บทที่ 160 ราตรีในวสันตฤดูมีมูลค่าทองพันชั่ง

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 160 ราตรีในวสันตฤดูมีมูลค่าทองพันชั่ง

หนานหว่านเยียนแอบยื่นมือไปสะกิดกู้โม่หาน กระซิบพูดข้างหูของเขาว่า “รีบคิดหาวิธีสิ”

ไม่อย่างนั้นคืนนี้พวกเขาสองใครก็อย่าคิดว่าจะได้สุขสบายดี

กู้โม่หานเองก็ไม่ยินยอม เขาหรี่ตาลง คำพูดมาถึงปลายลิ้นอย่างไม่ทันได้พูดออกมา ไทเฮาก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว คืนนี้พวกเจ้าอยู่ค้างที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง ใครก็ห้ามกลับ”

วกไปวนมา ยังต้องให้นางแข็งข้อ

หนานหว่านเยียนมองดูไทเฮาอย่างน่าสงสาร พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จย่า เยียนเอ๋อร์กับท่านอ๋องกลับจวนไปแล้วก็จะรักใคร่ปรองดองกัน”

ไทเฮากลับพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก จนถึงตอนนี้เจ้ากับอ๋องอี้ยังแยกเรือนกันอยู่ นึกว่าข้าไม่ออกไปไหนแล้วจะไม่รู้อะไรเลยหรือ?”

นางพูดมาอย่างรู้ทัน หนานหว่านเยียนผิดหวังแต่ก็ไม่ยอมแพ้

นางแกล้งทำเป็นปวดหัว ยกมือกุมหัวพร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ข้า ข้าปวดหัว เสด็จย่า ให้เยียนเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนดีไหม”

“ปวดท้อง ปวดท้องด้วย”

กลัวที่สุดก็คือบรรยากาศเงียบงันอย่างฉับพลัน หนานหว่านเยียนแสดงละครอยู่คนเดียว แลดูเก้อเขินยิ่งนัก

แต่นางไม่ยอมแพ้ ยังอยากพยายามต่อไป

หลี่หมัวมัวคว้าจับข้อมือหนานหว่านเยียน พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ภายในวังมีหมอหลวงเยอะแยะ ในเมื่อพระชายาไม่สบาย งั้นก็ยิ่งต้องอยู่ค้างที่นี่”

หนานหว่านเยียนร่ำร้องอย่างใจสลาย

ก็ได้ นางยอมแพ้….

ไทเฮาผงกหัวอย่างพอใจ “พาพระชายาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อ๋องอี้ คืนนี้พวกเจ้าพักที่เรือนซีหย้วน พรุ่งนี้เช้า ทานข้าวเช้ากับข้าแล้วค่อยกลับจวน”

หนานหว่านเยียนแทบจะถูกคุมตัวไป นางคิดไม่ถึงเลยว่า หลี่หมัวมัวอายุเยอะขนาดนี้แล้ว ยังมีเรี่ยวแรงเยอะขนาดนี้ นางไม่สามารถที่จะดิ้นรนได้เลย

นางต่อต้านการนอนค้างคืนที่นี่จากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ นางไม่อยากมีอะไรกับกู้โม่หานที่นี่ นางอยากกลับบ้านไปกอดลูก

กู้โม่หานกลับแสดงท่าทีเหมือนสมน้ำหน้า ลืมไปว่าตนเองก็ต้องอยู่ค้างที่นี่เหมือนกัน

คิดไม่ถึงว่า หนานหว่านเยียนที่ชอบกระโดดโลดเต้นตรงหน้าเขานั้น ก็มีวันนี้เหมือนกัน

ยังสะใจมากด้วย

หลี่หมัวมัวพาหนานหว่านเยียนมายังห้องอาบน้ำเรือนซีหย้วน หลังจากยกนางให้กับพวกนางกำนัลหลายคนแล้ว ก็หันกลับไปยังตำหนักใหญ่

หลังจากหนานหว่านเยียนไปแล้ว กู้โม่หานก็หันกลับมา กำลังจะบอกว่าทูลลา ที่ไหนได้มีขันทีสองคนเดินเข้ามา ยืนข้างซ้ายขวาของเขา แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง เชิญ?”

กู้โม่หานหันกลับมามอง สายตาไทเฮาเห็นได้ชัดถึงความสมหวัง

ที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรมาก ยังไงก็แค่นอนหนึ่งคืน เขาไม่มีทางทำอะไรหนานหว่านเยียน ดังนั้นจึงสะบัดแขนเดินตามขันทีสองคนนั้นไปยังเรือนซีหย้วน

หลี่หมัวมัวกลับมายังตำหนักใหญ่ หลังจากให้บ่าวใช้เก็บโต๊ะอาหารแล้ว ค่อยช่วยไทเฮานวดขมับ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไทเฮาเหนียงเหนียงมีเรื่องอยู่ในใจหรือเปล่า?”

นายบ่าวสองคนอยู่ด้วยกันมานาน ต่างก็รู้ใจกันไปเสียทุกเรื่อง

ไทเฮาถอนหายใจ แสงเทียนริบหรี่สว่างไสวอยู่ในห้องโถง นัยน์ตาไทเฮาลึกซึ้งเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่า ข้ากำลังคิดอะไรอยู่?”

หลี่หมัวมัวก็ไม่บอกปัด พูดขึ้นทันทีว่า “บ่าวคิดว่า ท่านเป็นห่วงหนานชิงชิงคนนั้น”

“พระชายาเฉิงแลดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ความจริงแล้วนั้นชั่วร้าย ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านเกลียดชังที่สุด”

นางรู้ดี ไทเฮาไม่มีทางยอมให้พี่น้องสองคนทะเลาะกันเพราะเรื่องผู้หญิงให้อับอายขายหน้า โดยเฉพาะในฐานะที่พวกเขาเป็นคนในราชวงศ์ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม

ไทเฮาผงกหัว จ้องมองไปทางทิศที่กู้โม่หานจากไป แล้วพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยตรัสไว้ ลูกหลานมีบุญของลูกหลาน แต่ข้าคิดว่า สิ่งของบางอย่าง ต้องอาศัยตนเองแย่งชิงมา”

“อ๋องเฉิงมีความทะเยอทะยาน มีความมุ่งมาดมีความกล้าหาญ แต่นิสัยการกระทำคดงอไม่ซื่อตรง”

“อ๋องอี้เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเด็กคนนั้น มีแม่เป็นอัมพาตนอนติดเตียงตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกรังแกเหยียดหยามดูแคลนตั้งแต่เล็กตั้งเท่าไหร่ น่าสงสารยิ่งนัก”

ถึงหลี่หมัวมัวจะรู้ว่าวังหลังห้ามยุ่งเรื่องราชสำนัก แต่ตอนนี้มีเพียงพวกนางนายบ่าวสองคน ดังนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “งั้นท่าน เห็นอ๋องอี้สำคัญกว่าอ๋องเฉิง อยากที่จะ….”

สนับสนุนให้กู้โม่หานเป็นองค์ชายรัชทายาท?

ไทเฮาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยั่งลึกว่า “อ๋องอี้มองการณ์ไกลและมีกลยุทธ์ เป็นทหารอัจฉริยะมีผลงานที่เก่งกาจ ไม่ว่าทางด้านไหน ก็ล้ำหน้าอ๋องเฉิงอย่างมาก แต่หากปีมานี้ไม่สร้างผลงานอะไร ค่อนข้างหลีกเลี่ยงไม่แย่งชิง”

“หลี่หมัวมัว ภายในวังมีเรื่องเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา วันเวลาในอนาคต ข้าต้องเตรียมการไว้แต่แรก”

“ทางด้านหนานชิงชิง ช่วงนี้เจ้าส่งคนไปคอยจับตาดู ข้ามักรู้สึกว่า นางมีแผนอะไรบางอย่าง”

ที่เหลือก็คือหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หาน

คืนนี้ พวกเขาต้องสมปรารถนา ดีที่สุดคือครั้งเดียวได้ลูกสาวเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีลูกสาวสักคนมาเป็นรัชทายาท ลูกชายค่อยเอาภายหลังก็ไม่สาย

หลี่หมัวมัวผงกหัวอย่างเข้าใจ พร้อมประคองพาไทเฮาไปพักผ่อน

ทางด้านกู้โม่หาน ก็ถูกขันทีสองคนพาเข้าไปในเรือนซีหย้วน ก่อนที่ขันทีสองคนจะจากไปยังไม่ลืมที่จะพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ราตรีในวสันตฤดูมีมูลค่าทองพันชั่ง ท่านต้องรีบอาบน้ำนะ”

“อุปกรณ์อาบนี้ได้เตรียมไว้ให้ท่านครบหมดแล้ว หากต้องการอะไรอีก เรียกสั่งบ่าวได้เลย”

“ไสหัวไป” กู้โม่หานสีหน้าบูดบึ้ง หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเป็นคนของไทเฮา เขากระถืบกระเด็นแต่แรกแล้ว

เขาดื่มชาอย่างโกรธเคืองปลดเข็มขัดบนตัวแล้วแขวนไว้บนม่านกั้น พร้อมหันไปอาบน้ำในห้องด้านข้าง

กู้โม่หานเห็นว่าน้ำร้อนเกินไป จึงเทน้ำเย็นลงไปหนึ่งถึง ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ยื่นเข้าไป ล้างอย่างขอไปที

อยู่ในค่ายทหารจนเคยชินกับการทำอะไรลวกๆ เขาไม่ชอบมีคนมากมายมาคอยปรนนิบัติ

กวาดสายตามองดูรอบๆ กู้โม่หานหรี่ตาแคบลง มีเตียงแต่อันเดียว เสด็จย่าคนดีของเขาเตรียมพร้อมไปหมดจริงๆ

แต่เมื่อเขาคิดดูอีกที จู่ๆก็เลิกคิ้วหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่นี่อยู่ในวัง พื้นที่ของข้า”

นั่นก็หมายความว่า คืนนี้เขาสามารถให้หนานหว่านเยียนนอนพื้นได้อย่างสมเหตุสมผล

เวรกรรมมีจริง หนานหว่านเยียนคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้?

แล้วสายตากู้โม่หานก็เปลี่ยนไป รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบนร่างกาย ลมหายใจคลุ้มคลั่งเคลื่อนไหวไปตามร่างกายของเขา ตรงไปจนถึงหัวสมอง

รูม่านตาของเขาหดลงอย่างกะทันหัน…..

ส่วนอีกด้าน หนานหว่านเยียนถูกพวกนางกำนัลปรนนิบัติ สุดท้ายในที่สุดก็เข้าไปแช่ในอ่างน้ำ วินาทีที่นางเข้าไปแช่ในอ่างนั้นรู้สึกสบาย แต่เมื่อคิดว่ารอบกายมีคนล้อมรอบมากมายขนาดนี้ นางก็รู้สึกอึดอัดอย่างมาก

นางกำนัลคนหนึ่งถือตะกร้ากุหลาบมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมพูดกับนางอย่างเคารพว่า “พระชายา บ่าวโรยกลีบกุหลาบให้ท่าน”

พูดเสร็จ นางก็เทกลีบดอกไม้สีชมพูละเอียดอ่อนในตะกร้าลงในอ่างอย่างระมัดระวัง ตะกร้าหนึ่งไม่พอ เอามาอีกหนึ่งตะกร้า

หนานหว่านเยียนมองดูอยู่อย่างตกตะลึงตาค้าง จมลงไปในน้ำอย่างทำตัวไม่ถูก

“คือ…พวกเจ้าออกไปก่อนได้ไหม ข้าทำเองก็พอ”

พวกนางกำนัลตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่ได้ ไทเฮาเหนียงเหนียงสั่งไว้แล้ว ให้พวกบ่าวเฝ้าพระชายาไว้ให้ดี ปรนนิบัติดูแล แต่งตัวให้ท่านสวยที่สุด”

หนานหว่านเยียนยิ้มหัวเราะอย่างเขินอาย ภายใต้การถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ในที่สุดก็เสร็จสิ้นการ “อาบน้ำด้วยกลีบดอกไม้” นี้

อาบน้ำเสร็จ พวกนางก็พาหนานหว่านเยียนมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หวีผมจัดทรงให้นางอย่างละเอียดอ่อน

หนานหว่านเยียนกลั้นลมหายใจ แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ไม่เสียแรงที่เป็นคนสมัยโบราณ มีพิธีรีตองมากมายขนาดนี้เลยหรือ? มีใครที่ไหนมีความอดทนได้ถึงขนาดนี้ ไม่เร่งรีบตะคุบเหมือนเสือหิวหรือ?

สายตาของนางสั่นไหว สีหน้าบูดบึ้งอย่างมาก

แต่ว่า หากวันนี้กู้โม่หานกล้าแตะต้องนาง ไม่ตาย ก็จะทำให้เขากลายเป็นขันที

หนานหว่านเยียนครุ่นคิดอยู่อย่างไปเรื่อย ไม่ทันได้สังเกตว่าพวกนางกำนัลหลายคนได้เริ่มสวมเสื้อผ้าให้นางแล้ว

หนานหว่านเยียนรู้สึกได้ถึงลมที่พัดเข้ามา แผ่นหลังเย็นวาบ เมื่อนางก้มดู นี่ใช่ชุดนอนตรงไหน นี่เห็นได้ชัดว่าเป็น….

นางเบิกตาโตขึ้นมาทันที มองดูนางกำนัลพวกนั้นแล้วถามขึ้นว่า “สวมอันนี้? ไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่นแล้วหรือ?”

พวกนางกำนัลยังคงพูดตอบฝืนยิ้มว่า “ไม่มีแล้ว”

หนานหว่านเยียนไม่เชื่อ เดินผ่านพวกนางไปค้นดูในตู้เสื้อผ้า สุดท้ายพบว่า ที่นางสวมอยู่ตัวนี้ยังดี ที่เหลือยิ่งไม่น่ามอง

หนานหว่านเยียนยอมรับความจริงทั้งน้ำตา ไม่เป็นไร เดี๋ยวเข้าห้องไปก็แย่งเอาผ้าห่มมา

ห้องนี้เชื่อมต่อกับห้องที่กู้โม่หานอยู่ในตอนนี้ พวกนางกำนัลพานางเดินผ่านระเบียง มาถึงแล้วก็พูดขึ้นว่า “ถึงแล้ว เชิญพระชายา”

หนานหว่านเยียนกัดฟัน แล้วยอมเดินเข้าไป

ที่ไหนได้นางเพิ่งเข้าไป ก็ได้ยินเสียงล็อกประตูดังนั้นทางด้านหลัง

ประตูถูกล็อกแล้ว…