บทที่ 326 : ขั้นรู้แจ้ง

กล่องหยกนี้หลิงหยุนแกะสลักเป็นหลุมพลังไว้ถึงสี่สิบเก้าชั้น ในระหว่างที่ฝึกวิชาพลังลับหยินหยางนั้น เขาได้ใช้พลังอมตะในกล่องหยกนี้ไปจนหมดแล้ว ตอนนี้เขาจึงนำออกมาเพื่อให้มันดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้าไปแทน

หลิงหยุนวางกล่องหยกไว้ที่ขอบบ่อน้ำลายมังกร ปล่อยให้มันทำการดูดซับพลังชีวิตไปเรื่อยๆ และเมื่อเห็นว่ากล่องหยกดูดซับพลังชีวิตเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว หลิงหยุนก็รู้สึกพอใจอย่างมาก

หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว หลิงหยุนก็โบกมือเรียกเจ้าขาวปุยให้เข้าไปหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดี

“น้ำลายมังกรนี่มีประโยชน์ต่อการฝึกของเจ้ามาก ดื่มเข้าไปเร็วเข้า..”

เจ้าขาวปุยมองน้ำลายมังกรที่อยู่ในบ่อหิน แต่ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป ดวงตาคู่สวยมีเสน่ห์ของมันจ้องมองหลิงหยุนราวกับจะถาม..

“นี่เป็นของดีจริงๆ เร็วเข้า..” หลิงหยุนใช้ขวดน้ำแร่ในมือของเขาตักน้ำลายมังกรขึ้นมา และนำไปป้อนให้กับเจ้าขาวปุย

เจ้าขาวปุยเริ่มดื่ม ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยความสุขและพอใจ มันตั้งใจจะดื่มให้ถึงครึ่งขวด แต่หลิงหยุนดึงกลับไปคืน..

“ระดับขั้นของเจ้ายังไม่สูงพอ ดื่มมากเกินไปก็จะไม่เป็นผลดีต่อการฝึกของเจ้า เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป..” หลิงหยุนยิ้มให้กับเจ้าขาวปุย

หลิงหยุนสังเกตุเห็นว่ากำลังภายในของเจ้าขาวปุยได้พัฒนาขึ้นในระหว่างที่ฝึกฝนอยู่ที่ดวงตามังกรหยิน ตอนนี้มันดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปแล้ว หลังจากกลับไปฝึกฝนต่อที่บ้านอีกสักระยะหนึ่ง หางที่สามของมันก็จะงอกและโตเต็มที่

ถึงตอนนั้น เขาจะพาเจ้าขาวปุยไปหาที่สำหรับซ่อนตัว หลังจากที่มันสามารถผ่านบททดสอบที่เหี้ยมโหดได้แล้ว เจ้าขาวปุยก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้

เมื่อเห็นหลิงหยุนดึงขวดน้ำลายมังกรกลับไป เจ้าขาวปุยก็มองหลิงหยุนอย่างไม่พอใจนัก แต่นัยน์ตามีเสน่ห์ของมันกลับมีรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปนั่งฝึกอยู่ข้างๆสองคนนั้น

ก่อนหน้าที่เจ้าขาวปุยจะมาพบหลิงหยุนนั้น มันเองก็ไม่เคยสัมผัสกับมนุษย์มาก่อน แต่เมื่อมาอยู่กับเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ย นิสัยและลักษณะท่าทางของมันก็เริ่มเหมือนคนมากเข้าไปทุกที

ความจริงแล้วตัวหลิงหยุนเองไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำลายมังกรก็ได้ เพราะจุดประสงค์ของการดื่มน้ำลายมังกรนั้น ก็เพื่อต้องการพลังชีวิตของมัน แต่ร่างกายของหลิงหยุนสามารถดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรได้เอง จึงไม่มีความแตกต่างอะไรระหว่างดูดซับเข้าไปกับการดื่มเข้าไป

เจ้างูเหลือมยักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส ตอนนี้มันยังคงนอนสลบไสลไม่รู้สึกตัว หลิงหยุนมองมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดครู่หนึ่ง ก่อนจะนำขวดไปบรรจุน้ำลายมังกร แล้วเอาไปรินใส่ปากของมัน

หลังจากที่รินน้ำลายมังกรให้เจ้างูยักษ์ดื่มแล้ว หลิงหยุนก็โยนขวดน้ำแร่ทิ้งไปพร้อมพูดกับมันว่า “นี่อาจเป็นชะตากรรมของเจ้าก็ได้ หากเจ้าสามารถรอดชีวิตได้ ก็นับว่าเป็นโชคของเจ้า! ข้าเองก็ได้พยายามสุดความสามารถของข้าแล้ว!”

หลังจากพูดกับเจ้างูยักษ์จบแล้ว หลิงหยุนก็เริ่มมองสำรวจไปตามกำแพงหินอีกครั้ง เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีกลไกสำหรับเปิดประตูศิลานั่นได้

“มันต้องมีกลไกอยู่ที่ใหนสักแห่ง!”

หลิงหยุนหันไปมองรอบๆกำแพงหิน กระโดดขึ้นไปสำรวจเพดานถ้ำ แต่ก็พบเพียงแค่แผ่นหินที่ว่างเปล่า ไม่มีปุ่มหรือกลไกใดๆให้เห็นเลย

“เข้าไปด้านในไม่ได้จริงๆหรือนี่? ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้ที่สร้างค่ายกลแห่งนี้ช่างล้ำลึกนัก..” หลิงหยุนเดินวนแล้ววนอีกอย่างไม่ย่อท้อ

หลิงหยุนมาที่นี่เพื่อตั้งใจจะมาฝึกวิชาลับหยินเท่านั้น แต่เขากลับมีผลพลอยได้อย่างอื่นกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดตันเถียนและเส้นลมปราณที่ขยายและแกร่งขึ้นจากเดิมหลายเท่า และยังสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังได้สมบัติล้ำค่าอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ กระบี่มังกรขาว อีกทั้งของวิเศษจากหลวงจีนชรากลับไปด้วย

หลวงจีนชรารูปนั้นมรณภาพในท่านั่งเช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้วไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งของต่างๆของเขาที่อยู่ภายใต้อุณหภูมิที่ติดลบเป็นสิบองศา กลับไม่บุบสลายลงไปแม้แต่น้อย หากไม่เรียกว่าของวิเศษ จะให้เรียกว่าอะไร?

นอกเหนือจากนั้นแล้ว หลิงหยุนยังได้ไข่มุกราตรีในตำนานกลับไปถึงเก้าสิบเก้าเม็ด เพียงแค่นี้เขาก็ควรจะดีใจและพอใจอย่างมากแล้ว..

แต่เมื่อได้ยินเรื่องสมุดจักรพรรดิ! หลิงหยุนกลับรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า และมีความอัศจรรย์กว่าสมบัติชิ้นใหนๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่อยากจะได้มันกลับไปด้วย!

‘พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ น่าจะต้องเป็นของวิเศษที่มีคุณสมบัติในระดับเดียวกัน และน่าจะเป็นของคู่กัน!’

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่เงียบๆ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ เพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในดวงตามังกรหยินหยางนั้น พู่กันจักรพรรดิก็ได้ถ่ายเทพลังอมตะกับปราณมังกรลงไปในร่างกายของเขาแล้ว หากเขาได้เป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้น คงจะสะเทือนไปทั้งโลกและสวรรค์!

การที่หลิงหยุนได้ครอบครองพู่กันจักรพรรดิ ก็ไม่ต่างจากการได้ครอบครองดวงตามังกรทั้งสองข้างและหัวใจมังกรของค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้

‘ว่าแต่.. มังกรหายไปใหน? หรือมันหนีออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว? แล้วก็เอาสมุดจักรพรรดิไปด้วย?’

หลิงหยุนนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไปๆมาๆ เขาเดินครุ่นคิดจนมาหยุดอยู่หน้าประตูศิลาทั้งสามบาน

‘พายุกระบี่.. เกิดจากพลังงานในค่ายกลแห่งนี้.. ’ หลิงหยุนคิดว่าประตูศิลาทั้งสามบานนี้ไม่น่าจะเหมือนประตูธรรมดาทั่วไป เขาคิดว่าการทำงานของมันน่าจะไม่เหมือนค่ายกลปกติ ต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพลังงานลึกลับในที่แห่งนี้

ดูเหมือนว่าพลังงานในค่ายกลแห่งนี้ น่าจะเหนือกว่าพลังแห่งพุทธะที่อยู่ในอารามตรงตำแหน่งดวงตามังกรหยิน ไม่เช่นนั้นแล้วหลวงจีนรูปนั้นก็คงจะเข้าไปด้านในประตูได้แล้ว

ค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้น่าจะเกิดขึ้นก่อน จากนั้นไม่รู้เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ หลวงจีนนั่นจึงได้เข้ามาอยู่ที่ดวงตามังกรหยิน และหลังจากมรณภาพไปนาน เจ้าของโลงศพทองแดงสัมฤทธิ์นั่นจึงตามเข้ามา..

แล้วมังกรล่ะ? มังกรนั่นหนีออกไปจากค่ายกลแห่งนี้ก่อนหรือหลังที่หลวงจีนจะเข้ามาที่นี่กัน?

‘ค่ายกลแห่งนี้สร้างขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว? สามพันปี หรือว่าห้าพันปี..?” หลิงหยุนอดที่จะประหลาดใจกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งขนาดนี้ไม่ได้

‘หรือมันจะเป็นเพียงแค่เทพนิยาย..’

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นาน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางคิดหาคำตอบในเรื่องลี้ลับเหล่านี้ได้ เพราะตอนนี้ตัวเขาเองยังอยู่ในขั้นที่ต่ำเกินไป ต้องรอจนกว่าจะเข้าสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ จึงค่อยหาทางหาคำตอบจะดีกว่า

ในที่สุด.. หลิงหยุนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้าไปจนเต็มแล้ว

‘นี่ข้าใช้เวลาดูดซับไปนานเท่าไหร่กัน? น่าจะเจ็ดหรือแปดชั่วโมงเป็นอย่างน้อย? ขนาดพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างน้ำลายมังกรยังใช้เวลาดูดซับนานถึงเพียงนี้ อยากรู้นักว่าจุดตันเถียนของข้าจะมีพลังชีวิตอยู่มากมายแค่ใหน?’

การที่ร่างกายของเขาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นในครั้งนี้นั้น ค่อนข้างอยู่เหนือความรู้ที่เขามีในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายในที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก หลิงหยุนรู้สึกแปลกใจ แต่ก็มีความสุข

แต่ถึงแม้จะไม่รู้ หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน เขาจะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเองเมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ และได้จิตหยั่งรู้

เจ้าขาวปุยเดินลมปราณเสร็จเป็นรายแรก มันตื่นขึ้นมาและวิ่งมาหาหลิงหยุนทันที หางใหญ่ๆของมันโบกสะบัดไปมา

หลิงหยุนก้มมองเจ้าขาวปุย และรู้ว่ามันก้าวหน้าขึ้นแล้ว เขาจึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้..

เจ้าขาวปุยเห็นหลิงหยุนยิ้ม มันจึงยกขาหน้าขึ้นทั้งสองข้างขึ้นแตะหลิงหยุน เขารู้ว่ามันต้องการให้อุ้ม จึงก้มลงอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมแขน และลูบไล้ขนที่นุ่มนวลของมัน แล้วเดินไปนั่งข้างบ่อหิน

เจ้างูยักษ์ยังคงแน่นิ่งสลบไสล.. หลิงหยุนได้รินน้ำลายมังกรเข้าปากของมันไปแล้วถึงสามขวด เขาไม่กล้าที่จะให้มันดื่มมากกว่านี้ เพราะหากดื่มเข้าไปมากจนเกินไปกลับจะยิ่งไม่เป็นผลดี

ตงฟางถิงที่เพิ่งเดินลมปราณเสร็จ ลุกขึ้นมาอย่างกะปรี้กะเปร่า!

เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย แล้วรีบเดินไปคาราวะหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาจากใจ “หลิงหยุน.. บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิต และมอบน้ำลายมังกรให้กับข้า ข้าตงฟางถิงซาบซึ้งและจะขอจดจำไว้ วันข้างหน้าข้าต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”

จากที่เกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังนั้น ตระกูลเก่าแก่ล้วนมีอำนาจ ตอนนี้เขาก็ได้ทำดีกับตระกูลเก่าแก่ถึงสองตระกูล เขาคงไม่ต้องเกรงกลัวตระกูลซันกับองค์กรนักฆ่าที่คอยสร้างปัญหาให้กับเขาอีกแล้ว!

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่ตงฟาง.. ตอนนี้พี่อยู่ขั้นใหนแล้ว?”

ตงฟางถิงตอบพร้อมกับยิ้มอายๆ “ก่อนที่ข้าจะลงมาที่ก้นหลุมแห่งนี้ ข้ายังอยู่ในระดับต้นของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่ตอนนี้กลับสามารถเข้าสู่ระดับกลางได้แล้ว น้ำลายมังกรมีพลังมากก็จริง แต่กลับให้ผลกับข้าน้อยนัก หรือข้าอาจจะไม่มีพรสวรรค์ก็เป็นได้..”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “พี่ตงฟางอย่างเพิ่งรีบร้อน ข้าคาดว่าพี่จะต้องเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ภายในสองเดือนนี้อย่างแน่นอน?”

ตงฟางถิงถึงกับเกาศรีษะพร้อมกับตอบอายๆ “น้องหลิงหยุน.. เจ้านี่รอบรู้มากจริงๆ ใช่แล้ว.. อีกสองเดือนข้างหน้าข้าก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้จริงๆ!”

หลิงหยุนรีบแสดงความยินดีล่วงหน้า “ข้ายินดีด้วยจริงๆ..”

“หลิงหยุน.. ข้าจะบอกที่อยู่และเบอร์ติดต่อให้กับเจ้า เจ้าไปหาข้าได้ตลอดเวลา!” พูดจบตงฟางถิงก็บอกที่อยู่และเบอร์โทรให้กับหลิงหยุน

หลิงหยุนฟังแค่รอบเดียวก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ และได้ให้เบอร์โทรของเขากับตงฟาถิงเช่นกัน

ตงฟางถิงถามหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ข้ามีคำถามที่อยากรู้ ข้าพบว่าตัวข้าเองไม่สามารถดูกำลังภายในของเจ้าออก แต่สัญชาติญาณของข้าก็บอกว่า เจ้ายังไม่อยู่ในขั้นที่สูงนัก..”

หลังจากที่จุดตันเถียนของหลิงหยุนได้ขยายอย่างประหลาดนี้ ผู้ที่มีกำลังภายในเหนือกว่าเขาก็ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในขั้นใหน

หลิงหยุนได้แต่หัวเราะ “กำลังภายในของข้าน่าจะไม่เกินขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก..”

แม้แต่หลิงหยุนเองยังคลุมเคลือไม่แน่นใจ เขารู้เพียงว่าตนเองอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 แต่หลังจากที่ฝึกพลังลับหยินหยางไปแล้ว กำลังภายในของเขาก็ดูประหลาดไม่ชัดเจน

‘ข้าคงจะไม่สามารถเทียบท่านแม่ได้ แต่หากเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 แม้ข้าจะไม่สามารถสู้ได้ แต่ก็น่าจะหลบหนีได้’

ตอนนี้หลิงหยุนไม่มีโซ่ตรวนแห่งพลังชีวิตคอยล่ามเขาไว้อีกแล้ว เขาจะหนีเอาตัวรอดเมื่อไหร่ และไปที่ใหนๆก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา

“กำลังภายในก็ยากที่จะคาดเดา วิชาแพทย์ของเจ้าก็เป็นเลิศหาใครเทียบไม่ได้ อีกทั้งยังมีสุนัขจิ้งจอกสองหางที่สวยงามคอยติดตาม ที่สำคัญเจ้ายังมีใบหน้าที่หล่อเหลามากอีกด้วย ไม่ทราบว่าน้องชายมีหญิงสาวรู้ใจหรือยัง? หากยังไม่มี ข้าจะแนะนำน้องสาวของข้าให้รู้จัก นางเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเลยทีเดียว..” ตงฟางถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ได้ฟังคำชื่นชมของตงฟางถิง หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก ขนาดหลิงหยุนที่เป็นคนหน้าหนาอย่างมากยังแทบรับไม่ได้ เขารีบโบกมือและพูดขึ้นว่า

“พี่ตงฟาง.. พี่ชมข้าเกินไป! อย่าล้อข้าเล่นแบบนี้..”

หญิงสาวรู้ใจน่ะเหรอ.. เป็นเรื่องที่ปวดหัวสำหรับหลิงหยุนมาก!

ตงฟางถิงถึงกับหัวเราะเสียงดัง เขาหันไปมองตู้กู่โม่ที่ยังคงเดินลมปราณอยู่ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ “เหตุใดกำลังภายในของตู้กู่โม่จึงสามารถก้าวหน้าได้เร็วเช่นนั้น? ดูเหมือนว่า.. เขาจะเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้วสินะ!”

หลิงหยุนแสร้งทำเป็นตกใจ “โอ้ว.. จริงด้วย! นี่เขาคงดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปมากสินะ?”

ตงฟางถิงพึมพำออกมาด้วยความอิจฉา “ตู้กู่โม่อายุน้อยกว่าข้าถึงห้าปี แต่เขากลับสามารถมีกำลังภายในอยู่ในระดับเดียวกับข้าได้ พวกเราทั้งคู่ดื่มน้ำลายมังกรเหมือนกัน แต่ข้ากลับเข้าสู่เพียงแค่ระดับกลาง แต่เขาขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดแล้ว.. ตระกูลตู้กู่ช่างล้ำเลิศนัก!”

หลิงหยุนรู้ดีว่าที่ตู้กู่โม่ก้าวหน้าได้เร็วนั้น เป็นเพราะพลังอมตะที่เขาถ่ายเทให้ มันสามารถช่วยเร่งรัดให้ตู้กู่โม่ก้าวกระโดดจากขั้นโฮ่วเทียน-8 ไปถึงขั้นเซียงเทียน-2 ได้ทันที และหากเขาไม่สามารถทำได้ ก็เท่ากับเขาล้มเหลว!

“พี่ตงฟาง.. ที่นี่มีน้ำลายมังกรมากมาย ท่านฝึกต่ออีกดีหรือไม่?” หลิงหยุนเสนอ

ตงฟางถิงยักไหล่ “ข้าไม่ฝึกแล้วล่ะ.. ข้ารู้สึกว่าใต้พื้นดินลึกห้าร้อยเมตรแห่งนี้มีเรื่องเหลือเชื่อมากมาย อีกอย่างถ้าข้าให้เจ้าคอยคุ้มครอบให้แบบนี้ ข้าเองรู้สึกเกรงใจ! ในเมื่อหาสมุดจักรพรรดิไม่พบ ข้าก็จะรอตู้กู่โม่และร่ำลาเขาก่อน”

ได้ยินเช่นนั้น หลิงหยุนจึงไม่ห้ามตงฟางถิง พร้อมกับบอกให้เขานำน้ำลายมังกรกลับไปให้มากที่สุดด้วย

“เจ้าช่างรู้ใจข้านัก!” นั่นเป็นสิ่งทีตงฟางถิงต้องการ เขาหยิบขวดน้ำแร่สองขวดขึ้นมา และตักน้ำลายมังกรใส่จนเต็มพร้อมกับปิดฝาไว้แน่น

เมื่อเห็นว่าตู้กู่โม่ยังคงฝึกไม่เสร็จ หลิงหยุนก็หันไปถามตงฟางถิงว่า “พี่ตงฟาง ระหว่างนี้พี่ช่วยเล่าเรื่องตระกูลเก่าแก่ และนิกายลับให้ข้าฟังหน่อยจะได้ไม๊?”

หลิงหยุนอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเก่าแก่และนิกายลับมากที่สุดในตอนนี้ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประโยชน์กับเขามากเท่านั้น

ตงฟางถิงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหลิงหยุน ดังนั้นไม่ว่าหลิงหยุนถามอะไร เขาก็บอกทุกอย่างที่รู้ และนั่นทำให้หลิงหยุนเข้าใจและตระหนักถึงอำนาจและอิทธิพลในประเทศจีนนี้ดียิ่งขึ้น

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องขั้นเซียงเทียน และหลิงหยุนก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ขั้นเซียงเทียนมีทั้งหมดเก้าระดับ หากผ่านระดับเก้าที่สูงสุดไปแล้ว ต่อจากนั้นจะเป็นขั้นอะไร?”

ตงฟางถิงหัวเราะ “ข้าเองก็เคยถามเรื่องนี้กับคนเก่าแก่ในตระกูลของข้าเช่นกันกัน แต่พวกเขาบอกว่าการจะเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก แต่ปู่ก็บอกว่าหลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นรู้แจ้ง..”

“ขั้นรู้แจ้งงั้นรึ..?” หลิงหยุนร้องถามขึ้นมา

“ใช่แล้ว.. ขั้นรู้แจ้ง! ผู้ใดที่เข้าสู่ขั้นนี้แล้ว จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะคืนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น”

เป็นอีกครั้งที่หลิงหยุนได้ยินคำว่า ‘คนพวกนั้น’ ในใจก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่าตระกูลก่าแก่กับนิยายลับไม่ใช่ ‘คนพวกนั้น’ อย่างที่เกาเฉินเฉินบอกงั้นหรือ? ถ้าใช่.. แล้วเหตุใดตงฟางถิงยังพูดถึง ‘คนพวกนั้น’ เช่นกัน?

“คนพวกนั้น.. หมายถึงใคร?” หลิงหยุนรีบถาม

“พวกเขาก็คือบุคคลในตำนานไงเล่า.. เป็นผู้ฝึกตนเพื่อความรู้แจ้งอย่างแท้จริง!”

หลิงหยุนถึงกับอึ้ง.. ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก!