“สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสียผู้นำคนใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกคน”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวจบ เขาก็หุบปากลง

บรรดาผู้นำของโลกด้านการฝึกยุทธ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ และคนสำคัญต่างก็จมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ

จำต้องใช้เวลาอยู่นาน ใครบางคนจึงเอ่ยปากออกมา

“เซี่ยเต๋าหลิง อืม…ข้าคิดว่านางเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน เพียงแต่พื้นฐานวรยุทธ์ยังคงต่ำเกินไปก็เท่านั้นเอง” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวพลางครุ่นคิด

และด้วยประโยคดังกล่าวนี้ ส่งผลให้เสียงของผู้คนจำนวนมากเริ่มเซ็งแซ่ขึ้น

ฝูงชนเริ่มที่จะถกเถียงกัน

“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูก” หนึ่งในผู้นำกล่าว “เพราะตั้งแต่ที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าก็ได้เป็นสักขีพยานด้วยตาตนเองอยู่หลายครั้งหลายครา ว่าความไวในการยกระดับของนางช่างรวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารก็ยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของนางได้”

ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนหนึ่งกล่าวบ้าง “ทุกท่านโปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยเถอะ เซี่ยเต๋าหลิงเพิ่งเข้าร่วมกับพันธมิตรได้ไม่นานก็จริง แต่นางก็ได้รับการคัดกรองมาอย่างเข้มงวดแล้ว”

“ในเวลานั้น เนื่องจากความว่องไวในการยกระดับของนางมันรวดเร็วเกินไป จนก่อให้เกิดความสงสัยกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้นผู้เฒ่าจึงสั่งให้นางยอมรับการทดสอบการคัดกรองว่าแท้จริงแล้ว นางคือผู้เข้าสู่วิถีมารหรือไม่”

“แล้วผลลัพธ์น่ะหรือ? ปรากฏว่านางก็เป็นดั่งคนอื่นๆ ที่อาศัยพรสวรรค์และความเข้าใจของตนเอง ไต่ขึ้นมาทีละขั้น ทีละขั้นนั่นเอง”

ผู้เฒ่ายังกล่าวอีกว่า “จดจำได้หรือไม่ ว่าในยามที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตร กว่าแปดสิบแปดผู้ฝึกยุทธ์ได้อธิบายแก่นาง พยายามให้นางในฐานะหน้าใหม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น ว่าความกว้างใหญ่ของวิถีแห่งเต๋านั้นไร้ที่สิ้นสุดเพียงใด ทว่าหลังจากที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องเทคนิคมนตราจากนาง แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กว่ายี่สิบเอ็ดคน ที่ความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกเขาพังทลายลง ราวกับเพิ่งได้ตรัสรู้ว่าแท้จริงแล้วตนยังอ่อนด้อยนัก”

“ไม่ว่าจะเป็นในด้านความเร็วการฝึกยุทธ์ หรือในด้านเทคนิคมนตรา ทั้งหมดล้วนราวกับถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์เพื่อมาช่วยเหลือพวกเรา”

ผู้ฝึกยุทธ์นักสู้คนอื่นๆ ยืนขึ้นและตะโกนลั่น “เซี่ยเต๋าหลิงต้องการเวลา ตราบใดที่ให้เวลานางมากพอ นางย่อมต้องแกร่งขึ้นจนเหนือล้ำกว่าเจ้าอย่างแน่นอน!”

“พูดแบบนี้ หมายความว่าเจ้ากำลังสนับสนุนนางงั้นหรือ?”

“แน่นอน นางเป็นหญิงที่เปรียบดั่งนางฟ้าที่ถูกเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ในที่สุดก็ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดที่แท้จริงเสียที ตัวข้าฝึกยุทธ์มาหลายพันปี ได้เจอหญิงงามปานนางฟ้ามานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีหญิงใดเลยที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เทียมเท่าได้กับนาง!”

“อืม…นั่นมันก็จริง”

“ถูกของเจ้า”

“ข้าเห็นด้วย รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มากจริงๆ จนข้าเผลอคิดไปว่าตนเองถูกดึงดูดด้วยเทคนิคมนตราเสียแล้ว”

“ตามตรรกะนี้ ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกได้ว่านางเป็นตัวตนที่ยากนักจักปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้น ฮั่วหลานก็กระแอมไอ เร่งเตือนอย่างรวดเร็ว

“เงียบหน่อย!”

เขาโบกมือ และตะโกนเตือนทุกผู้คนด้วยเสียงอันกังวานก้อง

“พวกเรากำลังเลือกผู้นำพันธมิตร! มิใช่เลือกเฟ้นหาสหายเต๋าที่งดงามที่สุด ฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจงเป็นกลางด้วย”

ฮั่วหลานกวาดสายตามองทุกคนและเอ่ยถาม

“ฉะนั้น ปัญหาหลักในตอนนี้คือ พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงเต่าเกินไปที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้ใช่หรือไม่?”

ผู้เฒ่าคนก่อนเปิดปากกล่าว “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้น เว้นแต่นางจะสามารถทะลวงขอบเขตวรยุทธ์ ขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้นหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย ขอบเขตวรยุทธ์ก็คือสิ่งสำคัญที่พวกเราชาวยุทธ์ใช้วัดกันและกัน”

เสียงนี้ดังสะท้อนออกไป

แต่ในไม่ช้า เสียงฮือฮาที่ดังยิ่งกว่าก็ดังขึ้น

เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนไม่พอใจกับคำกล่าวอ้างนี้ของผู้เฒ่า

เห็นแค่เพียงผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนผุดลุกขึ้น ผายสองมือออกและกดมันลง ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

เสียงสะท้อนและโห่ร้องจึงค่อยๆ จางหายไป

ในฐานะที่เขาถูกเลือกให้รับตำแหน่งผู้นำเป็นคนแรก ส่งผลให้เขาเป็นที่เคารพ และผู้คนก็ยินยอมปฏิบัติตาม

ฉิงหยุนเริ่มกล่าว

“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีความคิดที่ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป เช่นนั้นข้าจึงมีคำถามหนึ่งที่อยากจะถามท่านในตอนนี้”

“เชิญท่าน” ผู้เฒ่ากล่าว

ฉิงหยุน “ท่านกล้าที่จะสู้กับเซี่ยเต๋าหลิงหรือไม่?”

ผู้เฒ่าย้อนคิดไปถึงทุกประเภทของเทคนิคมนตรา และทุกกลอุบายของเซี่ยเต๋าหลิง และการลงมืออย่างไร้ซึ่งความปรานีในสนามรบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ไร้สาระ! ใครจะไปกล้าสู้กับนาง!”

ทว่าหลังจากที่เขากล่าวคำนี้ ลิ้นของเขาก็ราวกับรับได้ถึงรสฝาดขมของความอับอายทันที

อาจริงด้วยสิ

แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของนางจะต่ำกว่า แต่เขาก็ยังไม่กล้าสู้กับนางอยู่ดี

เพราะนี่คือความหวาดกลัวที่เกิดจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ

มันคือสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของผู้ฝึกยุทธ์!

ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อได้ยินถึงบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ทั้งหมดก็เริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงแม้จะไม่สูงส่ง ทว่ากลับสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าเกิดความหวาดกลัวได้

นอกจากนี้ นางยังเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถคว้าชัยจากในตลอดทั้งสนามรบอีกด้วย

ด้วยตัวตนเช่นนี้ หากทุกคนให้การสนับสนุนนาง และให้เวลานางได้เติบใหญ่มากพอ นางจะไม่เปรียบดั่งวิหคที่สามารถทะยานบินขึ้นไปเหนือยิ่งกว่าชั้นฟ้าได้เลยหรือ?

ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเริ่มพยักหน้าอย่างเงียบๆ

แต่ผู้เฒ่ายังคงยืนยันหนักแน่น “อย่างไรเสีย ปัญหาสำคัญก็คือพื้นฐานวรยุทธ์ของนางยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ำเกินไป ส่งผลให้มันไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะสำแดงเทคนิคมนตราให้มากยิ่งขึ้น”

“แม้ว่าข้าจะไม่กล้าสู้กับนาง แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังไม่แข็งกล้าเท่ากับของข้า!”

บางคนเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเริ่มสนับสนุนผู้เฒ่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป ท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ที่กินเวลามากจนเกินควร นางอาจไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานพอ”

อีกคนกล่าว “ใช่ หากนางขึ้นเป็นผู้นำ และต้องคอยสั่งการสงคราม แต่พลังวิญญาณของนางกลับไม่เพียงพอ แบบนั้นคงไม่ดีแน่”

“ผู้นำของพวกเราจะเป็นคนที่อ่อนแรง และต้องถอนตัวจากสงครามไปกลางคันได้อย่างไร?”

“หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น มันจะเป็นการบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของผู้คนทั้งหมด”

ผู้นำคนหนึ่งกล่าว “เว้นแต่ว่านางจะสามารถยกระดับขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้น แต่มันก็คงจะยากเกินไป เพราะขอบเขตยิ่งสูง การยกระดับขอบเขตใหญ่ก็จะยิ่งยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่เชื่อว่านางจะสามารถรักษาอัตราเร็วในการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำเช่นนี้ไปได้ตลอด”

ผู้ทรงเกียรติอีกคนกล่าว “ใช่ ไม่มีใครสามารถตัดผ่านได้อย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่จะใช้ประโยชน์จากระบบวิถีมาร แต่เซี่ยเต๋าหลิงชัดเจนว่ามิใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร”

คราวนี้ผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งที่สนับสนุนเซี่ยเต๋าหลิงก็เริ่มช่วยหักล้าง โต้เถียงกลับไปบ้าง

ทั้งสองฝ่ายต่างถูกโยนลงสู่การโต้แย้ง

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเฝ้ามองสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ

เขารออยู่สักพัก แต่กลับเห็นแค่เพียงทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง

การโต้เถียงเริ่มจะรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งสำคัญก็คือ การที่ผู้ถูกเลือกคนนี้สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลย

เช่นนั้นเวลานี้ ก็สมควรที่จะหยุดวิวาทะกัน และมุ่งเข้าสู่ในส่วนถัดไป

ฮั่วหลานโบกมือ ส่งสัญญาณให้หยุดพูด

ตลอดทั้งที่ประชุมเงียบลง

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างหันมามองฮั่วหลานเป็นสายตาเดียว

ฮั่วหลานกลั้วคอและเริ่มกล่าว

“เวลานี้ พวกเรามีปัญหาอยู่สองประการ”

“ประการแรกคือเซี่ยเต๋าหลิงยินดีที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรของพวกเราหรือไม่”

“ประการที่สอง พวกเราจะทำการนับคะแนนเสียงดูว่า มีคนที่สนับสนุนนางให้นั่งตำแหน่งนี้ถึงเจ็ดในสิบส่วนหรือไม่”

“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เราต้องถามเซี่ยเต๋าหลิงก่อน ว่านางคิดเห็นเช่นไร”

“สหายเต๋าเซี่ย?”

“สหายเต๋าเซี่ย เจ้าสามารถลุกขึ้น และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”

ฮั่วหลานกล่าวจบก็เงียบไป แต่รอสักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นเซี่ยเต๋าหลิงขึ้นมาบนเวที

ผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนต่างมุ่งสมาธิไปกับการโต้เถียง จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาจึงค่อยพบว่าสถานการณ์มันผิดปกติไป

ทุกคนละความใส่ใจในเรื่องมารยาท ทั้งหมดต่างปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดมันไปรอบๆ เพื่อตามหาเซี่ยเต๋าหลิง

“นางไม่ได้อยู่ที่นี่”

“แปลกนัก ข้าเห็นกับตาว่านางก็เข้ามายังโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน”

“จากไปกลางคันกระนั้นหรือ?”

“นางจากไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เนี่ยนะ?”

เสียงฮือฮาของผู้ฝึกยุทธ์เริ่มดังขึ้น

ในเวลานั้นเองผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็ก้าวออกมา กล่าวกับทุกคน “ทุกท่านโปรดสงบลงก่อน ขอให้ข้าได้อธิบาย”

เธอพิจารณาเกี่ยวกับมันและกล่าว “เรื่องนี้…ในตอนแรก เซี่ยเต๋าหลิงอยู่ที่นี่จริงๆ”

“แต่นางอยู่แค่เพียงไม่กี่ลมหายใจ นางก็แยกตัวกลับไปก่อนแล้ว”

ทุกคนแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์

“นางกลับไปแล้วงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน? หรือนางคิดว่าการประชุมของพันธมิตรนั้นไม่สำคัญ?”

ฮั่วหลานถามด้วยความขมขื่น

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว “มันมิใช่เช่นนั้น แต่เป็นเพราะนางจำต้องตัดผ่านขอบเขตทันที และหากกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์จากในโลกใบนี้ บางคนอาจจะไม่พอใจ และการหารืออย่างเป็นทางการอาจจะล่าช้า ดังนั้นนางจึงแยกตัวกลับไปเงียบๆ”

“และนางยังเตือนข้าอีกด้วยว่า หากมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง ก็ขอให้ช่วยปกปิดเอาไว้”

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “และข้าก็สัญญาว่าจะปกปิดให้นาง แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะลงเอยเช่นนี้”

โลกทั้งใบพลันตกอยู่ในความเงียบงัน

ผู้คนทั้งหมดกลายเป็นโง่งม

ผ่านไปหลายลมหายใจ ฮั่วหลานจึงค่อยตอบสนอง

“เจ้าบอกว่า นางกำลังจะตัดผ่านอีกครั้งงั้นหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นๆ

“ใช่ ข้ายืนอยู่ถัดจากนาง และความผันผวนทางพลังวิญญาณของนางกำลังกระเพื่อมไหวจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นลางบอกเหตุของการตัดผ่าน” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างซื่อตรง

ทุกคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ!”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเงยหน้าขึ้นมองฟ้า หัวเราะจนงอหงาย

…………………………………….