ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ต้องมั่นใจว่าจิ่วหุนไม่เกิดเรื่อง
หากจิ่วหุนแค่ออกจากบ้านไปทำธุระก็ดี มั่นใจว่าไม่จากไปตลอดกาลก็พอ เยี่ยเม่ยต้องการยืนยันว่าเขาปลอดภัย ไม่ใช่เหมือนอย่างครั้งก่อนที่ตกหลุมพรางผู้อื่น
อีกอย่างพิษในกายของจิ่วหุนยังไม่ได้ถอน ยามีอยู่ที่ซือหม่าหรุ่ยเท่านั้น นางต้องเอาให้เจ้าหนูนี่ให้ได้
……
จวนองค์ชายสี่
ในจวนเริ่มมีการประดับประดาโคมไฟกระดาษแดง หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ยินดี แต่เมื่อกลับถึงจวนเขาก็รีบจัดการอารมณ์ตัวเอง สั่งการให้คนเตรียมข้าวของที่จำเป็น
ผ้าแดงติดอยู่บนประตูทุกบานอย่างรวดเร็ว
อักษรมงคลสีแดงตัวใหญ่ติดไปทั่วจวน ไม่ว่ามุมใดก็มองเห็นได้ แม้กระทั่งกำแพงยังถูกทาเป็นสีชมพูถึงแสดงความเบิกบานใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมาได้
อวี้เหว่ยและเสี่ยวกวนรู้สึกยินดีแทนองค์ชายสี่จากใจ ในฐานะคนข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเขาย่อมรู้ว่าช่วงที่ผ่านมา องค์ชายสี่กลัดกลุ้มเป็นกังวลเพื่อเยี่ยเม่ยแค่ไหน กินข้าวกินปลายังไม่ลง
สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ได้ภรรยามาครอง
เทียบกับคนอื่นแล้วก็สรุปว่าชนะมาได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นเขาทั้งสองพาบ่าวไพร่ตระเตรียมงานจ้าละหวั่น
เจ้ากรมราชพิธีนำแบบชุดแต่งงานมามอบให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลือกด้วยตนเอง
ไม่เพียงของเขาเท่านั้น ยังมีของเยี่ยเม่ยด้วย
ตามกฎของราชสำนักเป่ยเฉิน ถ้าองค์ชายอภิเษก ให้องค์ชายเป็นผู้เลือกชุดก็พอแล้ว ส่วนชุดของพระชายาก็เลือกโดยองค์ชายเช่นกัน เพื่อให้ชุดแต่งงานของพระชายาถูกใจองค์ชาย เช่นนั้นองค์ชายถึงอารมณ์ดี งานแต่งก็จะราบรื่น
แน่นอนว่าทุกอย่างดำเนินไปโดยมีองค์ชายเป็นศูนย์กลาง องค์ชายสำคัญกว่า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลิกดูรายการในมือเจ้ากรมราชพิธี มองอยู่สองสามทีจากนั้นก็ปิดลง “เอาไปจวนแม่ทัพ ให้พระชายาเลือก บอกนางว่าชุดของข้าก็ให้นางเลือกด้วย! ชุดที่ข้าใส่ในวันนั้น ให้ถูกต้องตรงใจนาง!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสริมอีกว่า “อีกหลายวันนั้น เครื่องประดับผมของนาง กับเครื่องประดับของข้าก็ล้วนส่งไปให้นางเลือก ไม่ต้องส่งมาถามเยี่ยน!”
เจ้ากรมราชพิธี “…” นี่มันเรื่องอันใดกัน
องค์ชายสี่ทำเช่นนี้…อย่างนั้น ความเป็นใหญ่ของสามีอยู่ที่ไหนกัน
เขาอดรนทนไม่ไหว เอ่ยว่า “องค์ชายสี่ ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม!”
เมื่อเขาเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขาอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “ใต้เท้าเจ้ากรมราชพิธี คิดถกเรื่องกฎหมายกับเยี่ยนหรือ”
เจ้ากรมราชพิธีพลันสั่นไปเล็กน้อย เหงื่อกาฬแตกพลัก เขาลืมไปได้อย่างไรว่า ตนอยู่ต่อหน้าคนประเภทไหน นี่คือองค์ชายสี่ผู้ถนัดทรมานใจคน เขาหลงคิดไปได้อย่างไรว่า องค์ชายสี่ที่เคารพนบนอบฝ่าบาทในวันนี้เป็นคนที่คบหาได้ง่ายแล้ว
เจ้ากรมราชพิธีรีบเอ่ย “กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ขอองค์ชายสี่โปรดประทานอภัย กระหม่อมกลัวแต่ว่า องค์ชายสี่โปรดปรานพระชายามากเกินไป ทำให้ไม่เหลืออำนาจของสามีอีก กระหม่อมมิได้ต้องการขัดความต้องการของท่าน ไม่เคารพต่อการตัดสินใจขององค์ชาย”
เมื่อเขาตอบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ปรายตามองเขา
เอ่ยเนือยๆ “วันนี้เยี่ยนอารมณ์ดี ได้แต่งกับสตรีอันเป็นที่รัก จะละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง ภายหน้าเรื่องสามีเป็นใหญ่ ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก ในจวนองค์ชายสี่มีแต่ภรรยาเท่านั้นที่เป็นใหญ่!”
เจ้ากรมราชพิธี “…”
อย่าทำแบบนี้ได้ไหมเล่า
ทั่วหล้านี้บุรุษที่กลัวภรรยาความจริงมีไม่น้อย แต่ว่าคนที่เอ่ยออกมาตามตรงอย่างองค์ชายสี่ เจ้ากรมราชพิธีรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เป็นครั้งแรกที่ตนได้เห็น
ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเขา องค์ชายสี่มีนิสัยอย่างไรเขาแจ่มแจ้งเป็นที่สุด
ดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่โปรดวางใจ ข้าจะไม่ปากมากเด็ดขาด ข้าจะรีบส่งของไปยังจวนแม่ทัพ เพื่อให้พระชายาเลือกทันที”
“ไปเถอะ!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งสัญญาณให้เขาจากไป
เจ้ากรมราชพิธีคิดไม่ถึงว่า เขาที่ปากมากเถียงองค์ชายสี่จะรอดออกไปอย่างปลอดภัย เขาจากมาด้วยอาการขาสั่น น้ำตาแห่งความกังวลคลอหน่วยตา ใจคิดว่าหลังจากองค์ชายสี่จะแต่งงานก็ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว
อวี้เหว่ยและเสี่ยวกวนมองส่งเขาจากไป ก็ยังรู้สึกขบขันนัก
ถือว่าเจ้ากรมราชพิธีโชคดี วันนี้เตี้ยนเซี่ยจะได้แต่งงานกับเยี่ยเม่ย ยังจะมีอารมณ์คิดสังหารคนได้อย่างไร ยามนี้เตี้ยนเซี่ยเห็นอะไรก็รื่นตาไปหมด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้อภัยได้ทั้งนั้นเถอะ
……
วังหลวง
จงซานยืนอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาและเป่ยเฉินเสียง
เป่ยเฉินเสียงสีหน้าย่ำแย่มองจงซาน “ใต้เท้าซือคง เรื่องนี้ท่านต้องอธิบายให้ข้าฟังอย่างสมเหตุสมผล! หากทำไม่ได้ อย่าโทษที่ข้าไร้น้ำใจ!”
จงซานรีบค้อมเอว อธิบายว่า “องค์ชายใหญ่โปรดระงับโทสะ! กระหม่อมสามารถอธิบายการกระทำทั้งหมดของตัวเองได้ ความจริงเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจทางทหาร ต่อให้มอบทหารสี่แสนนายให้องค์ชายสี่ แล้วจะเป็นอย่างไร ในมือขององค์ชายใหญ่มีกำลังทหารหกแสนนาย ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ก็แค่มอบหทารสองแสนนายเท่านั้น”
เป่ยเฉินเสียงฟังแล้วโทสะก็พร่องไปกว่าครึ่ง แต่ยังเอ่ยอย่างไม่ยินดี “ถึงจะเอ่ยเช่นนี้ไม่ผิด แต่ท่านต้องบอกเหตุผลที่ฟังขึ้นกับข้า ข้ากระทำเช่นนี้ …”
“ความจริงองค์ชายสี่ก็บอกเหตุผลที่กระหม่อมทำเช่นนี้ให้องค์ชายใหญ่ฟังแล้ว!” จงซานเอ่ยอย่างจริงจัง
เป่ยเฉินเสียงอึ้งไป อดไม่ไหวถามว่า “เหตุผลอะไร”
จงซานตอบ “หรือว่าองค์ชายใหญ่มองความต้องการขององค์ชายสี่ไม่ออก เขามิได้ต้องการแย่งชิงอำนาจ แต่อยากมีศักดิ์ศรีต่อหน้าเยี่ยเม่ยเท่านั้น ในเมื่อฝ่าบาทไว้หน้าเช่นนั้น เขาถึงได้เคารพนบนอบต่อฝ่าบาท ถึงกระทั่งยอมคุกเข่าให้ฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ท่านลองคิดดู หลังจากฝ่าบาทสละราชบัลลังก์ คนที่จะได้อยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้นก็คือท่านแล้ว!”
เอ่ยถึงตรงนี้ จงซานก็ชะงักไป “อย่างนั้นท่านก็จะได้รับการคุกเข่าจากองค์ชายสี่! กับแค่ทหารสองแสนนาย แลกมาด้วยการยอมสยบขององค์ชายสี่ ทำไมจะไม่ได้กัน”
คำพูดของเขาเอ่ยได้ตรงกับความใฝ่ฝันของเป่ยเฉินเสียงนัก ความฝันของเขาคือมีสักวันหนึ่งที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคุกเข่าอยู่แทบเท้า เรียกเขาว่าฮ่องเต้อย่างพินอบพิเทา
เป่ยเฉินเสียงขมวดคิ้วแน่น “แต่ใต้เท้าจง ท่านมั่นใจจริงหรือว่า น้องสี่ต้องการเพียงทหารสองแสนนายนั้น”
เป่ยเฉินเสียงไม่ทันรู้ตัวว่าหลังจากคำพูดของจงซาน น้ำเสียงเอาผิดของตนนั้นอ่อนลงมาก
จงซานหัวเราะเบาๆ “องค์ชายใหญ่อย่าลืม ฝ่าบาททรงระแวงองค์ชายสี่! รู้สึกว่าองค์ชายสี่ต่างไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางให้เขาสืบทอดบัลลังก์ ดังนั้นต่อให้เขามีความคิด องค์ชายใหญ่ก็ไม่ต้องกลัว!”