ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 159 คืนนี้ ค้างที่นี่

เดิมหนานหว่านเยียนตั้งใจดูเรื่องสนุก ตอนนี้ไฟโดดมาใส่นางแล้ว ไม่มีเหตุผลที่นางจะไม่รับ

นางพูดกับกู้โม่เฟิงอย่างคมมีดว่า “ข้าเก่งหรือไม่เก่ง แลดูสง่างามหรือไม่ อ๋องเฉิงไม่ต้องเป็นห่วง แต่เจ้าในฐานะที่เป็นแม่ทัพ ไม่คำนึงถึงชีวิตคน เห็นชีวิตคนไร้ค่า ไม่มีความเมตตา อีกอย่างคำพูดของสุภาพบุรุษ เมื่อเราพูดออกไปแล้ว ก็ต้องรักษาสัจจะ วันนั้นยังติดค้างคำขอโทษข้า ยังรับปากว่าจะขอโทษต่อหน้าทุกคนในค่ายทหาร แต่เรื่องเล็กแค่นี้อ๋องเฉิงกลับทำไม่ได้ตามที่รับปาก นี่เรียกว่าอะไร? ตัวตลกคนต่ำทราม?”

“เจ้า” กู้โม่เฟิงจ้องเขม็งหนานหว่านเยียนอย่างโกรธเกรี้ยว แอบกำหมัดแน่น แต่มีไทเฮาอยู่ด้วย เขาไม่กล้าทำอะไร ทำได้เพียงพูดขึ้นว่า “เจ้าบังอาจยิ่งนัก ว่าใครเป็นตัวตลกคนต่ำทราม?”

หนานหว่านเยียนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “ใครทำตัวแบบนั้น ก็คนนั้นแหละ”

กู้โม่เฟิยิ่งยิ่งโกรธจัด กู้โม่หานขยับไปใกล้หนานหว่านเยียน สามารถบดบังสายตาเขาได้พอดี

สายตาทั้งสองพี่น้องมองสบตากัน การต่อสู้ที่เงียบงัน ฉายประกายไปทั่ว

หนานชิงชิงเดินมาแทรก นางยืนตรงหน้าระหว่างทั้งสองคน พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า “ต่างเป็นพี่น้องกัน อย่าคุยกันถึงเรื่องไม่ดีเลย น้องสาวรีบพาอ๋องอี้ไปทานข้าวกับเจ้า เสด็จย่ายังรออยู่เลย”

หนานหว่านเยียนไม่จำเป็นต้องอวดดี ไม่นาน นางก็จะทำให้หนานหว่านเยียนหัวเราะไม่ออก

หนานหว่านเยียนกลับพูดขึ้นมาว่า “พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงข้า สนใจอ๋องเฉิงก่อนเถอะ วันนี้เขาขุ่นเคืองอย่างรุนแรง อารมณ์ร้าย ระวังจะเป็นเนื้องอก”

ไม่มีใครฟังรู้เรื่องว่าเนื้องอกคืออะไร แต่ทุกคนต่างรู้ว่าไม่ใช่คำที่ดีอะไรแน่

การต่อสู้ระหว่างทั้งสี่คนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อกันกำลังจะแผ่ซ่านออกมาแล้ว

ไทเฮาที่รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างทั้งสี่คนเป็นอย่างดี รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก

โชคอาภัพ โชคอาภัพจริงๆ….

กู้โม่เฟิงอดทนไม่ไหว เขาสะบัดแขนเสื้อ ฝ่ามือกำลังจะฟาดตบลงไป พร้อมพูดขึ้นว่า “หนานหว่านเยียน วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ผู้หญิงโอหังอวดดีและกำเริบเสิบสาน”

เขาถลึงดวงตาแดงก่ำ ไม่สามารถยับยั้งความโกรธโมโห พวยพุ่งแรงทั้งหมดไปหาหนานหว่านเยียน

เวลานี้ เสียงอันน่าเกรงขามของไทเฮา ดังมาจากข้างในตำหนัก….

“อ๋องเฉิง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ เยียนเอ๋อร์เป็นคนที่เจ้าสามารถสั่งสอนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“โอรสราชวงศ์ลงมือทำร้ายคนภายในตำหนัก เหมาะสมตรงไหน หากข้าไปฟ้องฮ่องเต้ เจ้าลองคิดดูว่าเจ้าจะถูกลงโทษยังไง?”

พูดเสร็จ มือกู้โม่เฟิงก็ค้างอยู่กลางอากาศ เขาถลึงตาจ้องเขม็งหนานหว่านเยียน กู้สติกลับคืนมา ยับยั้งความโกรธเคืองไว้แล้วชักมือกลับ

แต่เมื่อเขามองเห็นท่าทีหนานหว่านเยียน เขาก็อดโกรธโมโหไม่ได้ พูดขึ้นอย่างประชดประชันว่า “กู้โม่หาน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เจ้าก็มองเห็นแล้ว หนานหว่านเยียนผู้หญิงไม่มีมารยาทแบบนี้ ไม่มีความเป็นพระชายาเลย ปกติชอบเสนอหน้าเสนอตาก็ช่างเถอะ ยังกล้าไปดูร่างกายผู้ชายคนอื่นถึงในค่ายเสินเชื่อ”

“เจ้าก็ไม่หักห้ามตัวเองเลย ผู้หญิงอะไรก็กล้าเอา ไม่กลัวเปื้อนร่างกายตนเองหรือ”

หนานหว่านเยียนใช่ไหม?

ฝีปากเก่งกล้าขนาดนี้ วันนี้เขาจะทำให้ลิ้นที่นุ่มนวลของนางกลายเป็นมีดคมที่ทิ่มแทงตนเอง

ฟังคำพูดของกู้โม่เฟิงแล้ว สายตาหนานชิงชิงฉายแววไม่พอใจ

กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนยังไม่ทันพูดว่าอะไร ความดูถูกในสายตากู้โม่เฟิงยิ้มเข้มข้นขึ้น

“เมื่อกี้ตอนที่ข้ากลับมาจากตำหนักฮองเฮา ยังได้พูดถึงเรื่องนี้ เสด็จแม่พูดแล้วว่า ผู้หญิงไม่มีความสามารถถือเป็นคุณธรรม อย่างชิงชิงเราดีที่สุด”

ไม่เหมือนหนานหว่านเยียน วันๆเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ทำตัวหน้าไม่อาย แบกรับความอัปยศอดสูเพียงใดไม่ว่า แม้แต่ชื่อเสียงจวนเฉิงเซี่ยงก็ทำให้ฉาวโฉ่

ตอนนี้นางมีไทเฮารักใคร่โปรดปรานแล้วยังไง? ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ฮองเฮาก็พูดแล้วว่า ต้องหาเวลาสั่งสอนหนานหว่านเยียน ให้นางชูหางขึ้นมาไม่ได้

หนานชิงชิงยิ้มหวานให้กับกู้โม่เฟิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องกับเสด็จแม่ชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันไม่มีความสามารถทางการแพทย์เหมือนอย่างน้องสาว และก็ไม่มีใจพระเหมือนอย่างน้องสาว วันๆก็ทำได้เพียงดูแลงานในบ้าน”

“ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระท่านอ๋อง หม่อมฉันยังรู้สึกผิด”

แต่เมื่อก่อนหนานหว่านเยียนไม่ได้เป็นแบบนี้ นางให้หนานหว่านเยียนทำอะไร หนานหว่านเยียนมีแต่จะเชื่อฟัง หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าทานยาอะไรผิดไป ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้น่าโมโหยิ่งนัก

กู้โม่เฟิงกลับหัวเราะเย้ย สายตาหันไปกวาดมองใบหน้าหนานหว่านเยียน พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว อย่าเหมือนอย่างนาง ก่อเรื่องไปทั่ว”

หนานหว่านเยียนมีหรือจะยอมให้ตัวตลกคนต่ำทรามสองคนโจมตี นางยกมือกอดอก สีหน้าเย็นชา กำลังจะพูดขึ้นมา จู่ๆก็มีเงาร่างสูงใหญ่มายืนอยู่ตรงหน้าหน้า

กู้โม่หานมองดูกู้โม่เฟิงอย่างเย็นชา พร้อมพูดขึ้นดั่งคมมีดว่า “ต่อให้หนานหว่านเยียนเป็นยังไงก็เป็นพระชายาของข้า นางไปช่วยชีวิตทหารหลายคนในค่ายทหารก็ล้วนเป็นเพราะข้าอนุญาต อ๋องเฉิงยังจะเอามาพูดเหน็บแนม หากไม่มีนาง เจ้ายากที่จะหลุดพ้นจากความผิด ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงผู้ชายไร้ความสามารถ ที่ใช้วาจาหยาบคายโจมตีผู้หญิง”

ได้ยินสองคนนี้พูดว่าหนานหว่านเยียนอย่างย่ำแย่ เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยืนออกมาเหมือนถูกผีผลัก

แต่จะว่าไปแล้ว เขาเกลียดหนานหว่านเยียนเป็นความจริง เพราะหนานหว่านเยียนชั่วร้ายมาก ทุกคนในตระกูลหนานชั่วร้ายหมด

แต่สำหรับกู้โม่เฟิง หนานหว่านเยียนน่าจะเป็นผู้มีพระคุณของเขาถึงจะถูก ความสามารถสู้เขาไม่ได้ ด่าเถียงนางก็ไม่ไหว ใช้วาจาว่าร้ายหนานหว่านเยียน คนขี้ขลาดตาขาว

หนานหว่านเยียนตกตะลึง

นางคิดไม่ถึงว่ากู้โม่หานจะปกป้องนาง เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ ถูกผีสิงหรือเปล่า?

แต่…คำพูดของกู้โม่หาน มั่งใจว่าไม่ได้ด่าตนเอง?

ไฟแห่งความโกรธของกู้โม่เฟิงพวยพุ่งขึ้นมา เดือดเป็นฟืนเป็นไฟจนแทบจะลงมือเป็นครั้งที่สอง

กู้โม่หานคนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆหรือ? ด่าว่าเขาก็ช่างเถอะ ยังกล้าว่าเขาไม่มีความสามารถต่อหน้าไทเฮา?

หนานชิงชิงขมวดคิ้ว รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา จึงยกมือขึ้นมากุมขมับ ประคองกู้โม่เฟิง พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านอ๋อง เมื่อกี้หม่อมฉันทานกุ้งเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบาย เรากลับกันเถอะ?”

นางรู้สึกสัมผัสได้ว่า กู้โม่หานเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อตอนที่เขาออกมาปกป้องหนานหว่านเยียนไว้ด้านหลัง หนานชิงชิงเจ็บปวดทรมานอย่างบอกไม่ถูก

“กลับ” กู้โม่เฟิงสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ ก่อนไปได้ถลึงตาใส่หนานหว่านเยียนสองสามีภรรยา แล้วก็เดินจากไป

น่าโมโหยิ่งนัก สองคนที่ทำให้เขาอับอายขายหน้า เขาจะต้องรีบกำจัดโดยเร็ว

ไม่อย่างนั้น เขาจะเป็นว่าที่กษัตริย์ได้อย่างไร?

หนานหว่านเยียนมองดูหนานชิงชิงไปเสียแบบนี้ อย่างขมวดคิ้ว

หนานชิงชิงไม่เหมือนหยุนอี่ว์โหรว เป็นถึงพระชายา เบื้องหลังมีฮองเฮา การที่นางจะได้เจอหนานชิงชิงนั้นไม่ง่าย ดังนั้นครั้งที่แล้วที่ทำร้ายฮูหยินของเฉิงเซี่ยง ก็เพื่อล่องูออกจากถ้ำ

วันนี้ได้เจอพระชายาเฉิงแล้ว กลับยังคงไม่มีโอกาสได้ถามเรื่องลอบทำร้าย น่าเสียดายยิ่งนัก

ในขณะที่นางยังครุ่นคิดอยู่ ข้างหลังก็มีเสียงไทเฮาดังขึ้นมาอย่างชื่นชมว่า “ไม่เลวไม่เลว ข้าเห็นแล้วว่าเดี๋ยวนี้อ๋องอี้เปลี่ยนไปแล้ว รู้จักปกป้องภรรยาของตนแล้ว”

“ดวงใจของข้าดวงนี้ ในที่สุดก็ค่อยวางใจแล้วไม่น้อย”

เดิมไทเฮายิ่งอยู่ก็ยิ่งโกรธจัด แต่เห็นกู้โม่หานเริ่มรู้จักออกหน้าปกป้องหนานหว่านเยียนแล้ว อ๋องเฉิงสองสามีภรรยาก็จากไปอย่างรู้ตัว ความไม่พอใจของนาง ค่อยๆจางหายไป

หลี่หมัวมัวคอยช่วยอยู่เคียงข้างไทเฮา นางอยู่ในวังมานาน เห็นอุบายเล่ห์เหลี่ยมมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา นางรู้เห็นมาตลอด

ซึ่งก็ซับซ้อนจริงๆ

ถึงหนานหว่านเยียนไม่พอใจ แต่ตอนนี้ก็รวบเก็บความคิด พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า

“เสด็จย่าอย่างโกรธนะ เมื่อกี้เยียนเอ๋อร์พูดจารุนแรงไป ทำให้อ๋องเฉิงไม่พอใจ ทำให้ท่านอ๋องต้องมีปากเสียงกับเขา”

เหล่าไท่ไท่อายุมากแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากนางโกรธโมโหจนเป็นอะไนไป จะแย่เอา

อีกอย่าง ควรเคารพนับถือผู้สูงอายุและรักเด็ก ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลัง ไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรทำให้ผู้อาวุโสต้องเป็นกังวล

กู้โม่หานก็ไม่อยากเห็นเหล่าไท่ไท่เป็นอะไรไป แววตาอ่อนโยนลง รวบเก็บความขุ่นเคืองใจไว้

“เมื่อกี้หลานพูดจาไม่สุภาพกับอ๋องเฉิง ทำให้เสด็จย่าต้องเป็นกังวลแล้ว”

ไทเฮายิ้มโบกมือ บ่งบอกให้หลี่หมัวมัวหยุด แล้วพูดกับพวกเขาสองคนอย่างเมตตาอ่อนโยนว่า “ดี ดี ข้าชอบดูเวลาที่พวกเจ้าสองสามีภรรยารักกัน”

“แต่เวลาก็ไม่เช้าแล้ว อ๋องอี้ เจ้ากับเยียนเอ๋อร์อยู่ค้างที่นี่ คืนนี้ พยายามเข้านะ ข้ารออุ้มลูกของพวกเจ้า”

นางคิดว่า สองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องยิ่งอยู่ยิ่งดี อย่างน้อยตอนนี้ กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี

แต่การมีลูก ถือเป็นเรื่องใหญ่ในตอนนี้ คืนนี้นางจะปล่อยให้สองคนนี้หนีรอดไปไม่ได้

หนานหว่านเยียนมองดูสายตาอ่อนโยนของไทเฮา แล้วก็ขนลุกขึ้นมาทันที

หนีไม่พ้นแล้ว…..