บทที่ 379

บทที่ 379

“ถูกต้อง ข้าเคยเห็นหน้านางตอนสมัยเด็ก ๆ มาก่อน ทว่าข้าไม่คุ้นหน้าคุ้นตากับเด็กคนนี้เลย ดังนั้นนี่ต้องไม่ใช่จ้าวหลิงแน่”

จ้าวหลิงถึงกับหน้าซีดเผือดในทันใดเมื่อได้ยินแบบนี้ นางสิ้นหวังมากกว่าเดิม ส่วนพวกขุนนางต่างก็ตะลึงกันยกใหญ่

การที่บอกว่าจ้าวหลิงเป็นตัวปลอมมันก็อาจเป็นแค่ข้อสงสัย แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากปากพระสนมทั้งหลายแบบนี้ ก็ย่อมหมายความว่านี่เป็นความจริงแล้ว !

เหลียงซิงที่ตั้งสติได้ก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “นายหญิง บางทีท่านอาจจะจำไม่ได้เพราะตอนนั้นจ้าวหลิงเด็กมากก็เป็นได้ ตอนนี้นางโตขึ้นมากแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะหน้าตาเปลี่ยนไป และเมื่อผนวกกับชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก มันก็เลยอาจทำให้นางกลายเป็นอย่างที่พวกท่านเห็นในตอนนี้”

ทว่าปินเฟยกลับตอบสวนมาในทันใดว่า “ข้าเข้าใจดี แต่ถ้าจ้าวหลิงโตขึ้นมาเป็นสาว งั้นแล้วนางก็ไม่ควรที่จะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถ้าท่านเหลียงไม่เชื่อ งั้นแล้วท่านก็ลองดูที่ต้นคอจ้าวหลิงสิ ว่ายังมีปานสีแดงรูปใบเมเปิ้ลหรือเปล่า”

ปานแดง ? ที่ต้นคอของจ้านหลิงมีด้วยหรือ ? พวกขุนนางต่างก็รู้ไม่แต่น้อย และพากันทำท่าสนใจจะตรวจสอบ ทว่ากลับเป็นจ้าวหลิงที่แสดงอาการหวาดกลัวออกมา นางได้แต่ถอยหลังพร้อมส่ายหัว “เจ้า เจ้าโกหก เจ้ายังไม่เคยเจอข้ามาก่อนและข้าก็ไม่มีปานด้วย !”

หนึ่งในนางสนมพูดขึ้นอีกครา “ข้าจำได้ว่าท่านอ๋องคนก่อนเคยพูดถึงเรื่องปานนี้ โดยบอกว่ามันช่างน่ารังเกียจเกินกว่าจะทนดูได้ ข้าว่าข้าจำได้แม่นเชียวล่ะ”

นางสนมคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าให้พร้อมกันกับคำนั้น

เมื่อทุกคนพูดแบบนี้ ก็ทำให้เหลียงซิงหมดทางเลือกอื่น เขาเดินเข้าไปแล้วดูที่หลังคอของจ้าวหลิงที่กำลังมึนงง

ที่ด้านหลังคอของจ้าวหลิงไม่มีอะไรทั้งนั้น มันราบเรียบสวยงาม

เหลียงซิงตะลึงแล้วตัวแข็งทื่อ เขาเคยคิดว่าจะต้องมีคนที่มาสานต่อบัลลังก์แคว้นเฟิงได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็แค่คิดไปเองเท่านั้น

ชายแก่ตะลึง พวกขุนนางคนอื่นที่เห็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ส่วนจี้หยางก็เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนไม่กล้าปรากฏตัว

ถังหยินหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วเดินไปหาเหลียงซิง “ท่านเหลียง ท่านพบเจออะไรบ้าง ใช่รอยปานที่พระสนมบอกหรือไม่ ? รบกวนบอกพวกเราที !”

เหลียงซิงได้สติแล้ว เขาหันมองถังหยินกับพวกพระนางสนมแล้วจึงครุ่นคิดกับตัวเอง หรือว่าถังหยินมันวางแผนเอาไว้กับพวกนางแล้ว ? เหลียงซิงมองพวกนางทุกคน ก่อนจะสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

เป็นไปได้ว่าถังหยินจะข่มขู่พวกนาง ทำให้ชีวิตของพวกนางทั้งหมดผูกติดไว้กับอีกฝ่าย….

คิดได้แบบนั้นเหลียงซิงก็เข้าใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถังหยินถึงได้อยากมาที่วังหลวงนัก ทุกอย่างมันเป็นแผนนี่เอง ทำไมเขาไม่ฉุกคิดให้เร็วกว่านี้นะ ?

กว่าเหลียงซิงจะเสียใจมันก็สายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะเปลี่ยนการพิสูจน์ในครั้งนี้ได้เลย !

เขาสูดหายใจเข้าลึก ด้วยตนนั้นดูถูกถังหยินมากเกินไป จึงได้แต่ยืนส่ายหัวแล้วก้มให้กับพวกขุนนางทั้งหลาย “ไม่มีปานอะไรทั้งนั้น ดูเหมือนว่านางน่าจะเป็นตัวปลอม ข้าผิดเองที่ไม่ดูให้ดีก่อน”

ฮัวหลงเย้ยหยั่น “ถ้าจะลงโทษ ก็ไม่สมควรจะลงโทษแค่ท่านเหลียงคนเดียว แต่ควรเป็นพวกขุนนางทั้งหมดนั่นแหละ ! นี่พวกเจ้าคิดจะใช้เด็กคนนี้มาหลอกลวงแคว้นเฟิงอันยิ่งใหญ่งั้นหรือ ?”

ประโยคนี้รุนแรงมากจนทำให้ทุกคนตะลึง พวกเขารีบคุกเข่าลงทันที

ถังหยินเข้าใจดีว่าเขาไม่ควรจะทำอะไรทั้งนั้นในตอนนี้

เพราะถ้าหากเรื่องนี้เป็นไปตามแผล งั้นแล้วมันก็จะทำให้เหลียงซิงหนีไม่พ้น ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะโค้นล้มอีกฝ่าย ทว่าปัญหาก็คือเหลียงฉีที่เป็นแม่ทัพซานชุยที่ฉลาดพอสมควร แล้วยังมีชื่อเสียงมากมาย ถ้าหากเหลียงซิงโดนลงโทษไปแล้ว เหลียงฉีจะยังภักดีต่อเขาหรือไม่ ?

ถังหยินไม่แน่ใจว่าการลงโทษเหลียงซิงจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่

ระหว่างที่เขาลังเล ฮัวหลงก็พลันพูดขึ้น “จากมุมมองของข้า ท่านเหลียงเองก็แก่มากแล้ว งานเสนาบดีคงจะหนักเกินไป ทำไมท่านไม่คิดจะพักผ่อนสักหน่อยเล่า ?”

ทุกคนตัวสั่นทันที แม้ว่าฮัวหลงและนางกำนัลจะไม่มีสิทธิ์ในการจัดการงานราชการของแคว้น แต่ในตอนนี้ไม่มีอ๋องขึ้นปกครอง จึงทำให้พวกนางสามารถใช้จังหวะนี้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ

ถังหยินลังเลก่อนจะครุ่นคิด ฮัวหลงไม่ใช่แค่หญิงสาวธรรมดา แต่ยังมีความทะเยอทะยานสูงมาก นอกจากจะเป็นนางสนมแล้ว ก็ยังคิดยุ่งเกี่ยวกับงานราชการอีก ถ้าหากเขาให้นางทำแบบนี้ ต่อไปในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ?

ถังหยินไอออกมาอย่างรุนแรง “แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะให้อภัย แต่ข้าว่าการที่ท่านหญิงทำแบบนี้มันก็เกินไปนะ”

ฮัวหลงสงสัยในคำพูดของถังหยิน นางมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ

ถังหยินเข้าใจว่านางต้องการสื่ออะไร แต่ชายหนุ่มทำเป็นไม่เห็นแล้วพูดต่อ “พระสนมไม่ควรมายุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง แม้แต่ภริยาเอกของท่านอ๋องเองก็ไม่เว้น นี่เป็นกฎมณเฑียรบาลของแคว้นเฟิงมาตั้งแต่โบราณแล้ว และไม่มีใครล้มล้างได้ ดังนั้นการปลดท่านเสนาบดีเหลียงออกจากตำแหน่งต้องขึ้นอยู่กับราชสำนักเท่านั้น”

ฮัวหลงพูดไม่ออก นางต้องการใช้โอกาสนี้จัดการเหลียงซิงเพื่อเป็นการเอาใจถังหยิน แต่กลับนางเดินหมากผิดไปและทำให้ถังหยินเข้าใจผิดเสียเต็มเปา ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงได้แต่พูดออกไปว่า “ท่านถังพูดถูก ข้าคงพูดมากเกินไป”

พวกขุนนางโดยรอบต่างก็งุนงงไม่รู้ว่าถังหยินหัวไปกระแทกอะไรมา ทำไมเขาถึงได้พูดปกป้องเหลียงซิงที่เป็นศัตรูของตนกัน ?

แม้แต่เหลียงซิงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขามองถังหยินและไม่รู้ว่าจะโกรธหรือขอบคุณดี

แต่ถังหยินนั้นมีเรื่องอื่นที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่า เพราะถ้าเขาปลดเหลียงซิงออก มันก็จะเหลือแค่อู่หยู่คนเดียวในราชสำนัก ซึ่งนั่น…. อาจเป็นปัญหาในภายภาคหน้าได้ สู้ให้มีด้วยกันสองคนแล้วปะทะคารมกันเองแล้วปล่อยให้ถังหยินลอยตัวจากปัญหาไปจะดีกว่า

ถังหยินตะโกนออกมา “ทหาร !”

พวกทหารยามรีบวิ่งเข้ามาทันที “นายท่านต้องการสิ่งใด ?”

“พาเจ้าตัวปลอมนี่ออกไป”

“รับทราบ”

พวกทหารยามวิ่งเข้ามาลากตัวจ้าวหลิงออกไปทันที

“ท่านเสนาบดีช่วยข้าด้วย ! ข้าถูกใส่ร้าย !” จ้าวหลิงมองเหลียงซิงด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างสิ้นหวัง

เหลียงซิงนิ่งเฉย เขาไม่อาจทำอะไรได้เลย แม้แต่จะปกป้องตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ไม่ว่าจ้าวหลิงจะเป็นตัวจริงหรือปลอมเขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว

พวกทหารลากตัวเด็กสาวออกไป ถังหยินมองทุกคนแล้วพูดขึ้น “ข้าจะสืบเรื่องนี้เอง เพื่อที่จะหาคำตอบว่าทำไมนางถึงได้เรื่องราวภายในมากนัก และทำไมถึงได้มีหยกในครอบครองด้วย แล้วข้าจะกลับมาอธิบายให้พวกท่านฟังใน 3 วัน”

เหลียงซิงกับคนอื่นประกบมือให้ “รบกวนท่านถังด้วย”

ชายหนุ่มไม่ได้สั่งขังจ้าวหลิงแต่ให้พากลับไปที่จวนของเขาเพื่อสอบสวนด้วยหน่วยศรทมิฬ

ฮัวหลงเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเด็กคนนี้ใช่ตัวจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่คิดจะถามเรื่องนี้กับคนอื่น

นางเคยเห็นจ้าวหลิงตอนเด็กมาก่อน ดังนั้นเมื่ออีกฝ่าย ณ ปัจจุบัน นางก็พลันรู้สึกว่าเด็กคนนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงเรื่องปาน ที่ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ว่าที่แท้แล้วมันยังไงกันแน่ !!