บทที่ 1069+1070

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1069+1070 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1069 ประเดี๋ยวข้าจะมาดูเจ้าอีกครั้ง

โดยทั่วไปแล้วหลังจากมีไข้สูงเมื่อคนตื่นขึ้นมาจะค่อนข้างทึ่มทื่ออยู่บ้าง เพียงแต่การได้เห็นสีหน้าเช่นนี้จากใบหน้าของนางช่างพบเห็นได้ยากยิ่งนัก ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “กระหายแล้วกระมัง? ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ” พลางพยิบน้ำผสมน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งมาใช้ช้อนคันเล็กป้อนให้นาง

หลังจากมีไข้สูงจะกะหายน้ำง่ายยิ่งนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงอ้าปากอย่างว่าง่ายปล่อยให้น้ำผสมน้ำผึ้งหวานชื่อไหลเข้าสู่ลำคอนาง…

นางสำลักออกมาในทันใด! สำลักอย่างรุนแรงจนทำให้นางพ่นน้ำทั้งหมดออกมา เกือบจะพ่นใส่หน้าตี้ฝูอีแล้ว

ตี้ฝูอีตะลึง

เพียงอาการไข้สูงเท่านั้น ทำให้คอนางใช้การไม่ค่อยได้เชียวหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าดื่มน้ำแค่นี้ก็สำลักแล้ว ราวกับดวงวิญญาณนางยังประสานเข้ากับร่างกายไม่สมบูรณ์

ตี้ฝูอีฉงนใจขึ้นมา วางน้ำลง กุมมือนางไว้ทันที ถ่ายทอดพลังวิญญาณสายหนึ่งเข้าไป บรรเทาอาการสำลักให้นาง

หากว่านางสำลักตามปกติ แค่ลุกขึ้นหนังตบหลังไม่กี่ทีก็ใช้ได้แล้ว แต่ตอนนี้อาการบาดเจ็บของนางเหมาะจะนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว ดังนั้นตี้ฝูอีจึงต้องใช้พลังวิญญาณช่วยให้นางสงบลงโดยตรง นับว่าเป็นการใช้ดาบเชือดวัวสังหารไก่เสียแล้ว

ในที่สุดนางก็หยุดไอแล้ว การไออย่างรุนแรงย่อมสะเทือนถึงบาดแผลด้วย ทำให้นางเจ็บจนบนหน้าผากมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาในชั่วพริบตา ครางแผ่วๆ ออกมาสองครา

ตี้ฝูอีที่กุมมือนางอยู่ชะงักไปเล็กน้อย “ซีจิ่ว?”

กู้ซีจิ่วหอบหายใจสองสามเฮือก ดวงตาใสกระจ่างคู่หนึ่งมองมาที่เขา ปากอ้าออกคล้ายอยากจะพูดอะไร ทว่าไม่ได้พูดออกมา ราวกับลำคอแหบแห้งไปแล้ว

ตี้ฝูอีมองนาง “เจ็บคอหรือ?”

กู้ซีจิ่วอ้าปากอีกครั้ง ยังคงพูดอะไรไม่ออกเหมือนเดิม ดูเหมือนนางจะรับรู้ถึงความผิดปกติได้แล้วเช่นกัน ยกมือสั่นๆ ขึ้นสัมผัสลำคอตน…

ท่าทางตอนที่นางยกมือก็ค่อนข้างแข็งทื่อเช่นกัน เพียงแค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ เช่นนี้ก็ทำให้นางเหนื่อยจนเหงื่อออกอีกแล้ว

ดูเหมือนนางก็หวาดกลัวเช่นกัน ใบหน้าฉายแววร้อนรน ดวงตามองดูเขา ดวงตาคล้ายจะมีม่านน้ำเอ่อคลอ

ตี้ฝูอีจ้องกรเคลื่อไหวของนาง แล้วมองดวงตาใสกระจ่างที่มีน้ำตาหลั่งรินคู่นั้นของนาง หัวใจจมดิ่งลงเรื่อยๆ

อาการไข้สูงนี้แปลกประหลาด เมื่ออาการไข้สูงผ่านพ้นไปนางก็เริ่มแปลกไปเช่นกัน

ราวกับหลังจากอาการไข้สูงผ่านพ้นไป สังขารนี้ก็เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…

นางไข้ขึ้นสูงจนสมองรวน หรือว่าสังขารนี้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้วจริงๆ?

ตี้ฝูอีมองนาง “อย่าขยับ! คงจะเป็นผลพวงจากการที่เจ้ามีไข้สูง บางครั้งก็เผาจนลไคอแหบแห้งไปก็มี เดี๋ยวข้าจะรักษาให้เจ้า ตอนนี้อยากพูดอะไร? เจ้าสามารถเขียนออกมาได้”

แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกับพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากร่าง ส่งให้ถึงมือนาง

กู้ซีจิ่วฝืนจับไว้ มือนางสั่นเทาอย่างหนัก เขียนไม่ออกชั่วขณะเช่นกัน

นางร้อนรนทันที น้ำตาไหลพรากมากกว่าเดิม ย้อยลงจากหางตาของนาง

ตี้ฝูอีมองหยาดน้ำตาตรงหางตานาง ลอบกำหมัด กู้ซีจิ่วมิใช่เด็กสาวที่ขี้แยถึงเพียงนี้ บ่อยครั้งที่นางหลั่งโลหิตทว่าไม่หลั่งน้ำตา…

หัวใจเขาราวกับจมลงไปในธารน้ำแข็ง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไร ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเขียนไม่ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนไปก่อนแล้วกัน หลังจากมีไข้สูงก้มีบ้างเช่นกันที่ไร้เรี่ยวแรง ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

เขาตบมือน้อยของนางเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ หันหลังหมายจะออกไป จู่ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาพูด “ใช่แล้ว ซีจิ่ว บาดแผลบนร่างเจ้าสาหัสเกินไป ข้าทำได้เพียงรักษาให้เจ้าอย่างคร่าวๆ ถ้าจะรักษาให้หายขาด ยังคงต้องให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงมือด้วยตัวเอง รอให้เจ้าค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปพบเขา”

ดวงตากู้ซีจิ่วส่องประกายนิดๆ พยักหน้าเบาๆ

มือเท้าของตี้ฝูอีเย็นเฉียบไปหมดแล้ว!

กู้ซีจิ่วที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ทราบเลยว่าเขาก็คือตี้ฝูอี!

————————————————————————————-

บทที่ 1070 แทบจะเข้าโลงได้ทุกเมื่อ!

เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่ตั้งใจ “อ่อ ใช่แล้ว บาดแผลบนร่างเจ้าสรุปแล้วเป็นหลงซือเย่แทงหรือว่าเป็นเย่หงเฟิงแทงกันแน่? เจ้ายังจำได้หรือเปล่า? หากเป็นหลงซือเย่ เจ้าก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง หากเป็นเย่หงเฟิง เจ้าก็กะพริบตาสองครั้ง ข้าจะหาทางล้างแค้นให้เจ้า แทงผู้ที่แทงเจ้ากลับไป! ผู้ที่ทำร้ายเจ้าข้าจะเอาคืนมันสิบเท่าเลย!”

กู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว นิ่งอยู่สักพัก กะพริบตาก่อนหนึ่งครั้ง แล้วกะพริบตาอีกหนึ่งครั้ง

ตี้ฝูอีถอนหายใจ “นี่สรุปว่าเจ้ากะพริบตาหนึ่งครั้งหรือว่าสองครั้งกันแน่?”

กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กระพริบตาติดต่อกันสองครั้ง

ถึงยามนี้ตี้ฝูอีทราบเรื่องราวโดยรวมอย่างแจ่มแจ้งแล้ว!

นางมิได้ไข้ขึ้นสูงจนความจำเสื่อม แต่เป็นสังขารนี้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว!

เขามองนางอีกแวบหนึ่ง “พักผ่อนให้ดีเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะมาดูเจ้าอีกครั้ง” ครั้งนี้หมุนกายเดินออกไปทันที

มู่เฟิงยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างทุ่มเทกายใจ เมื่อเห็นเขาออกมา ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงหาเขาโดยตรง ‘อย่าพูดฐานะของข้า! เรียกข้าว่าเหยียนนั่วก็พอ’

มู่เฟิงตะลึงไปแวบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่

ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงหาเขาอีกครั้ง ‘เรียกมู่เตี่ยนกลับมาโดยด่วน ข้ามีเรื่องจะให้เขาทำ’

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการผู้ใดน้อยครั้งนักที่จะคำว่า ‘โดยด่วน’ เห็นทีว่าเรื่องนี้จะเร่งด่วนยิ่งนัก

มู่เฟิงรีบไปทำตามคำสั่งทันที

ตี้ฝูอีออกห่างจากถ้ำแห่งนั้น จากนั้นก็ใช้ป้ายหยกติดต่อกับมู่เหล่ยที่ยังคงเฝ้าอยู่ที่สำนักถามสวรรค์ เห็นหน้าก็ถามเขาทันที “หลงซือเย่กับเย่หงเฟิงออกมาจากห้องหลอมโอสถหรือยัง?”

มู่เหล่ยตอบว่า “ยังขอรับ นับตั้งแต่พวกเขาเข้าไปก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย เย่หงเฟิงผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ บางทีหลงซือเย่อาจจะรักษานางอยู่ในห้องกระมัง?”

“เฝ้าอยู่ที่นั่นต่อไป ประเดี๋ยวข้าจะไป! ก่อนที่ข้าจะไปถึง ต่อให้มีแมลงวันสักตัวบินออกมาจากข้างในก็ต้องรายงานให้ข้าทราบ!”

“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

ตี้ฝูอีสูดหายใจนิดๆ กลับไปที่ถ้ำอีกครั้ง กู้ซีจิ่วยังคงนอนอยู่ตรงนั้น กำลังมองยอดถ้ำอยู่ ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไร

เมื่อได้ยินเสียงเขาเข้ามา สายตาของนางก็หันเหมาที่เขาทันที

ตี้ฝูอีมองนาง สุ้มเสียงเป็นห่วงเป็นใย “ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วพยักหน้านิดๆ ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “เย่หงเฟิง…”

นิ้วมือกู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อ ม่านตาหดตัวแวบหนึ่ง

ตี้ฝูอีกล่าวต่อไปว่า “มีดเล่มนั้นของเย่หงเฟิงเคลือบพิษที่ทำให้บาดแผลเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงแม้ข้าจะใช้โอสถวิญญาณของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยขจัดให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว แต่พิษหลักยังไม่ถูกขจัดออก ถ้าต้องการขจัดออกอย่างสมบูรณ์ต้องใช้วิธีการอย่างหนึ่ง”

กู้ซีจิ่วมองเขาดวงตายเผยแววสงสัย

ตี้ฝูอีกล่าวไปว่า “เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างเจ็บปวด อีกเดี๋ยวยามที่ข้าดำเนินการให้เจ้าเจ้าต้องอดทนไว้นะ”

กู้ซีจิ่วตัวเกร็งทันที ปลายจมูกมีเหงื่อผุดออกมา ดูเหมือนนางจะกลัวเจ็บ ดวงตามีแววขัดขืนวาบผ่าน ส่ายหน้าไม่หยุด

เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีที่อยู่ตรงหน้าไม่เข้าใจภาษากายของนาง ยิ้มอย่างปีติแวบหนึ่ง “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่กลัวเจ็บใช่ไหม? เพียงอยากจะดีขึ้นเร็วหน่อยใช่หรือไม่? ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นแม่นางผู้ทรหดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นก็ยังไม่ร้องออกมาสักคำเลย”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ในที่สุดนางก็ไม่ส่ายหน้าอีกแล้ว

เขาลากหินแก้วผลึกก้อนหนึ่งมานั่งลงตรงข้ามนาง มองนางอย่างอ่อนโยร “เพื่อจะได้หายดีในเร็ววัน อดทนหน่อยได้ไหม?”

ฝ่ามือค่อยๆ ยกขึ้น มีแสงสีขาวผุดวาบออกมาจากฝ่ามือเขา ครอบลงที่ศีรษะนาง

สีหน้ากู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง หดตัวตามสัญชาตญาณ แต่การหดนี้สะเทือนถึงบาดแผลบนร่างอีกครั้ง เจ็บจนนางทนไม่ไหวร้องออกมาเบาๆ

————————————————————————————-