวั่นถึงกล้าให้ลั่วเฉินมาชิงบทหลินลั่วเฉิน

“ลั่วเฉินเหรอ” ซวี่หมิงเดินไปข้างลั่วเฉินและเยี่ยหวันหวั่น คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาเผยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“พี่ซวี่” ลั่วเฉินอ่อนกว่าซวี่หมิงปีหนึ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยติดต่อกัน แต่ก็มีความเกรงใจอยู่

ซวี่หมิงแย้มยิ้มกล่าวว่า “ลั่วเฉิน ฉันเคยดู ‘มังกรผงาด’ ที่นายแสดงตอนนั้นนะ มันยอดเยี่ยมมาก ฉันชอบบทหลินลั่วเฉินมากๆ เลยแหละ”

นัยน์ตาของลั่วเฉินฉายแววประหลาดใจ ไม่นึกว่าซวี่หมิงจะชมเขา ได้แต่ตอบรับอย่างเกรงอกเกรงใจ

ทว่า ยังไม่ทันรอให้ลั่วเฉินได้พูดอะไร คำพูดของซวี่หมิงกลับเปลี่ยนทิศกะทันหัน “แต่ว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว นายยังไม่เคยมีงานแสดงอีก ตอนนี้จะมาร่วมแสดง ‘มังกรผงาด 2’ ใหม่อีก ไม่รู้ว่าเรื่องทักษะการแสดง…”

ซวี่หมิงพูดพลางมองลั่วเฉินอย่างพิจารณา ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นนักแสดงเหมือนกัน ฉันเข้าใจดี ไม่ได้แสดงละครนานหลายปี ทักษะการแสดงจะถดถอยลงอย่างน่ากลัวเชียวละ แต่ว่านายสบายใจได้ ถึงนายจะไม่ได้บทหลินลั่วเฉิน แต่จะหาบทตัวประกอบอื่นๆ ใน ‘มังกรผงาด 2’ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”

แม้บอกว่าซวี่หมิงพูดเหมือนถนอมน้ำใจ ทว่าทุกถ้อยคำทุกประโยคล้วนแฝงการเหน็บแนม

นักแสดงทั้งหลายที่มองดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ย่อมฟังออกถึงการเหน็บแนมที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียง นี่กำลังเสียดสีว่าลั่วเฉินไร้ทักษะการแสดง แต่ก็ยังจะมาเกาะกระแสความดังของ ‘มังกรผงาด 2’ ไม่ใช่เหรอ?

“ซวี่หมิงพูดถูกแล้ว ลั่วเฉินหายหน้าหายตาไปนานเท่าไหร่แล้ว ผลงานทั้งหมดก็มีแค่มังกรผงาดเรื่องนั้นเรื่องเดียวไม่ใช่เหรอ จะเอาอะไรมาแย่งบทหลินลั่วเฉินกับซวี่หมิง?”

“นั่นน่ะสิ เขาก็ไม่รู้จักประมาณตัวบ้าง คิดว่าอาศัยความที่เป็นนักแสดงชุดเดิมอย่างเดียวแล้วจะได้บทไปครองจริงๆ น่ะเหรอ? ไม่ลืมตามองสักหน่อยว่า…เขาในตอนนี้น่ะ ไม่ว่าจะทักษะการแสดง ฐานเสียง มีอะไรที่เทียบกับซวี่หมิงได้บ้าง!”

………………………………………………………………….