ตอนที่ 49 ปลุกปั่นความสัมพันธ์ต่อหน้า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

จงซานกล่าวด้วยความจริงใจและนอบน้อม บอกให้เป่ยเฉินเสียงมิต้องกังวลใจทั้งสิ้น

 

 

เป่ยเฉินเสียงฟังแล้วก็คิดว่ามีเหตุผล แต่ก็รู้สึกว่ามีจุดที่แปลกๆ ฮองเฮาฟังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ไหว ถามว่า “เป็นเช่นนี้จริงหรือ ใต้เท้าจงมั่นใจแค่ไหนที่ฝ่าบาทจะไม่ยกบัลลังก์ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน”

 

 

“มั่นใจอย่างแน่นอน!” คำพูดของจงซานค่อนข้างถือดีอยู่บ้าง

 

 

เขาอธิบาย “ฮองเฮาอย่าทรงลืมว่าปีนั้นฝ่าบาทยังมีความคิดจะสังหารองค์ชายสี่เลย ไฉนวันนี้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายถึงขั้นยกบัลลังก์ให้องค์ชายสี่กันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อเขาตอบออกมา ฮองเฮากับเป่ยเฉินเสียงก็เผยแววตาชื่นชม คำพูดนี้มีเหตุผลมาก

 

 

หลังจากจงซานเอ่ยจบ ก็กล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง จะเป็นองค์ชายสี่ก็ดีหรือเยี่ยเม่ยก็ช่าง พวกเขาไม่มีการคบหาใดๆ กับข้า ไฉนข้าต้องช่วยเหลือพวกเขาด้วย ก่อนหน้านี้ข้ากับพวกเขาก็ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน กลับกันการช่วยเหลือองค์ชายใหญ่ ค้ำจุนองค์ชายใหญ่ ฝ่าบาทยังสัญญาว่าจะมอบราชโองการเหล็กให้ข้า เหตุใดข้าต้องทิ้งประโยชน์ไปช่วยเหลือองค์ชายสี่ด้วยเล่า”

 

 

จงซานเสริมขึ้นว่า “องค์ชายใหญ่เพียงต้องคอยจับตาดูว่าภายหน้าองค์ชายสี่ยังเคารพนบนอบต่อฝ่าบาทอยู่หรือไม่ ท่านก็จะเข้าใจการกระทำของข้าในวันนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง!”

 

 

เป่ยเฉินเสียงฟังแล้วก็ชะงักเล็กน้อย มองจงซาน “เสด็จพ่อรับปากจะพระราชทานราชโองการเหล็กให้ท่าน?”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” จงซานเอ่ย “ครั้งก่อนข้ามิได้บอกองค์ชายใหญ่หรือ ฝ่าบาทให้ข้าคอยช่วยเหลือท่าน ยามนั้นพระองค์ให้คำสัญญากับข้าเช่นนี้ ก็มากพอให้เห็นแล้วว่าองค์ชายใหญ่สำคัญต่อฝ่าบาทมากแค่ไหน”

 

 

 

 

พูดแล้วจงซานก็เสริมอีก “เหตุใดวันนี้ข้าถึงให้องค์ชายช่วยสนับสนุน ก็เพราะว่าให้ท่านแสดงออกต่อหน้าพระพักตร์อย่างเหมาะสม ทำให้ฝ่าบาทคิดว่าท่านเป็นคนรักพี่น้อง ฝ่าบาทรังแต่จะยิ่งโปรดปรานท่าน!”

 

 

เป่ยเฉินเสียงฟังถึงยามนี้ มุมปากก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าจงซานคิดรอบคอบ ทำได้หมดจดมาก

 

 

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทางหนึ่งก็ควบคุมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ อีกทางก็ทำให้เสด็จพ่อมอบความสำคัญกับเขามากขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องดีอีกหรือ

 

 

ดังนั้นเป่ยเฉินเสียงรีบกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เห็นทีข้าคงเข้าใจใต้เท้าจงผิดไปแล้ว! ใต้เท้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ!”

 

 

จงซานส่ายหน้าอย่างถ่อมตน “เตี้ยนเซี่ยเอ่ยคำพูดอะไรกัน ยามนั้นท่านอยู่ในท้องพระโรงยอมฟังข้อเสนอเหลวไหลของข้า ก็ร่วมมือด้วย ข้าสมควรขอบคุณที่ท่านเชื่อใจถึงจะถูก!”

 

 

จงซานเอ่ยถึงยามนี้ ยังกล่าวกับเป่ยเฉินเสียงต่อไปว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าจำเป็นต้องเตือนองค์ชาย!”

 

 

“ใต้เท้าซือคงเชิญเอ่ยมา!” เห็นท่าทางเป็นเป็นจริงเป็นจังของจงซาน เป่ยเฉินเสียงก็แสดงสีหน้าขรึมลง

 

 

หางตาของจงซานเหลือบเห็นบริเวณฉากกันลม รู้ว่าซือถูจ้าวแอบฟังอยู่ตรงนั้น เขาก็มั่นใจว่าในเมื่อซือถูจ้าวแอบฟังอยู่ ก็ไม่มีทางปรากฏตัวออกมาแน่…

 

 

อีกทั้งหากเขาไม่วางแผนให้ดี รอจนตัวเองจากไปแล้ว ซือถูจ้าวต้องคัดค้านคำพูดของเขากับเป่ยเฉินเสียงแน่ บอกว่าเขามีความคิดเป็นอื่น บางทีเขาอาจย้ายไปอยู่ฝั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว

 

 

ดังนั้น

 

 

จงซานตัดสินใจเด็ดขาด รู้ทั้งรู้ว่าซือถูจ้าวอยู่ที่นี่ ก็ยังเอ่ยวาจาเชือดเฉือนเขา “ท่านเสนาบดีเจ็บปวดที่สูญเสียทั้งบุตรและธิดารัก ต้นตอของเรื่องทั้งหมดก็คือองค์ชายสี่กับเหอซั่วอ๋อง ระยะนี้ท่านเสนาบดีผูกใจเจ็บแค้น คิดเอาคืนพวกเขาทั้งสอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตั้งตัวเป็นปรปักษ์ไปเสียหมด ดังนั้นคำพูดของท่านเสนาบดี องค์ชายใหญ่รับฟังก็พอแล้ว อย่าได้เก็บไปใส่ใจเด็ดขาด!”

 

 

ซือถูจ้าวฟังอยู่ด้านหลังฉาก โมโหเสียแทบกระอักเลือด

 

 

แต่ว่าวิญญูชนมีหลักการ การแอบฟังไร้มารยาท ยามนี้หากเขาออกไปให้จงซานรู้ว่าแอบฟังอยู่ นั่นไม่เท่ากับว่าเขาเป็นถึงเสนาบดีแต่ทำตัวเหมือนคนชั้นต่ำหรอกหรือ

 

 

เป่ยเฉินเสียงมุมปากกระตุก ในใจเกิดความกระอักกระอ่วนอย่างสุดเปรียบ เขาคิดว่าจงซานไม่รู้ว่าซือถูจ้าวอยู่ที่นี่ แต่ว่าตัวเขารู้อยู่แก่ใจ

 

 

เป่ยเฉินเสียงฝืนยิ้ม “ใต้เท้าซือคงวางใจ ข้าต้องระวังไว้อย่างแน่นอน!”

 

 

 

 

จงซานกล่าวต่อว่า “ท่านเสนาบดีเป็นท่านลุงขององค์ชายใหญ่ กอปรกับความแค้นที่มีต่อองค์ชายสี่ ดังนั้นตั้งใจจะสนับสนุนองค์ชายใหญ่อย่างแน่นอน เพียงแต่คนทั้งหลายต่างเป็นปุถุชนธรรมดา ยากจะไม่ให้เจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาครอบงำได้ ความคิดที่ท่านเสนาบดีมีต่อองค์ชายสี่และเยี่ยเม่ยกำจัดพวกเขาถึงมีความสุข แต่คิดจะเอาชีวิตคนทั้งสองก็ยากมาก! ทำได้เพียงใช้งานพวกเขา ภายหน้าเตี้ยนเซี่ยเป็นคนที่จะครองบัลลังก์ ย่อมไม่อาจปล่อยให้ความแค้นส่วนตัวของเสนาบดีทำลายการณ์ใหญ่ได้!”

 

 

เมื่อเขาเอ่ย อย่าว่าแต่เป่ยเฉินเสียงเลย แม้แต่ฮองเฮาก็หน้าเปลี่ยนสีขมวดคิ้วแน่น

 

 

นางคิดว่าการกระทำต่างๆ นานาของพี่ชายของตนซือถูจ้าวในระยะนี้วู่วามเกินไป เอาแต่พูดว่าจะเอาชีวิตสองคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พี่ชายในวันนี้มีความเป็นไปได้ว่าทำเพื่อความแค้นส่วนตัว ชักนำให้เป่ยเฉินเสียงทำตามความต้องการของเขา

 

 

ฮองเฮาในฐานะน้องสาวในไส้ยังคิดได้เช่นนี้ ความคิดในใจของเป่ยเฉินเสียงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีก

 

 

จงซานปลุกปั่นความสัมพันธ์ซึ่งๆ หน้า ทั้งยังตระหนักว่าตัวเองพูดมาถึงขั้นนี้ หากไม่รีบไป ซือถูจ้าวต้องทนไม่ไหว โผล่ออกมาด่าว่าเขาแน่

 

 

ดังนั้นจงซานจึงรีบเอ่ย “เตี้ยนเซี่ย ข้ากล่าวไว้เพียงเท่านี้แล้ว ขอทูลลา! หากมีเรื่องอันใดอีก เตี้ยนเซี่ยเรียกข้ามาได้ทุกเมื่อ!”

 

 

“เชิญใต้เท้า!”

 

 

เป่ยเฉินเสียงไม่กล้ารั้งไว้ หลั่งเหงื่อเย็นเยียบปล่อยจงซานจากไป ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ ซือถูจ้าวมีนิสัยอย่างไร เป่ยเฉินเสียงรู้ชัดแจ่มแจ้ง อีกประเดี๋ยวหากสองคนทะเลาะกันขึ้นมาเรื่องใหญ่โตแล้ว จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน

 

 

อีกอย่างทั้งสองล้วนเป็นขุนนางใหญ่ที่เขาพึ่งพาได้ ในเมื่อพวกเขาสองคนไม่สามัคคีกัน เป่ยเฉินเสียงได้แต่พยายามให้พวกเขาพบหน้ากันน้อยที่สุด นี่คือวิธีเดียวที่จะช่วยได้ ไม่ว่าหน้ามือหรือหลังมือต่างก็เป็นเนื้อเหมือนกัน คนเหมือนถูกย่างอยู่บนเตาไฟ

 

 

“ข้าขอทูลลา!”

 

 

สิ้นเสียงจงซานก็จากไป

 

 

เขาเพิ่งจะจากไป ซือถูจ้าวหน้าเขียวเดินโผล่ออกมาจากหลังฉากกันลม หลังจากเดินมาถึงเป่ยเฉินเสียง ตวาดด่า “จงซานตาแก่เจ้าเล่ห์ ถึงกับกล้าปลุกปั่นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา!”

 

 

ใจของฮองเฮาหวั่นไหวไปตามคำพูดของจงซานแล้วจริงๆ แต่ต่อหน้านางยังเอ่ยปากปรามว่า “ใยท่านพี่ต้องโมโหด้วย หรือว่าข้ากับองค์ชายใหญ่จะไม่เชื่อถือญาติตัวเอง แต่เชื่อคนนอกผู้หนึ่ง”

 

 

คำพูดของฮองเฮาทำให้เสนาบดีคลายโทสะลงได้บ้าง

 

 

ผลคือเป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากว่า “แต่คำพูดของจงซานก็มีเหตุผล การแสดงออกของข้าในวันนี้ เสด็จพ่อต้องชื่นชมอย่างแน่นอน!”

 

 

ซือถูจ้าวแทบจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง…