ในช่วงที่สงครามระหว่างวิหคหนามเพิ่งจะจบลง

อีกด้านหนึ่ง

ลึกลงไปในโลกเก้าร้อยล้านชั้น

โลกที่แห้งแล้งและแสนห่างไกล

โลกที่ซึ่งไม่ว่าผู้มีอิทธิพลใด ก็ไม่มีใครความสนใจในโลกใบนี้

หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีนับไม่ถ้วนเพื่อเฝ้าตรวจสอบ โลกใบนี้ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งมากที่สุด

เพราะไม่ว่าจะทดลองปลูกสิ่งใดในโลกใบนี้ มันก็ไม่มีอะไรสามารถเติบโตได้เลย ทว่าในขณะเดียวกัน ความทนทานของโลกทั้งใบกลับสูงลิ่ว มันเป็นการยาก เป็นการยากมากจริงๆ ที่จะถูกทำลายลง

โลกใบนี้มีขนาดเล็กมาก มันสามารถรองรับผู้คนได้ไม่กี่ร้อยชีวิตในเวลาเดียวกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ กลับมีผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนมารวมตัวกันที่นี่

พวกเขาล้วนมาจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ และเพิ่งกลับมาจากสงคราม

พวกเขามารวมตัวกันที่นี่อย่างลับๆ เพื่อหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง

“โปรดอยู่ในความสงบ! อยู่ในความสงบ!”

ชายชราที่ยืนอยู่ใจกลางผู้ร่วมหารือตะโกนลั่น

จนผู้คนต้องยกมือขึ้นปิดหู

ความโศกเศร้าของสงครามยังคงปกคลุมอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน

ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนบ้างกระซิบกระซาบ บ้างพูดคุยกันเสียงดัง บ้างดุด่ากัน และบางคนก็เกือบที่จะลงไม้ลงมือต่อกัน

แต่ก็ยังมีผู้ที่ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกไม่น้อยที่นั่งหงอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

สายตาของพวกเขาตกอยู่ในความสับสน ทั้งคนทั้งร่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว คล้ายกับว่าจิตวิญญาณได้จากไปแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น

ชายชรากวาดสายตามองรอบๆ ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยของความเจ็บปวดอันลึกล้ำ

แต่ในไม่ช้า เขาก็กลับมาแลดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

นั่นเพราะเขาจะต้องหนักแน่น มิฉะนั้นพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ก็จะต้องล่มสลายลง

ชายชราสูดหายใจลึก กระตุ้นพลังวิญญาณ เปล่งเสียงอันกระจ่างชัด “จงสงบเพื่อข้า!”

เสียงคำรามนี้สั่นสะท้านโลกหล้าทั้งใบ กระทั่งมิตินอกโลกก็ยังเกิดการกระเพื่อมไหว

เสียงของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ จึงค่อยๆ แผ่วลง

ชายชราใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ตะโกนออกมา “ข้ารู้ว่าทุกคนรู้สึกผิดหวังและกำลังหวาดกลัวในขณะนี้ แต่ยามนี้ยังมิใช่ช่วงเวลาที่พวกเราควรจะหดหู่ เพราะยังมีเรื่องเร่งด่วนที่จำต้องกระทำ”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ฝึกยุทธ์บางคนก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของตน และต้องการจะเปิดปากพูด

ทว่าทั้งหมดก็ถูกชายชราชิงตัดหน้าเสียก่อน เขาชี้ไปรอบที่ประชุม เร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “อาการบาดเจ็บของข้าจะกำเริบในไม่ช้า พวกเจ้าคิดว่าข้าสมควรจะปล่อยวาง แล้วจากไปในตอนนี้เลยหรือไม่?”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ก็เงียบงันลงทันที

ตลอดทั้งฉากจมลงสู่ความเงียบโดยสมบูรณ์

ชายชราถอนหายใจอย่างอ่อนล้า แต่ขณะเดียวในหัวใจของก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ตามที่ทุกคนทราบ อาณาจักรมารแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ยื่นคำขาด ว่าขอให้พวกเรายอมจำนนทันที”

“และในช่วงเวลานี้ กลุ่มกองกำลังหรือผู้มีอิทธิพลจำนวนมากกำลังติดอยู่ในสงคราม ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา”

“แต่เราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง! หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมจำนนต่อขยะเหล่านั้น และกลายเป็นทาสของระบบหรือไม่?”

“ไม่!”

“ไม่มีทาง!”

“ข้ายอมตายดีกว่าต้องตกเป็นทาส!”

“เจ้าพูดถูกแล้ว!”

ผู้ฝึกยุทธ์คนแล้วคนเล่าต่างตอบโต้กลับมา

ชายชราจึงต้องเพิ่มเสียง ตะโกนให้ดังขึ้นและกล่าวอีกครั้ง “ข้าจำต้องพูดกับพวกเจ้าให้มันชัดเจน ว่าหากสงครามในครั้งนี้พ่ายแพ้ ต้นเหตุมันก็เป็นเพราะข้า เป็นข้าเองที่สั่งการและต่อสู้ได้ไม่ดีพอ ทำให้พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ต้องตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่”

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “จ้าวแห่งเต๋า ฮั่วหลาน นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน พวกเราทุกคนต่างรู้ดี”

ผู้ฝึกยุทธ์อื่นถอนหายใจ “ถูกต้อง แม้ว่าพวกเราจะสร้างพันธมิตรขึ้น แต่พวกเราก็ยังมิอาจโค่นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่หันไปพึ่งระบบราชามารได้อยู่ดี”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ขึ้น และยังเป็นอาณาจักรที่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบของราชามาร ขณะที่พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ มิอาจไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกเขาได้ทัน” อีกคนหนึ่งตะโกน

นี่เป็นความจริงอันน่าเศร้า

และแล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ทนเงียบต่อไปไม่ได้ ในที่สุดเสียงสนทนาตลอดทั้งที่ประชุมก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานโบกมือ ใช้ออกด้วยเทคนิคเสียงมนตรา ทำการระงับเสียงโวยวายของที่ประชุมลงทันที

เขาเปล่งเสียงลั่น “ข้ากำลังจะตาย แต่พันธมิตรของพวกเรายังคงอยู่ในระหว่างการประหัตประหารกันของสงคราม”

“กลุ่มพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องการผู้นำคนใหม่ เพื่อนำพาผู้คนดำเนินการต่อสู้ต่อไป”

“และพวกเจ้าจะต้องแสดงความคิดเห็นของตนออกมาโดยเร็วที่สุด!”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวออกมาในลมหายใจเดียว แล้วจึงค่อยคลายมนตราระงับเสียงลง

เขาเฝ้ารอฝูงชนเสนอแนะอย่างเงียบๆ

ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย

ทุกคนยังคงเงียบ

ฮั่วหลานถอนหายใจ และบ่นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเป็นทาสระบบของราชามาร ดังนั้นพวกเจ้าจึงมากันที่นี่มิใช่หรือ? แต่ตอนนี้ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ยอมเลือกผู้นำคนใหม่สักทีเล่า?”

บางคนเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา “จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลาน ได้โปรดอย่าโกรธเคืองไปเลย พวกเราแค่ยังรู้สึกไม่ยินยอม เนื่องจากพ่ายแพ้มา และแน่นอนว่ารวมไปถึงท่านด้วย…”

ฮั่วหลานตอบกลับทันที “ใช่ข้าเองก็แพ้ เพราะพวกเขาช่างแข็งกร้าวยิ่งนัก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา และยังมีระบบของราชามารคอยช่วยเหลือ… แต่โปรดวางใจเถอะ ก่อนตายข้าจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน”

ทั้งหมดเงยหัวขึ้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเริ่มเผยถึงความสนใจ

ฮั่วหลานยิ้มหยันตนเองและกล่าว “ข้าผู้ชราครอบครองทักษะแห่งเต๋าและพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้มากมาย แต่กลับไม่สามารถต้านทานฤทธิ์เดชของระบบราชามารได้ แต่หากข้าผู้ชราจ่ายออกด้วยชีวิตนี้ ก็จะสามารถทำลายกองทัพมารเกือบทั้งหมดลงได้เช่นกัน”

“ด้วยเหตุนี้ จะส่งผลให้ในช่วงเวลาสั้นๆ ทางอาณาจักรมารจะไม่สามารถเริ่มต้นสงครามได้ชั่วคราว!”

“ดังนั้น! พวกเจ้า! ณ เวลานี้! จึงใช้เวลาให้คุ้มค่า เลือกผู้นำคนใหม่เสีย!!”

“มิฉะนั้นแล้ว การเสียสละของข้า คงจะเป็นเพียงการตายอย่างไร้ค่า!!!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานก็แหบแห้ง

สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์แปรเปลี่ยนกลับกลาย

เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพื่อที่จะต่อการกับระบบของราชามาร ฮั่วหลานได้อุทิศตนสุดกำลัง ยินยอมเสียสละแม้กระทั่งความตาย

เห็นได้ชัดว่าตนเองรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเขา แต่กลับยังมามัวแสดงท่าทีหดหู่อยู่อีก? ช่างเป็นอะไรที่น่าผิดหวังเสียจริง!

ในช่วงเวลานี้เอง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จึงได้กำจัดเงามืดแห่งความพ่ายแพ้ที่คอยกัดกินอยู่ในจิตใจของตนเองออกไปชั่วคราว กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และเริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง

หลากหลายผู้นำได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน จนในที่สุดก็มีคนหนึ่งยืนขึ้นและกล่าวลั่นว่า “ข้าซางตั้วเหรินแห่งโลกวิญญาณจรัส หลิงหมิง…ขอเสนอ ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน”

และข้อเสนอของพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาเหล่าผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนทันที

“ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนเป็นบุคคลอันทรงเกียรติ พื้นฐานวรยุทธ์ก็สูงส่ง นอกจากนี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับมารเสมอมา ฉะนั้นหากได้เขาเป็นผู้นำพันธมิตร พวกเราจะรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นอย่างมาก”

“มิผิด! ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้”

“ข้าเองก็คิดแบบเดียวกัน”

ฝูงชนเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับเขา

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่มิได้เอ่ยถึงสิ่งใด

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนและเอ่ยถาม “ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนยืนขึ้น และถอนหายใจยาว

เขายิ้มอย่างขมขื่น “ต้องขอบพระคุณสำหรับความรักใคร่ของพวกเจ้าทุกคนที่มีต่อข้า แต่ข้าตระหนักดีว่าภาระนี้หนักหนาเพียงใด”

“ในช่วงเวลาที่ปัญหาทั้งภายในและภายนอกกำลังรุมเร้า ข้าหาได้มีความมั่นใจที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรเพื่อดำเนินการต่อกรกับระบบไม่”

“ในความเป็นจริงแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าเองก็ยังไม่ทราบเช่นกัน ว่าจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่ครอบครองระบบได้อย่างไร”

คำพูดนี้ของเขาฝังลึกเข้าไปในจิตใจของทุกคน

อืม…นั่นสิ

ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์และขอบเขตที่เท่าเทียมกัน แล้วจะไปสามารถโค่นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระบบของราชามารลงได้อย่างไร?

นี่คือปมที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

หากไม่มีใครสามารถแก้ปมนี้ได้ พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยังคงพ่ายแพ้ต่อไปจนกว่าถูกทำลายลงในที่สุด

นี่คือจุดจบที่แทบจะสามารถมองเห็นได้

ห้วงอารมณ์ของผู้คนเริ่มถูกความเศร้าโศกทับถมลงอีกครั้ง

แต่อีกสักพัก

หลายฝ่ายก็ทำการเสนอชื่อผู้ทรงเกียรติขึ้นมาอีกหลายคน

แต่ผู้ทรงเกียรติทั้งหมดต่างก็ปฏิเสธ

ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชนและตะโกนว่า “ข้าเชื่อว่าหลายๆ คนที่มีพื้นฐานวรยุทธ์ใกล้เคียงกับข้า ต่างก็มีความคิดเห็นเดียวกันในหัวใจ”

“นั่นคือ หากแม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานยังคงพ่ายแพ้ ตัวข้าที่มิอาจเทียบเคียงกับเขาได้ จะไปสามารถนำพาพันธมิตรต่อกรกับอาณาจักรมารได้อย่างไร?”

“โปรดอย่าเสียเวลาผลักดันคนเช่นข้าอีกเลย พวกท่านทั้งหลายจะต้องเลือกเฟ้นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ และเหมาะสมที่จะเป็นผู้สั่งการจริงๆ จะดีกว่า”

บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชน

หากเป็นในช่วงอดีตที่ผ่านมา ก็คงจะมีผู้คนจำนวนมากเต็มใจที่จะเป็นผู้นำพันธมิตร มากชนิดที่ว่าแก่งแย่งชิงอำนาจเพื่อที่จะได้ตำแหน่งมาครอบครองเลยทีเดียว

แต่ในตอนนี้ ในช่วงเวลาแห่งสงคราม ช่วงเวลาที่พันธมิตรกำลังล่มสลาย และทุกคนอาจจะต้องตายลงเมื่อใดก็ได้

ผู้ใดกันจะกล้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้?

ผู้ใดกันจะกล้ากล่าวว่าเขาสามารถช่วยเหลือพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดได้?

ท่ามกลางตลอดทั้งโลกใบเล็ก ผู้ฝึกยุทธ์จมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลานาน

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“บางทีพวกเราอาจจะลองเปลี่ยนความคิดดู เอาเป็นจากในสงครามครั้งก่อน ผู้ใดที่สามารถสำแดงฤทธิ์ได้ดีเยี่ยมที่สุด คนนั้นก็รับตำแหน่งไปดีหรือไม่”

ฝูงชนต่างหันไปมองเจ้าของเสียง

เห็นแค่เพียงคนที่เอ่ยปากเป็นชายชราในชุดคลุมเต๋า ตามร่างกายของเขากว่าครึ่งชุ่มไปด้วยเลือด

คนผู้นี้คือผู้นำของหนึ่งในโลกด้านการฝึกยุทธ์ เขากล้าหาญเป็นอย่างยิ่งในสงครามครั้งก่อน บุกตะลุยชนิดที่ว่าตนเกือบจะพลาดพลั้งอยู่หลายครั้ง

นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่สมควรได้รับการสรรเสริญโดยแท้

บางคนเอ่ยเห็นด้วย “นั่นฟังดูเป็นความคิดที่ดี”

ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ในการต่อสู้ครั้งก่อน พันธมิตรทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ แล้วพวกเราจะไปมองหาผู้ที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?”

คำกล่าวนี้ทำให้ฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่ง

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เริ่มที่จะหวนระลึกไปถึงสงครามครั้งก่อนโดยไม่รู้ตัว

“…ก็ไม่เสียทีเดียวนะ” บางคนกล่าวขึ้น

“ใช่ ไม่ถึงกับว่าพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์”

“เหมือนว่าจะมีอยู่การโจมตีหนึ่งที่โดดเด่นสะดุดตา”

“ใช่ๆ พอเจ้าพูดข้าเองก็เริ่มจดจำได้แล้วเช่นกัน”

“แม้นั่นจะเป็นเพียงการโต้กลับก็ตาม”

“แต่ผลลัพธ์ของมันกลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง”

“นอกจากนี้การสูญเสียยังมีเพียงเล็กน้อย”

“ผู้ฝึกยุทธ์ผู้เข้าสู่วิถีมารคนหนึ่งก็ถูกสังหารลงโดยคนคนนั้นเช่นกัน”

“มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

“ใช่สิ เจ้าดูรายงานการต่อสู้แล้วใช่หรือไม่ ว่ามีอยู่โลกหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรมานานแล้ว เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย”

“อะไรกัน? คนคนนั้นคือใคร”

“คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

ผู้ฝึกยุทธ์เริ่มสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทุกคนแล้วพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นได้

“สหายเต๋าผู้นั้นคือเซี่ยเต๋าหลิง เป็นผู้ที่สำแดงฤทธิ์เดชได้ดีที่สุดในสงครามครั้งก่อน”

ฮั่วหลานเปล่งเสียงสดใส “เช่นนั้น ยามนี้พวกเราก็มาหารือกันดีกว่า ว่าสหายเต๋าหน้าใหม่ผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรหรือไม่”

………………………………….