บทที่ 329 บุกถล่มสำนัก

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 329 บุกถล่มสำนัก

สำนักเจ็ดดารา ภายในห้องประชุม ถงหลี่ผู้เป็นเจ้าสำนักกำลังหวาดวิตก

อยู่ดี ๆ บรรดาผู้อาวุโสที่ออกไปยังเมืองเซี่ยเฉิงก็ขาดการติดต่อและไม่ส่งข่าวอะไรกลับมาอีกเลย

ถงหลี่สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องอัปมงคลขึ้นกับพวกเขา

“หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น?” ถงหลี่พึมพำ ขณะนี้ บรรยากาศในห้องประชุมไม่สู้ดีนัก

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสไฉเป็นคนนำทีมไปเอง การสังหารน้องสาวจอมมารฉู่ไม่ใช่ปัญหา ส่วนผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ตอนนี้กระจายกันไปทั่วเมือง อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะหาเจอ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพยายามคิดหาเหตุผล

ถงหลี่พยักหน้าและยอมรับในคำอธิบายนั้น

แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนต่างก็ทราบดีว่านี่คือการหลอกตัวเอง แค่ฆ่าพวกผู้หญิงที่เป็นคนธรรมดา มันยุ่งยากเสียจนรับโทรศัพท์ไม่ได้เชียวหรือ?

ผู้อาวุโสบางคนก็นั่งไม่ติดแล้ว เขายืนขึ้นและพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักครับ ผมว่าพวกเราเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ เผื่อเกิดเหตุยามคับขันกันดีกว่า”

ประโยคนี้ทำให้ผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหวาดหวั่นนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกมาง่าย ๆ แต่มันก็เป็นความจริงตอนนี้พวกเขาจนมุมแล้วจริง ๆ

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ” ถงหลี่พูด “แจ้งให้คนของสำนักเราเตรียมพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ”

ผู้อาวุโสส่วนหนึ่งออกไปจัดการตามคำสั่ง

หลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ถงหลี่ก็ยังคงไม่สบายใจและสั่งให้บริวารเตรียมทางลับในสำนักเอาไว้ ถ้าเกิดเหตุคับขัน เขาก็จะได้หลบหนีไปตามทางลับได้ทันท่วงที

“ท่านเจ้าสำนัก แล้วเราจะทำยังไงกับลูกศิษย์ในสำนักดีครับ?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเกิดความลังเลจนต้องถามออกมา

ถงหลี่ดวงตาเป็นประกายอำมหิต “รวบรวมลูกศิษย์ฝีมือดีให้ไปเตรียมตัวรออยู่ที่ทางลับ ส่วนที่เหลือปล่อยให้ตายไปให้หมด!”

เป็นอีกครั้งที่หัวใจของกลุ่มผู้อาวุโสเต้นระรัวด้วยความตื่นกลัว ถงหลี่เริ่มเตรียมแผนรับมือสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้วจริง ๆ

บรรยากาศในห้องประชุมเศร้าหมองมากกว่าเดิม ดวงตาของทุกคนมืดมนไม่มีใครทราบเลยว่าต่างคนต่างคิดอะไรอยู่?

ถงหลี่ออกคำสั่งทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกมาจากห้องประชุมไป

สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือทรัพยากรของสำนัก ปัจจัยสำคัญก็คือสำนักเจ็ดดาราตั้งอยู่บนภูมิศาสตร์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครจะบุกเข้ามาก็ต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน

ตั้งแต่ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงบนโลก ของโบราณหลายชิ้นก็ปรากฏขึ้นมาตลอดเวลา ในขณะนี้แหวนมิติไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป

ต้องใช้แหวนมิติถึงสามวง กว่าที่จะเก็บสมบัติทั้งหมดของสำนักเจ็ดดาราได้ครบถ้วน หลังจากนั้น ถงหลี่ก็สวมใส่แหวนทั้ง 3 วงเข้ากับนิ้วมือตนเอง

ถงหลี่กลับไปนั่งรอฟังข่าวที่ห้องประชุมอีกครั้ง ในระหว่างนั้น เขาก็พยายามโทรกลับไปหาผู้อาวุโสไฉเป็นระยะ ๆ

เปรี้ยง!

พลัน เกิดแรงระเบิดขนาดใหญ่ ทำให้ห้องประชุมสั่นสะเทือนอย่างน่าหวาดกลัว

“เกิดอะไรขึ้น?” ถงหลี่คำรามด้วยความเดือดดาล

ประตูเจ้าสำนักถูกผลักออกแล้วลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาราคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานด้วยความตื่นตระหนก

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย มีคนบุกเข้ามาแล้วครับ”

ถงหลี่และกลุ่มผู้อาวุโสตกตะลึง ทุกคนลุกขึ้นและถามออกมาพร้อมกัน

“ใคร? ใช่จอมมารฉู่ชวิ๋นหรือเปล่า รีบบอกมาเดี๋ยวนี้”

ลูกศิษย์คนนั้นส่ายหัว เพราะไม่เคยเห็นหน้าจอมมารฉู่ชวิ๋นมาก่อน

“งั้นพวกเราออกไปดูกันดีกว่า” ถงหลี่เดินนำหน้าออกมาได้ครึ่งทางก็หยุดเท้า หันหลังกลับมาและพูดกับผู้อาวุโสคนหนึ่งว่า “รีบพาลูกศิษย์ฝีมือดีไปทางลับเดี๋ยวนี้ ถ้าจอมมารฉู่ชวิ๋นมาจริง ๆ พวกเราจะถอนกำลังกันทันที”

หลังจากนั้น ถงหลี่ก็นำผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ออกมาข้างนอก

ตู้ม!

เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟลุกโชน ตัวอาคารถล่มลงมา พื้นดินสั่นสะเทือน

มวลพลังในรูปนิ้วมือขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พื้นดินแตกร้าว ตัวอาคารพังถล่ม ลูกศิษย์หลายสิบคนกลายเป็นหมอกเลือดในพริบตา

อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นิ้วมือขนาดยักษ์ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พื้นดินสะเทือนเป็นรอยแตกร้าว บรรดาลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาราได้แต่ส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา มีคนต้องเสียชีวิตอีกหลายสิบคน

นกเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า เปลวไฟเผาไหม้ท้องนภาและผืนดิน กลุ่มคนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน ตัวอาคารหลายหลังกลายเป็นกองขี้เถ้าและมีควันไฟลอยฟุ้ง

มวลพลังสีแดงวูบไหวในอากาศราวกับงูจำนวนมหาศาล มวลพลังเหล่านั้นพุ่งใส่ร่างของลูกศิษย์สำนักเจ็ดดารา จนร่างกายแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

กลิ่นคาวเลือดในอากาศน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง

ฉู่ชวิ๋นปรากฏตัว! ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน ทุกคนต่างก็ล้มตายไปหมดสิ้น

ชายหนุ่มก้าวเดินข้ามทะเลไฟ ผ่านกลุ่มหมอกควันและฝุ่นผง รอบกายของเขาเต็มไปด้วยคนที่ร่างไหม้เป็นตอตะโกดิ้นอย่างทุรนทุราย ฉู่ชวิ๋นเป็นเหมือนมัจจุราชที่มาจากขุมนรก ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างน่าหวาดกลัว

“แกเป็นใคร?” เมื่อมองเห็นจำนวนลูกศิษย์ตกตายไป ถงหลี่ก็ถึงกับขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว

ฉู่ชวิ๋นดวงตาเปร่งประกายอำมหิต คลื่นลมปราณแผ่กระจายออกมาจากตัวของเขา

“สำนักเจ็ดดารา ฉันเตือนพวกแกแล้วว่า ถ้าน้องฉันผมร่วงแม้แต่เส้นเดียว แม้แต่เป็ดไก่ในสำนักพวกแกก็จะไม่เหลือสักตัว!”

ถงหลี่และกลุ่มผู้อาวุโสหัวใจกระตุกวูบ ชายหนุ่มคนนี้คือจอมมารฉู่ชวิ๋น!

“ฉู่ชวิ๋น แกลงมืออำมหิตขนาดนี้ ไม่กลัวฟ้าดินลงโทษบ้างหรือไง?” ลูกศิษย์คนหนึ่งพูดออกมาด้วยใบหน้าถอดสี

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าพวกของผู้อาวุโสไฉคงเสียชีวิตไปหมดแล้ว

“ฟ้าดินลงโทษงั้นเหรอ?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเปร่งประกาย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าอยากลงโทษฉัน ก็เข้ามาเลยสิ!”

ไม่ว่าใครก็ตามถ้ากล้าทำร้ายคนที่เขารัก มันผู้นั้นจะต้องตาย ฉู่ชวิ๋นไม่กลัวการถูกฟ้าดินลงโทษ เพราะเขานี่แหละที่จะลงโทษฟ้าดินเอง แม้แต่เทพก็มีวันดับสูญเรื่องอะไรเขาต้องกลัวเทพ!

“ตายซะเถอะ!” แล้วฉู่ชวิ๋นก็เริ่มฆ่าคนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

ฟู่!

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ถูกเส้นไหมสีขาวรัดแน่นก่อนถูกฉีกกระชากร่างออกเป็นชิ้นๆ

ถ้าไม่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ขึ้นไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่ชวิ๋นเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความอำมหิต ชายหนุ่มล่าสังหารอย่างไร้ความเมตตา หัวคนกลิ้งกระเด็น บนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือดสีแดงสด

ฟู่!

หัวคนลอยสูงหลายเมตร เลือดสาดกระจาย

พรึบ!

แขนขามนุษย์ปลิวกระจายกลางอากาศ ร่างของผู้อาวุโสระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ควับ!

ฉู่ชวิ๋นจับตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งมาฉีกแขนทั้งสองข้างออกก่อนจะเด็ดหัวชายชราคนนั้นด้วยมือเปล่า

ชายหนุ่มเดิน 10 ก้าวจะฆ่า 10 คน แต่ถึงกระนั้น เลือดก็ไม่ได้เปื้อนตัวเขาเลยแม้แต่หยดเดียว

เพียงไม่กี่อึดใจ ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราทุกคนก็ถูกสังหารจนหมดสิ้น

ถงหลี่รู้สึกหวาดกลัวจนท้องไส้ปั่นป่วน เขาพึ่งเห็นกับตาว่าฉู่ชวิ๋นลงมือโหดเหี้ยมอำมหิตสมคำร่ำลือจริง ๆ ชายหนุ่มสังหารคนด้วยวิธีที่น่ากลัวอย่างไม่ลังเล

ถงหลี่หันหลังหนีออกมา โดยไม่สนใจหรือห่วงใยใครอีกต่อไปแล้ว

แต่โชคร้ายที่ชายชราประเมินความเร็วของฉู่ชวิ๋นต่ำเกินไป

เพียงอึดใจเดียว ฉู่ชวิ๋นก็ไล่ตามมาทัน ชายหนุ่มซัดพลังลมปราณใส่แขนของถงหลี่จนขาดกระเด็นกลางอากาศ

ถงหลี่ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวน เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

แหวนเก็บสมบัติทั้ง 3 วงหลุดกระเด็นออกไปจากแขนข้างที่ขาด แน่นอนว่าฉู่ชวิ๋นเก็บพวกมันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ถงหลี่ร้องคำรามและพยายามจะพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นอย่างขาดสติ

ผลั่ก!

ชายชรากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ขณะที่ถูกฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ร่างก็ลอยกระเด็นไปไกล

เมื่อฉู่ชวิ๋นเดินตามมาปิดบัญชี ชายหนุ่มก็ประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของชายชรา เสียงกระดูกแตกหักดังถนัดหู กระดูกหน้าอกยุบตัวลงไป กระดูกสีขาวบางส่วนแทงทะลุออกไปทางแผ่นหลังอย่างน่าสยองขวัญเป็นที่สุด

แต่ถงหลี่ก็ยังไม่ตาย จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมากถ้าไม่ตัดหัวก็ไม่ตายง่ายๆ

“ฉู่ชวิ๋น แกจะต้องถูกฟ้าดินลงโทษ” ถงหลี่พูดขณะที่ปากเต็มไปด้วยเลือด

ฉู่ชวิ๋นยังคงมีแววตาเย็นชาอยู่เช่นเดิม ก่อนที่เขาจะยกเท้าขึ้นมาและกระทืบลงไปที่ศีรษะของชายชราเต็มแรง

“โพล๊ะ”

สำนักเจ็ดดารา เทียบไม่ได้เลยกับประตูวิญญาณสลายหรือแม้แต่สำนักดาบพิฆาต พวกเขาจึงถูกกวาดล้างอย่างง่ายดาย

ฉู่ชวิ๋นใช้พลังจิตสำรวจพื้นที่โดยรอบพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็น หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ร่างของเขาก็หายวับไป

“พวกเราไปกันเถอะ”

ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดารารีบพาลูกศิษย์หลบหนีไปตามทางลับใต้สำนัก

ลูกศิษย์ฝีมือดีของสำนักเจ็ดดารามีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 70 คน ทุกคนอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ และมีผู้อาวุโสสองคนคอยดูแลความปลอดภัย

นี่คือคนกลุ่มสุดท้ายของสำนักเจ็ดดาราที่ยังมีชีวิตอยู่

เมื่อฉู่ชวิ๋นมาถึง คนกลุ่มนั้นก็หนีเข้าไปในทางลับใต้ดินเรียบร้อยแล้ว

ในเมื่อทางลับอยู่ใต้ดิน ฉู่ชวิ๋นก็ไม่รู้ว่าจะติดตามลงไปยังไง?

พลัน ดวงตาของชายหนุ่มก็เปร่งประกายอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง เขากำมือเป็นหมัด และใช้กำปั้นต่อยกำแพงของอุโมงค์ใต้ดินด้วยความรุนแรง

ต่อจากนั้น พลังลมปราณก็พุ่งออกมาจากกำปั้นของเขา ฉู่ชวิ๋นยังคงต่อยหมัดใส่กำแพงอย่างต่อเนื่อง

ครืน!

ภูเขาสั่นสะเทือน พื้นดินแตกตัวจนถล่มลงมา ก้อนหินขนาดใหญ่ถล่มลงไปปิดทับอุโมงค์ใต้ดินในทันที

แว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากใต้พื้นดิน

ฉู่ชวิ๋นยังคงต่อยกำแพงไม่หยุด พื้นดินยุบตัวไม่หยุด อุโมงค์ใต้ดินถล่มลงมาอย่างต่อเรื่อง

พลังหมัดของฉู่ชวิ๋นสร้างความเสียหายกินพื้นที่หลายกิโลเมตร พื้นดินยุบตัวกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ ฉู่ชวิ๋นไม่หยุดมือจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องอีกเลย

ลูกศิษย์ฝีมือดีของสำนักเจ็ดดาราทั้ง 70 คน รวมถึงผู้อาวุโสอีกสองคนถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้พื้นดิน นับว่าเป็นการตายที่ทารุณและโหดร้ายยิ่งนัก

ฉู่ชวิ๋นลงมืออย่างไร้ความเมตตาจริง ๆ

หลังจากนั้น เขาก็สร้างม่านพลังไฟมังกร เผาผลาญสำนักเจ็ดดาราจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ภูเขาที่อยู่รายล้อมก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ต้นไม้สักต้นก็ไม่เหลือ!

ณ จุดนี้ ฉู่ชวิ๋นหยุดชะงักทุกสิ่งทุกอย่างและหันหลังจากไป

เมื่อชายหนุ่มจากไปได้ไม่นาน ผู้คนในแวดวงยุทธภพก็มารวมตัวกันดูซากปรักหักพังที่เหลืออยู่ ทุกคนตกตะลึงจนลืมหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

สำนักเจ็ดดาราเพียงพริบตาเดียวก็ล่มสลายเหลือเพียงเถ้าถ่าน แต่ทุกคนจะไม่มีวันลืมเรื่องสำนักเจ็ดดาราเด็ดขาด เนื่องจากที่พวกเขาต้องพบชะตากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้ก็เพราะไปมีเรื่องกับจอมมารฉู่ชวิ๋น

จอมยุทธ์บางคนถ่ายรูปที่เกิดเหตุเอาไว้และนำไปโพสต์ในเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์

เพียงไม่นาน เว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์ก็ร้อนระอุ

“ไม่ควรมีใครไปหาเรื่องจอมมารฉู่ชวิ๋นเลยจริง ๆ”

“จอมมารฉู่ชวิ๋นน่ากลัวเหลือเกิน เขาทำให้สำนักเจ็ดดารากลายเป็นเพียงเถ้าถ่านกองหนึ่ง แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว”

“จอมมารฉู่ชวิ๋นเคยเตือนเอาไว้แล้ว แต่สำนักเจ็ดดาราไม่เชื่อฟัง สุดท้ายก็เลยมีชะตากรรมแบบนี้แหละ”

“จอมมารฉู่ชวิ๋นอำมหิตเกินไปแล้ว เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? อยากจะฆ่าคนที่ไหนก็ได้อย่างนั้นเหรอ”

เกิดการถกเถียงขึ้นในเว็บบอร์ด แต่ทุกกระทู้กล่าวถึงการล่มสลายของสำนักเจ็ดดาราทั้งสิ้น

ที่บ้านตระกูลเซี่ย เซี่ยไป่หยานและเซี่ยเมี้ยวหยู่ก็กำลังนั่งอ่านข้อความในเว็บบอร์ดอยู่เช่นกัน

เมื่อได้รู้ว่าสำนักเจ็ดดาราล่มสลายไปแล้ว สองพ่อลูกก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง

“เจ้าพวกโง่ สมควรตายไม่เกรงกลัวชื่อเสียงของจอมมารฉู่กันเลยหรือไง? ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเมื่อเขาลงมือจะโหดเหี้ยมขนาดไหน สำนักเจ็ดดาราทำตัวเองแท้ ๆ” เซี่ยไป่หยานพูดพร้อมถอนหายใจ

เซี่ยเมี้ยวหยู่หันมามองหน้าบิดาของเธอ และกล่าวว่า “ทำไมหนูรู้สึกว่าพ่อกำลังดีใจอยู่ชอบกล?”

“จริงเหรอ?” เซี่ยไป่หยานถามก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อปิดบังอะไรจากลูกไม่ได้เลยจริง ๆ สำนักเจ็ดดาราเติบโตขึ้นอย่างน่ากลัว คงมีสำนักอื่น ๆคอยหนุนหลังอยู่ พ่ออยากจะถอนรากถอนโคนพวกมันมานานแล้ว เพราะอีกไม่ช้าก็เร็ว พวกมันต้องคุกคามตระกูลเซี่ยของเราอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…”

“พ่อคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะทำตัวเอง โดยการไปมีเรื่องกับจอมมารฉู่แล้วปัญหาที่พ่อปวดหัวอยู่ก็หายไป” เซี่ยเมี้ยวหยู่พูดต่อจนจบประโยค

“ถูกต้อง จอมมารฉู่ชวิ๋นถือเป็นดาวนำโชคของตระกูลเซี่ยจริง ๆ” เซี่ยไป่หยานหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

เซี่ยเมี้ยวหยู่จ้องมองบิดาด้วยแววตาสงสัย ก่อนถามว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋นมีศัตรูอยู่มากมาย เราใกล้ชิดกับเขาแบบนี้ พ่อไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นบ้างเหรอคะ?”

“ผิดแล้ว จอมมารฉู่ชวิ๋นมีศัตรูอยู่มากมายก็จริง แต่ลูกดูสิว่าผลสุดท้ายเป็นยังไง ไม่ว่าจะเป็นประตูวิญญาณสลายหรือว่าสำนักดาบพิฆาต ต่างก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดินทั้งสิ้น สุดท้ายสำนักของพวกเขาก็ต้องล่มสลาย ไม่มีแม้แต่ฝังลงหลุมศพ ตำนานที่สืบทอดกันมากว่าพันปีต้องจบลงในยุคของพวกเขา”

เซี่ยเมี้ยวหยู่พยักหน้า “เหมือนที่คนอื่นพูดไม่มีผิดว่า ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งทรงพลังขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมาตายในน้ำมือของจอมมารฉู่อยู่ดี และตอนนี้หนูก็รู้แล้วว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง”

เซี่ยไป่หยานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตั้งแต่ที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง จอมยุทธ์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทุกอย่างก็ล้วนแต่ตัดสินกันที่ความแข็งแกร่งทั้งนั้น”

เซี่ยเมี้ยวหยู่กล่าว “ดูจากอายุของเขาแล้ว ฉู่ชวิ๋นไม่น่าจะมีอายุเกิน 50 ปี แต่ฝีมือน่ากลัวเหลือเกิน หนูคิดไม่ออกเลยว่าเขาฝึกยังไงถึงได้เก่งกาจขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเขาออกมาจากท้องแม่ก็ฝึกฝนวรยุทธ์ได้เลย”

“ว่ากันว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นมีคัมภีร์ความลับฟ้า ทำให้เขาฝึกวิชาได้อย่างทรงพลังและมีประสิทธิภาพ รากฐานมั่นคง ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนคนอื่นๆ” เซี่ยไป่หยานอธิบาย

“แต่ถึงจะมีคัมภีร์ความลับฟ้าอยู่ในมือ แต่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยในการตีความเคล็ดวิชา เนื่องจากต้องอาศัยความเข้าใจเป็นอย่างสูง อีกทั้งฝึกวิชาจะเร่งรีบไม่ได้ ไม่อย่างงั้น รากฐานจะไม่มั่นคง ที่สำคัญต้องมีพรสวรรค์ของผู้ฝึกฝนช่วยเสริม และต้องมีโอกาสกับสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เป็นใจอีกด้วย ถึงจะแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว ถ้าฉู่ชวิ๋นมีทั้งหมดนี้จะเรียกเขาว่าจอมมารก็ไม่ถูก ควรเรียกเขาว่าลูกรักของสวรรค์มากกว่า” เซี่ยเมี้ยวหยู่กล่าวอย่างไม่ชอบใจ