บทที่ 327 : เป็นเพียงแค่ตำนาน

“ครั้งแรกที่ข้าได้ฟังเรื่องนี้ ข้าตกใจแล้วก็ตื่นเต้นมากกว่าเจ้าในตอนนี้เสียอีก และข้าก็ตั้งใจว่าจะต้องฝึกไปให้ถึงขั้นรู้แจ้งให้ได้”

แน่นอนว่าตงฟางถิงย่อมไม่รู้ว่าที่หลิงหยุนตื่นเต้นนั้น เป็นเพราะเขาได้ยินคำว่า ‘คนพวกนั้น’ ต่างหาก ตงฟางถิงคิดว่าหลิงหยุนเพิ่งจะได้ยินเรื่องผู้บ่มเพาะตนเพื่อความรู้แจ้งเป็นครั้งแรก เขาจึงยิ้มและเริ่มเล่าต่อ..

“เมื่อมาคิดดูแล้ว.. ตอนนั้นข้าเองก็ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสานัก ใครๆต่างก็พากันหัวเราะเยาะข้าว่า แค่ฝันยังไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันเป็นเพียงแค่ตำนาน..”

แต่หลิงหยุนกลับถามแปลก.. “การฝึกตนเพื่อมุ่งสู่ขึ้นรู้แจ้งตามแนวทางแห่งเต๋า มันลำบากยากเข็ญขนาดนั้นเลยรึ?”

ตงฟางถิงยิ้มฝืดๆ “มันยิ่งกว่ายากเสียอีก.. พวกเราก็รู้ดีว่าการฝึกวิทยายุทธนั้นเริ่มต้นที่การบ่มเพาะร่างกายให้แข็งแกร่ง และฝึกฝนจนมีกำลังภายใน จากนั้นจึงใช้กำลังภายในชำระล้างจิตวิญญาณ เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณให้เกิดความรู้แจ้ง และคืนกลับสู่โลกแห่งความจริง เพื่อเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”

‘ขั้นตอนการฝึกตนก็ไม่ต่างกัน’ หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้

“ในประเทศนี้มีตระกูลเก่าแก่และนิกายลับมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้? และต่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ แล้วจะมีสักกี่คนที่สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้?”

หลิงหยุนรีบยกมือขึ้นขัดตงฟางถิงพร้อมกับแย้งขึ้นว่า “ถ้าการเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนั้น แล้วเหตุใด…”

หลิงหยินุชี้นิ้วไปที่ตงฟาถิงและตู้กู่โม่ที่ยังคงเดินลมปราณอยู่ แล้วพูดต่อว่า “ท่านกับตู้กู่โม่ถึงได้เข้าสู่ขั้นเซียงทันกันทั้งคู่แล้วล่ะ?”

จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูศิลาที่มีร่างไร้วิญญาณของซีเหมินกัง ชางกวนเจี๋วย และคนอื่นๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “ที่นอนตายอยู่ทั้งหมดนั่นก็อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไปไม่ใช่รึ?”

ตงฟางถิงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นคำถามที่ดีมาก!” จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกนั้นน่ะเหรอ.. ยังไม่เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-1 ด้วยซ้ำไป และยังไม่มีแม้แต่กำลังภายในนด้วยซ้ำ.. อย่าไปพูดถึงคนพวกนั้นจะดีกว่า!”

“ผู้ที่จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-1 ไปจนถึงขั้นโฮ่วเทียน-3 ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังชี่แล้วเท่านั้น และหากผู้ใดสามารถเดินลมปราณได้อย่างคล่องแคล่ว ก็จะสามารถฝึกพลังชี่จนสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-3 ได้ในเวลาอันรวดเร็ว”

“ขั้นโฮ่วเทียน-4 ขึ้นไปนั้นก็จะมีอุปสรรคเยอะหน่อย แต่เมื่อใดที่สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 ได้ คนผู้นั้นก็จะสามารถใช้พลังชี่หรือกำลังภายในนี้ เข้าไปขยายเส้นลมปราณและจุดตันเถียนของตนเองได้ และการบ่มพลังชี่ก็จะแตกต่างไปจากเดิม..”

“หลิงหยุน.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างกายของคนเรานั้นแตกต่างกัน จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของแต่ละคนจึงแตกต่างกันด้วย!”

“แม้จะมีกำลังภายในอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หากจุดตันเถียนและเส้นลมปราณพัฒนาแตกต่างกัน ก็จะทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าต่างกันด้วย สิ่งนี้เรียกว่าพรสวรรค์!”

“นี่ยังไม่รวมถึงความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ความสามารถในการทำความเข้าใจ ความพากเพียรอุตสาหะ และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี้รวมกันอาจเรียกว่าพรสวรรค์ของแต่ละคนก็ได้..”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ตงฟางถิงก็จ้องมองหลิงหยุนอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาของเขาเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าทั้งอิจฉาและตื่นเต้น แล้วพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ยกตัวอย่างเช่นเจ้า! เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เรียกได้ว่าหาใครมีพรสวรรค์เช่นเจ้าไม่ได้อีกแล้ว..”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “พี่ตงฟาง.. ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว..”

ตงฟางถิงยิ้มและพูดต่อ “นอกเหนือจากการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ก็มีพรสวรรค์นี่ล่ะ ที่จะทำให้ผู้ฝึกตนนั้นก้าวหน้าและประสบความสำเร็จเพียงใด”

“แม้ความอุตสาหะในการฝึกฝนและพรสวรรค์จะเป็นส่วนสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียว ยังมีเรื่องของพฤติกรรมและอุปนิสัยของแต่ละคนด้วย อีกทั้งปัจจัยส่งเสิรมต่างๆอย่างเช่น สมุนไพรเพิ่มพลังชี่ สมุนไพรปรับสภาพ ของวิเศษ..”

ขณะที่พูดนั้น ตงฟางถิงก็ชี้ไปที่บ่อน้ำลายมังกรพร้อมกับยิ้ม “ยกตัวอย่างเช่นน้ำลายมังกรนี่..”

“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าแม้แต่พรสวรรค์ตามธรรมชาติ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสิ่งเหล่านี้!”

“นี่คือเคล็ดลับการฝึกตนของแต่ละคน และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีตระกูลเก่าแก่และนิกายลับอยู่มากมาย นั่นเพราะแต่ละคนก็มีเคล็ดลับในการฝึกตนแตกต่างกันไป แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน ขั้นตอนการฝึกตนย่อมมีทั้งยากและง่าย วิธีการฝึกตนที่แตกต่างกัน ก็ทำให้ความรวดเร็วในการก้าวหน้าของพลังภายในแตกต่างกันด้วย..”

“การจะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 ได้นั้น ต้องเริ่มด้วยการซ่อมแซมรักษาเส้นลมปราณ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการกินสมุนไพรปรับสภาพ แต่จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ โอกาส และวิธีการฝึกตนของแต่ละคน”

“บางคนอายุสี่สิบหรือห้าสิบ หรือแม้กระทั่งชั่วชีวิตยังไม่สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ด้วยซ้ำไป”

หลิงหยุนนึกถึงมือสังหารตี้ปา และหลวงจีนมี่ฉิง หลิวเต๋อหมิงและคนอื่นๆแล้วก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ

“ส่วนพวกเราสองคน..” ตงฟางถิงเหลือบมองไปทางตู้กู่โม่ แล้วชี้มาที่ตัวเอง

“พวกเราทั้งคู่ต่างก็เกิดในตระกูลเก่าแก่เหมือนกัน แน่นอนว่าพรสวรรค์ย่อมมีมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ การฝึกวิทยายุทธ ใหนจะสมุนไพรที่เพิ่มพลังชี่ สมุนไพรอื่นๆของตระกูล คนเก่าแก่ในตระกูลที่จะคอยฝึกสอนให้ และเคล็ดลับการฝึกตนที่เหมาะสมของแต่ละตระกูล..”

“ปัจจัยบวกเหล่านี้ย่อมทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป ในขณะที่คนอื่นอาจต้องฝึกฝนหนักกว่าหลายเท่า..”

“ดังนั้นหากพรสวรรค์ที่มีอยู่ไม่เลวนัก คนในตระกูลเก่าแก่ล้วนแต่สามารถผ่านขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ!”

“แต่จากขั้นโฮ่วเทียน-7 ไปจึงถึงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 นั้น เรียกว่าเป็นขั้นสุดท้ายของการชำราะล้างพลังชี่ให้บริสุทธิ์ และมีช่วงที่กว้างมาก หากผู้ใดสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ เรียกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นยอดของยอดคนเลยทีเดียว!”

“การฝึกฝนในช่วงนี้ พรสวรรค์เป็นปัจจัยสำคัญเพียงปัจจัยเดียวเลยก็ว่าได้ ยิ่งมีพรสวรรค์ที่ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้เร็วเท่านั้น และยิ่งสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับความสนใจจากคนในตระกูลมากเท่านั้น!”

“และแน่นอนว่าเมื่อผ่านขั้นโฮ่วเทียน-7 มาได้ หากเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ความแตกต่างก็จะอยู่ที่จุดอ่อน และจุดแข็งของแต่ละคน..”

“และต่อไปนี้ก็คือคำตอบของคำถามแรก.. จากระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 จะขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก เพราะขั้นนี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนตั้งแต่ขั้นปรับร่างกายขึ้นมาจนถึงขั้นที่มีกำลังภายใน และจากขั้นที่ใช้กำลังภายเข้าสู่ขั้นการชำระจิตวิญญาณ การจะก้าวขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนได้นั้นสิ่งที่ต้องมีคือความฉลาดในการเข้าใจตนเอง!”

“พรสวรรค์เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วิธีการฝึกฝนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความเข้าใจตนเองได้นั้น! เป็นเรื่องที่ใครก็ช่วยไม่ได้!”

“เมื่อสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้ว คนผู้นั้นก็จะสามารถหายใจภายในร่างกายได้ ซึ่งจะคล้ายๆกับเด็กทารกที่อยู่ในท้องแม่ และจะมีจิตหยั่งรู้ที่เกิดจากการขัดเกลาจิตวิญญาณ และเป็นขั้นเริ่มต้นของการฝึกจิตหยั่งรู้ที่สูงขึ้น!”

“ผู้ฝึกตนหลายคนฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่กลับถูกประตูที่มองไม่เห็นกักขังไว้ จึงไม่สามารถทะลุทะลวงขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนได้จนชั่วชีวิต หากคิดเป็นอัตราส่วนแล้วล่ะก็ ในจำนวนสิบคนที่เมื่อมาถึงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้มีเพียงแค่สองคนท่านั้น!”

“เช่นเดียวกับตระกูลเก่าแก่อย่างข้า ที่หลายปีมานี้ได้สร้างทายาทที่สืบทอดตระกูลหลายคนที่สามารถเข้สู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ด้วยอายุที่แตกต่างกันไป.. แต่ในขั้นเซียงเทียนนั้น กลับมีเพียงแค่สิบกว่าคน บางตระกูลมีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้น”

ตงฟางถิงยิ้ม หลิงหยุนคิดในใจว่าพลังชีวิตบนโลกนั้นเบาบางมาก อีกทั้งสภาพแวดล้อมในการฝึกก็โหดร้าย ตระกูลเก่าแก่สามารถมีกำลังภายในได้ถึงขั้นนี้นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง..” หลิงหยุนพูดออกมาในที่สุด พร้อมกับคิดในใจว่าการที่จะฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้โดยไม่อาศัยพลังชีวิตจากภายนอกนั้น กว่าจะผ่านระดับย่อยแต่ละระดับก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงขั้นใหญ่..

“เมื่อเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว ตอนนี้มีสักกี่คนที่สามารถเข้าสู่รับสูงสุดของขั้นนี้ได้?”

ตงฟางถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “ก่อนจะพูดถึงระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-9 นั้น แค่แต่ละตระกูลมีผู้ที่สามารถผ่านขั้นเซียงเทียน-7 ได้แค่นี้ก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลแล้ว หากตระกูลใหนมีมากกว่าสองคน ก็นับว่าสุดยอดแล้ว!”

“แล้วข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 มาก่อน!”

“ไม่เคยมีใครเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-9 มาก่อนเลยงั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นขั้นรู้แจ้งก็คงไม่ต้องพูดถึง คงจะยากยิ่งกว่าสอยดาวบนฟ้า แล้วมันก็คงเป็นแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้นเอง..”

หลิงหยุนได้แต่ผิดหวัง ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่ฝึกตนที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้นหรือ? ตัวเขาเองก็เคยเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 มาแล้ว ไม่เห็นว่าจะอยู่ยงคงกะพันเลย?

“แล้วมีใครเคยฝึกถึงขั้นคืนจิตวิญญาณสู่โลกแห่งความเป็นจริง หรือขั้นรู้แจ้งบ้างเลยรึ?” หลิงหยุนยังคงไม่ย่อท้อ

ทั้งคู่มัวแต่คุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจจนไม่ทันสังเกตุว่าตู้กู่โม่นั้นเดินลมปราณเสร็จแล้ว แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนั้น เขาตอบขึ้นมาว่า

“มีสิ.. ท่านปรมาจารย์จางซานฟงไง!”

ตงฟางถิงเองก็พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ใช่แล้ว.. ท่านจางซานฟงเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งแล้วจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ตระกูลเก่าแก่และนิกายลับต่างก็รู้ดี”

“อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคน..” หลิงหยุนพยักหน้าอย่างสบายอกสบายใจพร้อมกับถามต่อว่า “แล้วท่านผู้นี้เป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานอีกหรือเปล่า?”

ตู้กู่โม่ตอบกลับไปทันที “เอาจริงๆนะ การฝึกตนก็เป็นเพียงเรื่องในตำนานจริงๆนั่นล่ะ! เพราะผู้ที่ฝึกตนตามลัทธิเต๋าจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนนั้น ดูเหมือนจะต้องมีเคล็ดลับในการฝึกแบบเต๋าเท่านั้น และพวกเขาจะไม่เรียกตัวเองว่าจอมยุทธ แต่จะเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตน แต่ก็ยากที่จะแยกแยะ..”

เรื่องนี้ยากที่จะแยกแยะอย่างอย่างตู้กู่โม่บอกจริง.. อีกทั้งขั้นของผู้ฝึกตกก็มีทั้งสูงและต่ำ ยกตัวอย่างเช่นหลิงหยุนที่ตอนนี้อยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 เขาก็นับว่าเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง

“ยินดีด้วยน้องตู้กู่.. เจ้าดื่มน้ำลายมังกรไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามรถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9ได้ ช่างน่าตกใจจริงๆ”

ตู้กู่โม่ลุกขึ้นยืน เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเกาศรีษะ และพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ

“น่าอัศจรรย์มาก..! สองสามวันนี้ข้าเองก็งุนงงและอธิบายไม่ถูก เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็พบว่าอยู่ในสถานที่แปลกๆ และเมื่อกลับไปฝึกเดินลมปราณในตอนดึก ข้าก็รู้สึกว่ากำลังภายในของตัวเองแข็งแกร่งมาก และจู่ๆก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 ต่อด้วยขั้นโฮ่วเทียน-9 ในคืนเดียวข้าสามารถก้าวขึ้นสูงได้ถึงสองขั้น มันช่างเหลือเชื่อ! การหายใจก็แข็งแรงกว่าเดิม และเมื่อ่ได้ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปก็ยิ่งแกร่งกว่าเดิม..”

“นี่หลิงหยุน.. ตอนข้าตื่นขึ้นมาในที่ประหลาด ข้าเห็นสาวสวยที่เต้นรำกับเจ้าคืนนั้นอยู่ที่นั่นด้วย..”