บทที่ 330 คุณไม่ใช่สเป็คของฉัน
คำพูดของเซี่ยเมี้ยวหยู่แสดงออกชัดเจนว่าเธอไม่พอใจที่ฉู่ชวิ๋นมีอายุน้อย แต่กลับมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้
เซี่ยไป่หยานอดยิ้มออกมาไม่ได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายแปลกประหลาดในยามที่พูดว่า “ลูกรัก ลูกชอบท่านฉู่ชวิ๋นหรือเปล่า? เห็นลูกสนใจเขาแบบนี้ ถ้าลูกชอบเขา พ่อก็ยินดีให้ลูกแต่งงานกับเขานะ”
“พ่อพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย?” เซี่ยเมี้ยวหยู่สะดุ้งเฮือก แก้มของเธอแดงระเรื่อ
เซี่ยไป่หยานหัวเราะด้วยความชอบใจ “นั่นไง หน้าแดงเลยเห็นไหม”
เซี่ยเมี้ยวหยู่พูดอะไรไม่ออก เธอเป็นคนที่ไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อนแต่น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกเขินอายเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“หนูแค่ชื่นชมในฝีมือของเขาเท่านั้น อีกอย่าง การไปอยู่ข้างกายผู้ชายแบบนั้น คนอื่นจะมองหนูยังไง?”
“คนจะมองลูกสาวพ่อว่ายังไงงั้นเหรอ? พวกเขาก็ต้องมองลูกด้วยความอิจฉาน่ะสิ”
เซี่ยเมี้ยวหยู่พูดอะไรไม่ออก บิดาของเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
“หนุ่ม ๆ ในเมืองเซี่ยเฉิงต่างหากที่หนูชอบ ท่านฉู่ชวิ๋นไม่ใช่สเป็คของหนูหรอก”
เซี่ยไป่หยานนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ได้แต่ส่ายศีรษะและหัวเราะด้วยความขมขื่น นับว่าบุตรสาวของเขาตาต่ำจริง ๆ ไม่ทันพวกเขาก็เห็นว่าฉู่ชวิ๋นเปิดประตูเข้ามา
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกกระดากใจเมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเมี้ยวหยู่ในขณะที่เปิดประตูเข้ามา
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว เซี่ยไป่หยานก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่เซี่ยเมี้ยวหยู่ หลังจากเห็นฉู่ชวิ๋น เซี่ยเมี้ยวหยู่ก็รู้ตัวทันทีว่าชายหนุ่มคงได้ยินสิ่งที่เธอพูดไปแล้ว จึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“คุณได้ยินที่ฉันพูดใช่ไหม?” เซี่ยเมี้ยวหยู่ถาม
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริงทุกอย่าง คุณไม่ใช่สเป็คของฉัน แต่ฉันจำเป็นต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าทำให้คุณเสียใจ ฉันต้องขออภัยด้วย” เซี่ยเมี้ยวหยู่พูดอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่ชวิ๋นได้แต่ยิ้ม “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย คุณหนูเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา น่านับถืออย่างยิ่ง”
ความจริงแล้ว ถ้าเธอแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในอนาคตคงมองหน้ากันลำบาก ดังนั้น การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“น้องฉู่เดินทางมาไกล ฉันสั่งให้คนเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้น้องฉู่แล้ว” เซี่ยไป่หยานพูด
ฉู่ชวิ๋นไม่ปฏิเสธ จนถึงตอนนี้เขาใช้วิชาตัวเบาเดินทางหลายพันกิโลเมตร แม้แต่น้ำสักแก้วก็ยังไม่ได้ดื่ม ในตอนนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
“ผมจะไปดูพวกเธอก่อนนะครับ” ฉู่ชวิ๋นไปที่ห้องพักซึ่งถางโร้วและจิ่วโยวใช้รักษาตัว
หลังตรวจอาการของเด็กสาวทั้งสองคนแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็พบว่าอาการของพวกเธอดีขึ้นมาก
“พี่ฉู่ชวิ๋น” บัดนี้ ถางโร้วลืมตาขึ้นมาแล้ว
ฉู่ชวิ๋นเดินตรงเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเธอ ถางโร้วได้รับบาดเจ็บน้อยกว่าจิ่วโยว จึงเป็นเหตุผลให้เธอฟื้นตัวเร็วกว่าเด็กสาวคนนั้น
ถางโร้วชำเลืองตามองจิ่วโยวที่ยังคงนอนสลบไสล ใบหน้าซีดขาวของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ถางโร้วกระซิบถาม “จิ่วโยวเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ไม่ต้องห่วง จิ่วโยวปลอดภัยแล้วแค่ต้องใช้เวลาพักฟื้นตัวสักหน่อย”
ถางโร้วได้แต่ก้มหน้าและกระซิบ “พี่ฉู่ชวิ๋น ฉันขอโทษ”
ฉู่ชวิ๋นอยากจะดุเธอเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นว่าถางโร้วสำนึกผิดแล้ว เขาก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไป
“ช่วยไม่ได้นะ แต่พวกเธอ 2 คนอวดเก่งเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันมาได้ทันเวลา ก็คิดดูเอาเถอะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ฉู่ชวิ๋นอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ในดวงตาของถางโร้วน้ำตาคลอเบ้ามันทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องไห้ออกมาแทนแบบนี้จะให้เขาพูดอะไรได้
“โอเค ๆ ไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าพวกเธอจะออกไปไหน เดี๋ยวพี่พาไปเอง” ฉู่ชวิ๋นอดโทษตัวเองไม่ได้เช่นกัน
เขาเคยสัญญาไว้ว่าจะพาถางโร้วไปฝึกวิชาด้วยกัน แต่เขานั่นแหละที่ผิดสัญญาเสียเอง
ฉู่ชวิ๋นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปหาหลิวหราน ก่อนจะส่งโทรศัพท์ไปให้ถางโร้ว “บอกคุณป้าซะว่าเธอปลอดภัยดีแล้ว”
ตอนที่ถางโร้วรับโทรศัพท์มือถือไปยกแนบหู ฉู่ชวิ๋นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ทันที ตามมาด้วยเสียงพึมพำของฉู่เทียนเหอกับหลิวหราน
ในที่สุด ถางโร้วก็ทำให้พ่อแม่ของฉู่ชวิ๋นสบายใจได้แล้วว่าเธอปลอดภัยจริง ๆ
แต่ฉู่ชวิ๋นก็ยังหนีเคราะห์กรรมไม่พ้น เขาโดนฉู่เทียนเหอกับหลิวหรานบ่นจนหูชา
“หิวไหม? ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ฉู่ชวิ๋นพูดขณะที่ช่วยถางโร้วลงจากเตียงและเดินออกมาจากห้อง
แต่ก่อนที่ถางโร้วจะได้ตอบอะไร กระเพาะของเธอก็ลั่นโครกครากเป็นคำตอบ เด็กสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย
ฉู่ชวิ๋นประคองถางโร้วออกมาจากห้อง เซี่ยไป่หยานรีบสั่งให้คนรับใช้ไปเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมาทันที
ตอนแรกเด็กสาวมาถึงที่นี่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส เซี่ยไป่หยานจึงไม่ทันได้สังเกต แต่ตอนนี้ชายชราเห็นแล้วว่าเด็กสาวคนนี้งดงามราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์เลยทีเดียว
ฉู่ชวิ๋นแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน
“ท่านฉู่ชวิ๋น คุณนี่โชคดีจริง ๆ” เซี่ยเมี้ยวหยู่เคยเรียกอีกฝ่ายว่าน้องฉู่แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนคำเรียกขานแล้ว เซี่ยไป่หยานถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้
แวบแรกฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกงงไม่น้อย แต่ก็เข้าใจความหมายของคุณหนูตระกูลเซี่ย ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มและไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
ถางโร้วใบหน้าแดงระเรื่อ เธอรู้ว่าสองพ่อลูกตรงหน้าคงให้ความช่วยเหลือพี่ฉู่ชวิ๋นไม่น้อย ทำให้ถางโร้วรู้สึกขอบคุณพวกเขามาก
นี่คือมื้ออาหารที่อร่อยมาก หลังรับประทานเสร็จ ถางโร้วก็กลับเข้าห้องไปพักรักษาตัวต่อ ฉู่ชวิ๋นกับเซี่ยไป่หยานหลบมานั่งคุยกัน
“ท่านเซี่ย คฤหาสน์ตระกูลหวังอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
สองพ่อลูกตระกูลเซี่ยพลันหัวใจกระตุกวูบ ฉู่ชวิ๋นอยากจะบุกไปถล่มตระกูลหวังจริง ๆ หรือ
“นายท่านฉู่ชวิ๋น ตระกูลหวังถือว่าเป็นพวกคนธรรมดานะคะ” มีกฎที่รู้กันดีในโลกยุทธภพว่า จอมยุทธ์ห้ามทำร้ายคนธรรมดาเด็ดขาด แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่สนใจกฎข้อนี้
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “งั้นในเมื่อพวกเขาเป็นคนธรรมดา ผมก็จะใช้อำนาจที่ผมมีในฐานะคนธรรมดาจัดการพวกเขา”
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ติดต่อไปที่ค่ายทหารประจำเมืองเซี่ยเฉิงและออกคำสั่ง
ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่งให้จับกุมสมาชิกตระกูลหวังทุกคนและยึดทรัพย์สินทุกอย่างของตระกูลหวังเข้าแผ่นดินให้หมด อะไรที่ตรวจสอบได้ตรวจสอบ อะไรที่ยึดได้ยึด อะไรที่ยึดไม่ได้ก็หาวิธียึดมาให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ภายใน 1 สัปดาห์ สมาชิกตระกูลหวังที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปก็ถูกจับกุมเข้าคุกทั้งหมด
ใครที่ขัดขืนก็ถูกยิงทิ้งในที่เกิดเหตุทันที
ในที่สุด สองพ่อลูกตระกูลเซี่ยก็ได้รู้ถึงความน่ากลัวของฉู่ชวิ๋นแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มผู้นี้มีอำนาจอยู่ในมือมากล้นเหลือเกิน
แม้แต่หัวหน้าหมายเลข 1 ในเมืองหลวงก็ยังตกใจ ถึงขั้นต้องโทรมาสอบถามด้วยตัวเองว่าฉู่ชวิ๋นทำเกินไปหน่อย
แต่ฉู่ชวิ๋นก็บอกความจริงให้เขารู้ทุกอย่าง เขาไม่มีอะไรให้ปิดบังจากหัวหน้าหมายเลข 1 อยู่แล้ว
สุดท้าย นายทหารชั้นใหญ่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารู้จักฉู่ชวิ๋นดี หากชายหนุ่มตั้งใจเล่นงานตระกูลหวังด้วยความโกรธแค้นจริง ๆ ตระกูลหวังคงต้องพบกับชะตากรรมที่น่าอนาถกว่านี้ หากฉู่ชวิ๋นอยากจะฆ่ากวาดล้างตระกูลหวังก็ง่ายเสียยิ่งกว่าฆ่ามดตัวหนึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้น การเลือกที่จะเล่นงานตามกฎหมายอย่างถูกต้อง จึงไม่ทำให้ฉู่ชวิ๋นต้องเสียภาพลักษณ์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่แม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นดีใจก็คือ หัวหน้าหมายเลข 1 เริ่มฝึกวิทยายุทธ์แล้ว ฉู่ชวิ๋นเลยสัญญาว่าจะเดินทางกลับไปช่วยเหลือให้อีกฝ่ายพัฒนาฝีมือให้ได้มากที่สุด
1 สัปดาห์ผ่านไป กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จิ่วโยวตื่นขึ้นมาแล้ว เธอเห็นฉู่ชวิ๋นนั่งอยู่ข้างเตียง เธอเลยรู้ดีว่าไม่อันตรายอะไรอีกแล้วแต่ถึงอย่างนั้น เด็กสาวก็ถูกฉู่ชวิ๋นตักเตือนจนหูชา
เด็กสาวสัญญากับฉู่ชวิ๋นว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว
จิ่วโยวถูกกักบริเวณอยู่ในม่านพลังรักษาตัวเป็นเวลา 3 วัน เพื่อคิดทบทวนพฤติกรรมของตัวเองให้ดี
ระหว่างนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย พูดคุยและจิบน้ำชากับเซี่ยไป่หยาน บางโอกาสก็ช่วยชี้แนะฝีมือของเซี่ยเมี้ยวหยู่ ซึ่งพยายามรักษาระยะห่างในความสัมพันธ์กับฉู่ชวิ๋นอย่างแข็งขัน
จนกระทั่งถึงวันที่ 10 อาการบาดเจ็บของถางโร้วก็หายดี จิ่วโยวเองก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า
ฉู่ชวิ๋นคิดว่าถึงเวลาบอกลาตระกูลเซี่ยเสียที
เซี่ยไป่หยานพูดว่าถ้ามีโอกาสเขาจะแวะไปเยี่ยมฉู่ชวิ๋นที่ภูเขาเฉียนหลง ฉู่ชวิ๋นก็รับปากว่าจะรอต้อนรับอย่างดี พอเห็นว่าความสัมพันธ์ที่ดีของเขากับตระกูลเซี่ยมั่นคงแล้วเขาก็จากมาก
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็เดินทางกลับไปที่เมืองกู่เจียงและตรงไปที่ภูเขาเฉียนหลงโดยทันที
ถางโร้วถูกพ่อแม่ของฉู่ชวิ๋นดุด่าชุดใหญ่
จิ่วโยวพยายามจะหลบหนีในจังหวะทีเผลอ แต่ก็ถูกหลิวหรานดึงหูมานั่งอบรมอยู่ 2 ชั่วโมงเต็ม สุดท้ายเด็กสาวก็ไม่กล้าทำตัวตลกกลบเกลื่อนอีก
แต่ผ่านไปได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ ฉู่ชวิ๋นก็มีเหตุให้ต้องเดินทางออกลงจากภูเขาเฉียนหลงอีกครั้ง เขาต้องเดินทางไปที่ปราสาทจตุรเทพ เพื่อใช้หม้อปรุงยามาปรุงยาชุดใหม่
คราวนี้ เขานำตัวถางโร้วกับจิ่วโยวตามไปด้วย
ไม่มีใครแน่ใจว่าสองสาวจะแอบหนีออกไปกันเองอีกหรือไม่ ดังนั้น เก็บพวกเธอไว้ข้างตัวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เมื่อฉู่ชวิ๋นมาถึงเมืองหลันโจว เขาก็ตรงไปยังเขตของปราสาทจตุรเทพทันที
ฉู่ชวิ๋นพบว่าเมืองหลันโจวได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนา มีจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์จำนวนมากคอยเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัย ทำไมถึงต้องใช้เวรยามแน่นหนาขนาดนี้นะ?
ฉู่ชวิ๋นหยุดถามลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพคนหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้น?
“ท่านคือนายท่านฉู่ชวิ๋นใช่ไหมครับ?” หัวหน้าลูกศิษย์จำฉู่ชวิ๋นได้
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ลูกศิษย์ปราสาทจตุรเทพ ทำความเคารพนายท่านฉู่ชวิ๋น” ทุกคนประสานมือคำนับเขาอย่างพร้อมเพียง
ฉู่ชวิ๋นกับเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แม้แต่ลูกชายของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสามพี่น้องก็ยังต้องเรียกชายหนุ่มว่าท่านอา แล้วพวกเขาจะกล้าละเลยต่อชายหนุ่มคนนี้ได้อย่างไร
อีกอย่าง มีใครบ้างที่จะกล้าไม่เคารพจอมมารฉู่ชวิ๋น?
“แล้วเกิดอะไรขึ้น จะรีบร้อนไปที่ไหนกัน?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หัวหน้าลูกศิษย์ดูลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ผมไม่รู้จะตอบยังไงดีครับ”
ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ
“นายท่านฉู่ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นหลายรายในเมืองหลันโจว ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าใครคือฆาตกรมันได้ควักหัวใจผู้หญิงหลายสิบคนออกไป”
“ควักหัวใจเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วนับว่าเป็นการฆ่าที่อำมหิตจริง ๆ แถมกับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงหลายสิบคน
หัวหน้าลูกศิษย์พยักหน้าและอธิบายต่อ “จนถึงตอนนี้เราก็ยังหาตัวฆาตกรไม่เจอ นายท่านเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยจึงสั่งให้พวกเราออกมาลาดตระเวน คอยรักษาความปลอดภัยนี่แหละครับ”
“แค่เมื่อคืนนี้คืนเดียว ก็มีผู้หญิงถูกควักหัวใจไปแล้วถึง 3 คน” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งพึมพำออกมา
“พาฉันไปดูศพพวกเธอหน่อยสิ” ในเมื่อเป็นเรื่องความเดือดร้อนของปราสาทจตุรเทพ ฉู่ชวิ๋นก็จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
ภายใต้การนำทางของกลุ่มลูกศิษย์เหล่านี้ ฉู่ชวิ๋นก็ได้มายืนดูศพของหญิงสาวทั้ง 3 คนที่ถูกควักหัวใจ
หญิงสาวทั้งสามคนนั้นนอนอยู่ในตรอกอันคับแคบ มีผ้าสีขาวคลุมร่างเอาไว้ บนพื้นดินมีแต่เลือดสีดำและมีลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพจำนวนมากคอยยืนกั้นพื้นที่โดยรอบเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปเปิดผ้าคลุมศพออกดู
“ฮื่อ…” ถางโร้วผงะถอยหลังไปด้วยความตกใจกลัว
ทุกสายตาของลูกศิษย์จากปราสาทจตุรเทพ หันไปจับจ้องที่เด็กสาวเป็นจุดเดียว มากับจอมมารฉู่จะกลัวอะไร?
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถางโร้วถึงตกใจกลัว หญิงสาวผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คนคงจะมีหน้าตางดงามไม่น้อยตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่ในตอนนี้ใบหน้าของพวกเธอบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง มองไปแล้วก็น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
เสื้อผ้าของพวกเธอที่สวมใส่ยังคงเรียบร้อยดี มีแต่เพียงบริเวณหน้าอกตรงส่วนหัวใจเท่านั้นที่ฉีกขาด มีเส้นเลือดห้อยระโยงระยางออกมาด้านนอกดูน่าหวาดกลัว
นี่คือการควักหัวใจออกมาตอนที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ เส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับหัวใจถูกฉีกกระชากแบบสด ๆ
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา ใครคือฆาตกร? ต้องเป็นคนแบบไหนถึงฆ่าคนธรรมดาได้ใจดำอำมหิตขนาดนี้?
เขามองไปที่ร่องรอยบาดแผลการควักหัวใจบนหน้าอกก็พบว่ามันเหมือนเป็นการลงมือด้วยกรงเล็บของสัตว์บางชนิด ที่พุ่งทะลุเข้าไปควักหัวใจของเหยื่อออกมาตรง ๆ
กระดูกสันอกที่คอยกั้นหัวใจของหญิงสาวทั้งสามคนนี้ มีสภาพแตกหักไม่เหลือชิ้นดี
“มีคนตายมากมายขนาดนี้? แต่ยังไม่มีเบาะแสกันอีกเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปถาม
กลุ่มลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพมีสีหน้าละอายใจ ทุกคนได้แต่ส่ายหัว และมีคนนึงพูดออกมาว่า “นายท่านครับ หญิงสาวทั้งสามคนนี้เป็นเด็กนั่งดริ้งก์ในไนท์คลับแถวนี้ พวกเธอมาจากต่างเมืองและเช่าห้องอยู่ด้วยกัน 4 คนห้องเช่านั้นไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่ พวกเธอเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับที่พักนี่แหละครับ”
ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสนใจ “4 คน? อีกคนนึงหายไปไหนล่ะ?”
“เสียสติครับ เธอเสียสติไปแล้ว”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย
“ติดต่อครอบครัวของพวกเธอซะ ถ้าติดต่อไม่ได้ก็จัดพิธีฝังศพตามความเหมาะสม” พูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ลุกขึ้นยืน “พาฉันไปหาผู้หญิงที่เสียสติคนนั้นหน่อย”
ถางโร้วเลิกคิ้วขึ้นสูงและพูดออกมา “พี่ฉู่ชวิ๋น ทำไมที่นี่ถึงมีหมอกดำเยอะเหลือเกินคะ?”
“ไหนหมอกดำ?” จิ่วโยวกวาดสายตามองทั้งซ้ายทั้งขวา แต่ก็ไม่พบเห็นอะไรเลย
ฉู่ชวิ๋นส่งสัญญาณผ่านทางสายตาไม่ให้ถางโร้วพูดอะไร เนื่องจากฝึกวิชาคนละสายกับจอมยุทธ์ เขากับถางโร้วจึงสามารถมองเห็นว่าภายในตรอกคับแคบแห่งนี้ มีมวลพลังงานสีดำลอยอบอวลอยู่เป็นจำนวนมาก