ตอนที่ 50 การเตรียมตัวก่อนแต่งงานขององค์ชายสี่

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เขาชี้หน้าเป่ยเฉินเสียงด้วยความไม่อยากเชื่อ เอ่ยอย่างสุดทน “ฝ่าบาทชื่นชมเจ้ามากขึ้น?”

 

 

ฝ่าบาทไม่คิดว่าเขาเป็นตัวโง่งม ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!

 

 

“หรือว่าไม่ใช่กัน” เป่ยเฉินเสียงย้อนถามแทนคำตอบ

 

 

เลือดสดๆ คำหนึ่งพุ่งอยู่ที่ลำคอซือถูจ้าวไม่กระอักออกมาทั้งไม่อาจกลืนลงไป ถึงการวิเคราะห์ของจงซานเมื่อครู่มีเหตุผลมาก แต่มีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่าบาทคิดอย่างไรกันแน่ คำถามนี้มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่ตอบได้

 

 

ซือถูจ้าวคิดว่าหลายปีที่ผ่านมา อันที่จริงแล้วเขาไม่เคยมองฮ่องเต้ได้ทะลุปรุโปร่งเลย เพียงแต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า ฮ่องเต้หาได้ดีใจสักเท่าไรนัก

 

 

ในเมื่อคำพูดที่สามารถเอ่ยได้ล้วนเป็นการคาดเดา เขาย่อมไม่อยากเอ่ยมาก เขาหลับตาสูดลมหายใจลึกหลายคำ ค่อยเอ่ยว่า “สรุปแล้ว เจ้าฟังข้า หากคิดขึ้นครองบัลลังก์ก็รักษาระยะห่างกับจงซานไว้ เขาโง่งมเช่นนี้ ไม่ช้าต้องทำร้ายเจ้าแน่!”

 

 

ซือถูจ้าวหาเหตุผลที่จงซานร่วมกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้เลยสักน้อย ดังนั้นสำหรับการกระทำของจงซาน เขาจึงอธิบายได้ว่าอีกฝ่ายโง่งมเท่านั้น

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้

 

 

เป่ยเฉินเสียงเกิดความสงสัยและไม่เห็นด้วย เพียงคิดว่าซือถูจ้าวไม่ชอบที่เขาให้ความสำคัญกับจงซาน จึงโอนอ่อนไปเป็นพิธี “คำพูดของท่านลุง ข้าต้องตั้งใจไตร่ตรองดูอย่างละเอียด!”

 

 

ซือถูจ้าวสูดลมหายใจลึก เดิมทีคิดบอกเป่ยเฉินเสียงว่า ด้วยคำพูดเมื่อครู่ของจงซาน สิ่งที่เขาวิเคราะห์ออกมาได้ก็คือสมองจงซานเลอะเลือนแล้ว วิเคราะห์ผิดพลาด ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ

 

 

แต่จงซานตาแก่เจ้าเล่ห์คล้ายกับว่าตาเห็นก็ไม่ปาน ชิงพูดจากันท่าไว้ก่อน ทำให้ฮองเฮากับองค์ชายใหญ่หลงคิดว่าเขาทำเพื่อความแค้นส่วนตัว ดังนั้นไม่ว่าตนเสนอความเห็นอย่างไรไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว

 

 

พวกเขาก็จะพานคิดไปถึงความแค้นส่วนตัวของตน จึงโต้แย้งคำวิเคราะห์ของจงซาน

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่พูดดีกว่า

 

 

ซือถูจ้าวเอ่ยว่า “กระหม่อมขอตัวก่อนแล้ว!”

 

 

“เชิญท่านลุง” เป่ยเฉินเสียงตอบกลับด้วยความเกรงใจ

 

 

ไม่ช้า ซือถูจ้าวก็จากไป

 

 

ฮองเฮามองเป่ยเฉินเสียง ถามว่า “เจ้าคิดว่าจงซานผู้นี้ น่าเชื่อถือเท่าใด”

 

 

“ลูกคิดว่าเก้าส่วนน่าเชื่อถือได้! เสด็จแม่เห็นว่าอย่างไร” เป่ยเฉินเสียงมองฮองเฮา

 

 

ฮองเฮาใคร่ครวญสักพักก็เอ่ยปาก “ข้าคิดว่าสิบส่วน! อย่างไรเสียฝ่าบาทก็รับปากพระราชทานราชโองการเหล็กให้เขา เมื่อเขาช่วยเหลือเจ้าขึ้นครองราชย์ได้ ข้าหาเหตุผลที่เขาจะทรยศหรือหักหลังเจ้าไม่ได้เลย!”

 

 

สองแม่ลูกมองหน้ากันยิ้มๆ แล้วก็พยักหน้า

 

 

ฮองเฮายังเสริมว่า “ครั้งนี้ เจ้าเห็นด้วยกับการมอบอำนาจทางทหารให้น้องสี่ อย่างที่จงซานบอก เสด็จพ่อของเจ้าคงเห็นว่าเจ้าใจกว้าง ต้องให้ความสำคัญกับเจ้าแน่!”

 

 

เมื่อฮองเฮากล่าว เป่ยเฉินเสียงก็พยักหน้าด้วยความยินดี “ถูกแล้ว! เสด็จพ่อต้องคิดว่าลูกมีภาพลักษณ์ของกษัตริย์ทรงคุณธรรม”

 

 

……

 

 

ห้องทรงพระอักษร

 

 

ฮ่องเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ หวนคิดถึงเรื่องในวันนี้ ดื่มด่ำกับความยินดีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคารพต่อพระองค์อยู่นานไม่ได้สติ

 

 

แต่ว่าพระองค์ทรงฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ หันไปทอดพระเนตรหัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกาย “เจ้าว่า เช้านี้องค์ชายใหญ่เป็นอันใดไปแล้ว ข้าก็แค่กักบริเวณเขาพักหนึ่ง เขาถูกขังจนโง่ไปแล้วหรือไง คนอื่นสนับสนุนให้เจ้าสี่ได้ตราทัพไปก็ช่างเถอะ เขาก็ร่วมสนับสนุนไปด้วย”

 

 

หัวหน้าขันทีอดไม่ไหวกระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “บางที… องค์ชายใหญ่อาจมีแนวคิดเป็นของตัวเอง”

 

 

ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง

 

 

ตรัสไม่เห็นด้วยว่า “เขายังจะมีความคิดโง่เขลาอันใดอีก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นน้องชายเขา ทั้งกำเนิดจากฮองเฮา ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เขากลับสนับสนุนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ตราทัพไป เขาโง่ถึงขั้นนี้ ข้าจะวางใจมอบแผ่นดินไว้ในมือเขาได้อย่างไร”

 

 

หัวหน้าขันทีเอ่ยปาก “อย่างนั้น ฝ่าบาท จะทรงชี้แนะองค์ชายใหญ่สักหน่อยหรือไม่”

 

 

“ไม่จำเป็น!” ฮ่องเต้ทรงโบกพระหัตถ์ ตรัสว่า “ข้าอยากกดูต่อไปว่าเขายังจะทำเรื่องโง่งมอะไรได้อีก หากทำจนข้าหมดความไว้ใจเขาได้ก็ดี !”

 

 

พระองค์ทรงคิดได้ว่า วันนี้เยี่ยเม่ยเอ่ยในท้องพระโรงว่าอำนาจทางทหารอยู่ในมือฮ่องเต้ ประชาชนถึงร่มเย็นเป็นสุข แต่ว่าเป่ยเฉินเสียง…

 

 

ในฐานะองค์ชาย เขากลับครอบครองอำนาจทางทหารถึงหกแสนนาย!

 

 

……

 

 

ระหว่างจงซานกลับจวน

 

 

ผู้ติดตามด้านหลังเขาถาม “ใต้เท้า เมื่อครู่ได้ยินท่านโอ้อวดเกินจริงกับองค์ชายใหญ่ บอกว่าฝ่าบาททรงชื่นชมการกระทำขององค์ชายใหญ่ในวันนี้ เป็นเรื่องจริงหรือ”

 

 

จงซานหันกลับไปมอง เคาะหัวผู้ติดตาม “ต้องไม่จริงอยู่แล้ว! ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังได้โง่งมนักนะ ฮ่องเต้มีนิสัยอย่างไร ข้าแจ่มแจ้งที่สุด คนที่พระองค์ระแวงที่สุดในชีวิตก็คือเป่ยเฉินอี้ แล้วเป่ยเฉินอี้มีฐานะอันใด เขาคือน้องชายของฝ่าบาท การกระทำของเป่ยเฉินเสียงในวันนี้ไม่ป้องกันน้อยชายของตัวเองเลยสักน้อย ฮ่องเต้จะชื่นชมเขาได้หรือ”

 

 

ผู้ติดตามมุมปากกระตุก เอ่ยว่า “เกรงว่าฝ่าบาทคงกังวลว่า จากท่าทีขององค์ชายใหญ่ คงไม่อาจรักษาบัลลังก์ไว้ได้!”

 

 

คิดถึงตรงนี้ ผู้ติดตามก็กังวลว่า “อย่างนั้น…ฝ่าบาทคงไม่ตามตัวองค์ชายใหญ่ไปสั่งสอนหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้น องค์ชายใหญ่คงทราบว่าท่านหลอกลวงเขา!”

 

 

“บอกว่าเจ้าโง่ เจ้าก็โง่จริงๆ!” จงซานส่ายหน้าหัวเราะอย่างขัดใจ “ฮ่องเต้ทรงมีใจระแวงที่เป่ยเฉินเสียงกุมอำนาจทหารในมือ เวลานี้ไม่มีทางตามตัวเป่ยเฉินเสียงไปแน่ บางทีพระองค์ยังต้องการทดสอบเป่ยเฉินเสียงมากขึ้นอีก”

 

 

ย่อมไม่มีทางเรียกตัวไปสั่งสอนแน่

 

 

ผู้ติดตามพยักหน้า “ใต้เท้า ท่านช่างเข้าใจฝ่าบาทยิ่งนัก!”

 

 

“แน่นอน!” จงซานพยักหน้า แววตาลุ่มลึก เอ่ยเบาๆ “ในโลกนี้ผู้ที่เข้าใจจิตใจของคนอย่างถ่องแท้ หาใช่มีเป่ยเฉินอี้แต่เพียงผู้เดียว!”

 

 

……

 

 

ผ่านไปห้าวัน

 

 

จวนองค์ชายสี่

 

 

อวี้เหว่ยใช้สายตาแปลกประหลาดแอบเหลือบมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่นาน หลายวันนี้ทุกคนต่างเตรียมงานแต่งงาน กรมราชพิธีก็ยิ่งเร่งงาน ดังนั้นเรื่องต่างๆ จัดการไปอย่างรวดเร็ว

 

 

แต่ว่าองค์ชายสี่ไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร

 

 

เช้าตรู่วันนี้ถึงกับไปซื้อภาพชุนกงกลับมาด้วยตัวเอง จากนั้น…เตี้ยนเซี่ยก็กอดรูปภาพพวกนี้ไว้ นั่งดูอยู่คนเดียวทั้งวัน ยามนี้พระอาทิตย์จวนจะตกดินแล้ว อวี้เหว่ยปรายตามอง รู้สึกเศร้าใจนัก

 

 

ความจริงเขาเป็นห่วงสุขภาพกายและสุขภาพใจของเตี้ยนเซี่ยมาก

 

 

เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย คือว่า…ถึงหลายปีที่ผ่านมา ท่านไม่เคยผ่านสตรีมาก่อน แต่อย่างน้อยท่านก็จวนเจียนจะแต่งงานแล้ว ต่อให้ท่านมีอารมณ์ปรารถนาอยู่บ้าง…ก็รออีกสองวันก็พอแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหาแม่นางที่หอนางโลมสักสองคน ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งจ้องของพวกนี้เพื่อระบายอารมณ์หรอกกระมัง”

 

 

อวี้เหว่ยแสดงออกว่า องค์ชายสี่ท่าจะคลั่งไปแล้ว ด้วยตำแหน่งฐานะ ต้องการสตรีสักคนต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังอย่างแช่มช้า “ใครบอกว่าเยี่ยนกำลังระบายความปรารถนา เยี่ยนแค่ไม่มีประสบการณ์ กลัวว่าคืนแต่งงานจะทำนางเจ็บ จึงต้องศึกษาก่อน”

 

 

อวี้เหว่ย “…อ้อ!”