บทที่ 1067+1068

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1067+1068 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1067 แผนการของหลงซือเย่สูญเปล่าแล้ว…

พอกู้ซีจิ่วเปลี่ยนร่างแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนความทรงจำบางส่วนของนางด้วย ทำให้นางหลงรักเขาอีกครั้ง ครองคู่โบยบินกับเขา

หากเขาคิดจะกระทำเรื่องนี้โดยไม่ให้ผู้รู้เห็น ก็ต้องสังหารเหยียนนั่วตัวน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงจ้างวานมือสังหารสี่คนนั้นมา…

อย่างไรเสียในสายตาเขาเหยียนนั่วตัวน้อยก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง วรยุทธ์ก็ไม่นับว่าสูง แถมยังก่อกวนให้เขาเอือมระอาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นสังหารเขาไปก็มีแรงกดดันทางจิตใจอันใด

ส่วนการที่กู้ซีจิ่วถูกสังหาร เขาสามารถผลักปัญหาที่จะตามมาในภายหลังลงบนร่างของสัตว์ร้ายเทพสัชฌะได้ บอกว่ากู้ซีจิ่วต้องการเอ็นของสัตว์ร้ายเทพสัชฌะทว่าโชคร้ายถูกสัตว์ร้ายเทพสัชฌะเขมือบไปแล้ว…

เช่นนี้เขาก็สามารถมอบคำอธิบายให้ตี้ฝูอีได้แล้ว และกู้ซีจิ่วตัวจริงก็จะรั้งอยู่ข้างกายเขาไปตลอดกาล

ดูเหมือนแผนการนี้จะรัดกุมยิ่งนัก!

และคล้ายกับรสนิยมของหลงซือเย่

หากว่ากันตามภาพรวมแล้วหลงซือเย่ก็นับว่าเป็นคนดี คู่ควรกับคำว่าสานุศิษย์สวรรค์ห้าคำนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตาอย่างถึงที่สุด ยามที่จำเป็นก็อำมหิตยิ่งนัก วางแผนสังหารคนโดยไม่ชดใช้หนี้ชีวิต ในอดีตเพื่อจะก่อตั้งสำนักถามสวรรค์แห่งนี้ขึ้น ไม่รู้ว่าใช้กลอุบายกับผู้อื่นไปมากน้อยเพียงใด เหยียบย่ำโครงกระดูกของผู้ที่ปราชัยเหล่านั้นไปหลายกองแล้ว

ตี้ฝูอีดำรงตำแหน่งเทพผู้ควบคุมความเป็นไปของโลกใบนี้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของเหล่ามนุษย์นัก ขอเพียงเรื่องที่สานุศิษย์สวรรค์เหล่านั้นกระทำมิได้กระตุ้นให้สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองจนเกินไป เขาก็คร้านจะใส่ใจ ทุกเรื่องล้วนมีต้นสายปลายเหตุ วนเวียนใช้กรรมตามวัฏจักร

ตี้ฝูอีคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ทราบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจการวางตัวของหลงซือเย่ยิ่งนัก

เรื่องราวที่หลงซือเย่เคยกระทำไว้ในอดีตมีหลายเรื่องที่ไร้คุณธรรมยิ่งกว่าเรื่องนี้เสียอีก ตี้ฝูอีไม่เคยสนใจเลย แต่ครั้งนี้คนที่เขาปองร้ายคือกู้ซีจิ่ว เรื่องนี้ถือเป็นการท้ายขีดจำกัดของเขาแล้ว

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือครั้งนี้ดูเหมือนหลงซือเย่จะถูกบางอย่างควบคุมแล้ว ยากนักที่จะบอกได้ว่ามีมารสวรรค์ตัวนั้นคอยสอดเท้าอยู่เบื้องหลังหรือไม่…

พวกมู่เฟิงติดตามร่องรอยของมารสวรรค์ตนนั้นไปแล้ว ตามที่มู่เฟิงรายงาน มารสวรรค์ตนนั้นมิได้มีไอมารเฉกเช่นมารทั่วไป ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามสืบหาได้ยากยิ่งนัก

การติดตามร่องรอยในหนึ่งวันมานี้ ลากตัวพวกมารปีศาจตัวเล็กตัวน้อยออกมาได้มากมาย เพียงแต่ไม่พบร่องรอยของมารสวรรค์ที่หนีไปตัวนั้นเลย ทำให้การสืบรอยเข้าสู่ทางตัน

พวกมู่เฟิงทราบว่าพลังยุทธ์ของเจ้านายตนยังไม่ฟื้นฟูกลับมา เกรงว่าผู้เป็นนายจะถูกคนปองร้าย ดังนั้นมู่เฟิงกับมู่แหล่ยสองในสี่ทูตจึงตรงกลับมาทันที ส่วนมู่อวิ๋นกับมู่เตี่ยนก็สืบหาร่องรอยต่อไป

ตอนนี้มู่เฟิงอารักขาอยู่นอกถ้ำ อย่าว่าแต่มือสังหารเลย ต่อให้มียุงตัวหนึ่งบินเข้ามาก็จถูกมู่เฟิงฟันแยกเป็นแปดซีก ดังนั้นยามที่ตี้ฝูอีช่วยชีวิตคนอยู่ในถ้ำจึงวางใจนัก

ยามนี้ช่วยคนช่วยคนไว้ได้แล้ว และนอนหลับอยู่ข้างกายตน ตี้ฝูอีรู้สึกสบายใจยิ่ง

เมื่อตรวจสอบบาดแผลของกู้ซีจิ่วดูอีกครั้ง บาดแผลนั้นดีขึ้นแล้วจริงๆ ปากแผลเริ่มสมานตัวแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดของนางก็คลายออกไม่น้อยแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าไม่ถึงสามวัน นางก็น่าจะลุกมากระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเขาได้แล้ว กระฉับกระเฉงเต็มที่

แผนการของหลงซือเย่สูญเปล่าแล้ว…

เสี่ยวซีจิ่วยังคงมีชีวิตอยู่ในสังขารนี้ และจะมีชีวิตยืนยาวไปอีกนาน

เขายื่นมือไปจัดการเส้นผมที่ระเกะระกะอยู่หน้าผากนาง แล้วก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนางเบาๆ คราหนึ่งอย่างอดใจไว้ไม่อยู่

จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟู เขาจะต้องกลับเป็นปกติโดยเร็ว มิเช่นนั้นการถูกกระทำอยู่เสมอทำให้จิตใจของเขากระสับกระส่ายนัก เมื่อกลับสู่สภาพปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายรุกเข้าโจมตีบ้าง

ยามที่นั่งสมาธิเวลาย่อมผ่านไปรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็ล่วงมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว

ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นมา จู่ๆ ก็พบว่าท่าทางของกู้ซีจิ่วที่นอนอยู่ข้างกายดูเหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง!

————————————————————————————-

บทที่ 1068 สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?

ดวงหน้านางแดงก่ำ ตรงขมับมีเหงื่อผุดออกมาเป็นสาย มือที่อยู่ข้างลำตัวหงิกงอคล้ายเป็นตะคริว ปากจิ้มลิ้มเผยอออกนิดๆ ราวกับกำลังกรีดร้องอยู่…

นี่คือฝันร้ายอีกแล้วหรือ?!

ตี้ฝูอีใจหายวาบ ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ก่อน

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางเหงื่อออกโซมกาย ทว่ามือน้อยๆ กลับเย็นเฉียบ เสมือนแท่งน้ำแข็ง แรงกระตุกที่คล้ายอาการเป็นตะคริวทำให้มือของตี้ฝูอีที่กุมเอาไว้เจ็บไปหมดแล้ว!

ตี้ฝูอีจับชีพจรของนางก่อน พบว่าเลือดลมในร่างนางไหลเวียนรวดเร็วยิ่ง อุณหภูมิในร่างเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

คล้ายการติดเชื้อยิ่งนัก ภูมิต้านทานในร่างนางแข่งกับเชื้อโรคอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ กำลังสู้กันอย่างดุเดือด…

นางมีไข้สูง! เกรงว่าจะมีอุณหภูมิถึงสี่สิบเอ็ดองศาแล้ว!

นอกเหนือจากมือน้อยๆ ของนาง ทั่วทั้งร่างล้วนร้อนผ่าวยิ่งนัก

เมื่อคนเราบาดเจ็บหนักจะมีไข้สูงเป็นปฏิกิริยาตามปกติของคนทั่วไป ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่มีอะไรน่าตกอกตกใจ แต่กู้ซีจิ่วต่างออกไป ร่างกายของนางพิเศษ อีกทั้งฝึกฝนจนพลังวิญญาณใกล้บรรลุขั้นแปดแล้ว ซ้ำยังได้รับยาสมานแผลที่ดีที่สุดของตี้ฝูอีแล้ว นางไม่ควรจะมีไข้เลย!

ตี้ฝูอีตรวจอาการให้นางอย่างรวดเร็ว นอกจากมีไข้สูงแล้วนางไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นเลย ปากแผลก็ไม่มีวี่แววของการติดเชื้อ

สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?

“ซีจิ่ว! เสี่ยวซีจิ่ว!” ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังเรียกนาง ก็ถ่ายทอดพลังวิญญาณผ่านทางมือที่กุมกันอยู่ให้นางด้วย ระงับเลือดลมที่แทบจะซัดโหมอยู่ในร่างนาง…

ดวงตาของนางที่อยู่ภายตาเปลือกตากลอกไปมาอย่างสุดกำลัง คล้ายว่าอยากลืมตาขึ้นมายิ่งนัก ทว่าลืมขึ้นมาไม่ได้เลย

“ซีจิ่ว เจ้าใช้เคล็ดคุมจิตที่ได้รับจากข้ารักษาสิ เร็วเข้า!” เสียงของตี้ฝูอีผนึกกันเป็นเส้นบางๆ ลอดเข้าไปในหูนาง ต่อให้นางตกอยู่ในความฝันก็เชื่อว่าจะได้ยิน

ดวงตาของกู้ซีจิ่วที่อยู่ภายใต้เปลือกตายังคงกลอกไปมาอยู่เช่นเดิม ราวกับฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจเลย

เคล็กคุมจิตนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ตี้ฝูอีเพิ่งถ่ายทอดให้กู้ซีจิ่ว สะกดข่มจิตมารได้ยอดเยี่ยมที่สุด กู้ซีจิ่วเรียนรู้ได้ไวนัก เคล็ดวิชานี้นางใช้จนคล่องแล้ว บางครั้งต่อให้ฝันอยู่นางก็สามารถโคจรเคล็ดนี้ได้

หากว่านางโคจรเคล็ดนี้ ประสานกับฝีมือการรักษาอันเป็นเอกของตี้ฝูอี น่าจะทำให้เลือดลมกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

แต่ตอนนี้นางไม่มีทีท่าว่าจะสอดประสานเลย ถึงแม้ตี้ฝูอีจะฉงนใจอยู่บ้าง แต่ยามนี้มิใช่เวลามาพินิจพิเคราะห์เรื่องยิบย่อยวุ่นวายเหล่านี้ มีเพียงต้องใช้พลังวิญญาณฝืนสะกดไว้ก่อน

ด้วยวิธีนี้ความเร็วจึงช้าลงมากนัก เดิมทีครึ่งชั่วยามก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ทว่าตี้ฝูอีใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม

โชคดีที่ผลลัพธ์ยังนับว่าไม่เลว หนึ่งชั่วยามผ่านไปในที่สุดเลือดลมที่ผันผวนของนางก็กลับสู่สภาพปกติแล้ว อุณหภูมิในร่างกายที่สูงล้ำก็ลายลง ค่อยๆ ลดต่ำลงแล้ว ไม่สั่นสะท้านอยู่ในผ้าห่มประหนึ่งเป็นไข้จับสั่นอีกต่อไป

ตี้ฝูอีก็เหนื่อยจนเหงื่อออก เขาแยกออกมาร่ายคาถาชำระล้างให้ตัวเองและกู้ซีจิ่ว แล้วค่อยนั่งลงข้างกายนางอีกครั้ง หลุบตามองนางครู่หนึ่ง

ครั้งนี้คล้ายว่ากู้ซีจิ่วจะหลับอย่างสงบแล้ว หายใจล้ำลึก ดวงตาปิดพริ้ม ดูเหมือนจะไม่ฝันร้ายแล้ว

“ซีจิ่ว…”

“เสี่ยวซีจิ่ว…” เขากุมมือนางไว้ แล้วลองปลุกนางอีกสองสามครั้ง

เตรียมพร้อมว่าหากปลุกแล้วยังไม่ตื่นจะใช้วิชาเข้าฝันแล้วฝืนพานางออกมาอีกครั้ง

วิชาเข้าฝันนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณนัก หากว่าสามารถใช้วิธีอื่นเพื่อปลุกนางได้ เขาก็จะพยายามเลี่ยงไม่ใช้วิชานั้น

เคราะห์ดีที่หนนี้กู้ซีจิ่วมิได้ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่นอีก แพขนตานางสั่วไหวอยู่สองสามครา ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา

ยามที่ดวงตคู่นี้ลืมขึ้นมาคราแรกค่อนข้างงุนงงอยู่บ้าง ถึงขั้นที่ค่อนข้างซื่อบื้อ แววตาถึงขั้นที่ค่อนข้างขลาดเขลาเลยด้วยซ้ำ นางกะพริบตาติดๆ กันหลายครั้ง ในที่สุดก็รวมสายตาได้ มองดูตี้ฝูอีนิ่งๆ ริมฝีปากเผยอออกนิดๆ คล้ายต้องการจะพูดอะไร ทว่าเปล่งเสียงไม่ออกชั่วขณะ

————————————————————————————-