ตอนที่ 629 ลานประลองตลาดมืด + ตอนที่ 630 คุ้นตานิดหน่อย

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 629 ลานประลองตลาดมืด

ท่าทางน่าขันที่หนีกระเจิดกระเจิงบนถนนใหญ่ การนั่งเงียบขมวดคิ้วครุ่นคิดในลานบ้านของโรงเตี๊ยม ความอิสระซุกซนบนโต๊ะเหล้า กลิ่นอายสูงศักดิ์และความใจเย็นในทุกท่าทาง ทำให้เซียวอี้หานไม่เข้าใจเท่าไรว่าเฟิ่งจิ่วเป็นคนเช่นไรกันแน่?

แค่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือ หนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนแรกที่เขาชื่นชมตั้งแต่มาถึงเมืองซิงอวิ๋นนี้ และเป็นคนแรกที่เขาตั้งใจเข้าไปทำความรู้จักด้วยตนเอง

“น้องเฟิ่ง เจ้ารู้จักกับคนคนนั้นหรือ?”

ระหว่างพูด เซียวอี้หานก็ให้สัญญาณ สายตาหยุดลงบนร่างชายคนนั้นที่เปียกปอนไปทั้งร่าง เห็นอีกฝ่ายเนื้อตัวกระเซอะกระเซิง ดวงตาคู่นั้นหลังจากเห็นเฟิ่งจิ่วก็ละสายตาไปอย่างร้อนรน แต่กลับยังมองมาอย่างอดไม่ได้ น่าแปลกเสียจริง

เฟิ่งจิ่วเหลือบมองคนคนนั้น เห็นว่าเขาละสายตาออกอย่างลนลานและเร่งรีบไปยังห้องปีก ไม่นานนักหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดแห้งออกมา ตอนที่ลงไปชั้นล่างฝีเท้าก็หยุกชะงัก ประสานมือคารวะมาทางเธอตรงนี้ แล้วจากไปด้วยความร้อนรน

“ไม่รู้จัก” เธอตอบช้าไปครึ่งจังหวะ

เห็นเขาไม่กินต่อแล้ว เซียวอี้หานจึงเรียกเสี่ยวเอ้อมาเก็บเงิน ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว “น้องเฟิ่ง เวลาตอนนี้ยังเช้า พวกเราไปดูการประลองที่ตลาดมืดเป็นอย่างไร?”

“ได้ยินว่าการประลองที่ตลาดมืดโหดร้ายที่สุด ข้าอยากลองไปดูตั้งนานแล้ว”

“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นก็ไปเถอะ” เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วไปยังตลาดมืดพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว

เข้าตลาดมืดไม่ต้องใช้เงิน เข้าลานประลองชมการประลองต้องจ่ายค่าเข้าชม ดังนั้นเมื่อเซียวอี้หานกำลังจะจ่ายเงิน เฟิ่งจิ่วก็ยื่นไปเสียก่อน จากนั้นยิ้มเดินเข้าไปท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเขา

เห็นเช่นนี้เซียวอี้ก็หานยิ้มๆ แล้วตามเข้าไปด้วย พอเข้าไปลานประลอง ก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่แตกต่างจากด้านนอกทันใด

นอกจากเสียงโห่ร้องดังสนั่นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านของผู้ชมที่นั่งล้อมวงชมโดยรอบ ยังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ กระจายอยู่ในอากาศ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และกลิ่นอายที่เอ่อล้นของสองคนที่ประชันกันบนเวที ก่อเกิดเป็นการต่อสู้ การโจมตีและต่อสู้ที่ป่าเถื่อนซึ่งมาพร้อมกับเลือดและหยาดเหงื่อ ทำให้ทุกคนทั้งลานประลองตื่นเต้นเสียจนเลือดร้อนเดือดพล่าน

ภายใต้การนำของผู้นำทาง ทั้งสองคนนั่งลงตรงที่นั่งด้านหน้าและชมการประลองบนเวที

“คุณชายทั้งสอง จะวางเดิมพันหรือไม่? ตอนนี้ยังวางเดิมพันได้นะขอรับ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยกถาดเดินเข้ามาถาม

เฟิ่งจิ่วมองถาดนั้น ด้านบนวางสองป้ายหนึ่งดำหนึ่งแดงแยกกันไว้ ระบุว่าเดิมพันขั้นต่ำสุดคือหนึ่งร้อยเหรียญเงิน

“ห้าร้อยเหรียญเงิน ซื้อฝ่ายแดงชนะ” เซียวอี้หานบอกกับชายวัยกลางคน จากนั้นค่อยมองยังเฟิ่งจิ่ว

เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าไม่ค่อยชอบเล่นอะไรพวกนี้”

ดังนั้นขณะที่ชายวัยกลางคนถอยออกไป ก็สั่งคนส่งน้ำชาสองถ้วยกับขนมอบหนึ่งชุดไปให้สองคนที่นั่งแถวหนึ่ง

บนเวทีมีทั้งเหงื่อและเลือดไหลหยด ด้านล่างเวทีรื่นเริงนัก เห็นหน้าสองฝ่ายโดนซ้อมจนบวม กระดูกแขนโดนตีจนหัก แววตาเฟิ่งจิ่วยิ่งคร่ำเครียด

นี่คือการเอาชีวิตมาสู้อย่างเต็มที่ เพียงเพื่อเงินจากหยาดเหงื่อหยาดเลือดที่น้อยนิดจนน่าเวทนา

เสียงที่ดังขึ้นข้างหูคือเสียงกู่ร้องโดยรอบ ทว่าสิ่งที่กระเซ็นบนเวทีกลับเป็นเลือด เห็นการเปรียบเทียบที่เด่นชัดระหว่างบนและล่างเวที อารมณ์เธอยิ่งหนักอึ้งขึ้นมา

“พี่เซียวดูไปก่อน ข้าจะไปทำธุระนิดหน่อย” เธอลุกยืนขึ้นบอก แล้วให้คนตลาดมืดนำทางไปหาผู้ดูแล คิดจะสอบถามเสียหน่อยว่าตลาดมืดที่นี่มีข่าวพี่ชายเธอหรือไม่

เซียวอี้หานมองเขาเดินจากไป ทันใดนั้นความเคร่งเครียดในดวงตาหนุ่มน้อยก็สะท้อนเข้าสู่สายตา ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย

………………………………………………….

ตอนที่ 630 คุ้นตานิดหน่อย

ทางด้านนั้น หลังจากเฟิ่งจิ่วสอบถาม ถึงรู้ว่ากวนสีหลิ่นยังไม่ได้มาที่ตลาดมืด จึงทิ้งข้อความบอกแจ้งถึงโรงเตี๊ยมที่เธอพักอยู่ตอนนี้ แล้วเดินกลับลานประลองไปนั่งชมการประลองตรงแถวแรกต่อ

หลังจากเฟิ่งจิ่วออกไป ชายชราคนหนึ่งก็ลูบเคราเดินออกมาจากมุมมืด จ้องมองทิศทางที่เฟิ่งจิ่วจากไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ผู้ดูแลวัยกลางคนอ่านข้อความที่เฟิ่งจิ่วทิ้งไว้ แล้วถือติดมือไปวางข้างๆ โดยไม่สนใจสักเท่าใด ทว่าเมื่อหางตาเหลือบเห็นผู้อาวุโสตลาดมืดพวกเขาปรากฏตัวข้างๆ ด้านหลังเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะรีบเร่งเดินเข้าไปคารวะด้วยความเคารพ

“ท่านผู้อาวุโส ท่านมาได้อย่างไร มีอะไรจะสั่งการหรือขอรับ?”

ชายชราชำเลืองทองผู้ดูแล ถามว่า “หนุ่มน้อยชุดแดงคนนั้นพูดอะไรกับเจ้า?”

ได้ยินคำพูดนี้ ผู้ดูแลบอกอย่างรีบร้อนว่า “หนุ่มน้อยคนนั้นเข้ามาถามหาคนชื่อกวนสีหลิ่น บอกว่าเขาติดตามกลุ่มทหารรับจ้างของตลาดมืดเราออกไปฝึกวิชา จึงมาถามที่นี่ว่าเคยได้ยินข่าวเขาหรือไม่ ข้าน้อยไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนั้นจึงบอกเขาว่าไม่มี หนุ่มน้อยคนนั้นทิ้งที่อยู่ไว้ บอกว่าหากกวนสีหลิ่นมาถามก็บอกชื่อโรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่ไป”

ระหว่างพูดเขาก็ยื่นที่อยู่ที่วางไว้ข้างๆ ให้ชายชราด้วยสองมืออย่างร้อนรน

ชายชรารับมาเหลือบมอง ถามว่า “ตลาดมืดเรามีกลุ่มทหารรับจ้างออกไปทำภารกิจหรือไม่?”

“ทางพวกเรานี้ไม่มีขอรับ เดาว่าคงเป็นกลุ่มทหารรับจ้างสาขาอื่น” ผู้ดูแลพูดจบ เห็นท่าทางชายชราคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยปากถาม “ท่านผู้อาวุโส หนุ่มน้อยคนนั้นมีอะไรผิดปกติหรือ? ต้องให้ข้าน้อยส่งคนไปจับตาดูหรือไม่ขอรับ?”

ได้ยินเช่นนี้ชายชราก็เหลือบมองเขา สั่งการว่า “อย่าจัดการซี้ซั้ว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จัดการเรื่องที่เขาสั่งดีๆ ก็พอ” ชายชรายื่นที่อยู่กลับไปให้ผู้ดูแล แล้วเดินมือไพล่หลังเลี้ยวเข้าด้านหลังไป

เห็นเช่นนี้ ในใจผู้ดูแลแอบแปลกใจเล็กน้อย ผู้อาวุโสถึงกับออกคำสั่งให้เขาจัดการเรื่องของหนุ่มน้อยให้ดี เห็นได้ชัดว่าหนุ่มน้อยคนนั้นที่มาไม่ธรรมดา อาจจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่? แต่ด้วยกลุ่มอำนาจตลาดมืดพวกเขา จะไม่ทำทีเป็นมิตรกับลูกหลานตระกูลไหนมาแต่ไหนแต่ไร เช่นนั้นหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นใครกันแน่?

แม้ในใจยังสงสัยกลับรู้ว่าผู้อาวุโสจะไม่บอก และไม่ใช่สิ่งที่เขาควรถาม ดังนั้นเขาจึงบันทึกที่อยู่นั้นไว้ แล้วกำชับคนเบื้องล่างให้คอยสังเกตช่วงสองวันนี้ว่ามีคนชื่อกวนสีหลิ่นเข้ามาหรือไม่

ส่วนผู้อาวุโสท่านนั้นยังครุ่นคิดอะไรบางอย่างมาตลอดทาง ท่าทางเหมือนจะเคยพบหนุ่มน้อยคนนั้นที่ไหน แต่นึกไม่ออกในทันที

ตรงแถวหน้าของลานประลอง เซียวอี้หานมองหนุ่มน้อยที่ชมการต่อสู้บนเวทีอย่างเงียบๆ มาตลอด ยิ้มบอกว่า “น้องชาย เจ้าไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่? อันที่จริงพวกนี้ล้วนเป็นนักสู้มืออาชีพ ตลาดมืดมีกฎไม่ให้บาดเจ็บถึงชีวิต ต่อให้บาดเจ็บไปทั้งตัวคนตลาดมืดก็จะเตรียมการรักษาให้”

ได้ยินแล้วเฟิ่งจิ่วแปลกใจเล็กน้อย หลังจากมองเขาก็รู้ว่าทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น จึงยิ้มขึ้นทันที “อืม ข้ารู้แล้ว โลกก็เป็นจริงเช่นนี้ แม้บางคนไม่สนใจก็ยังโดนแบ่งแยกเป็นระดับสามหกเก้า”

เขาอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยยิ้มให้ “ถูกต้อง นี่คือกฎของโลกใบนี้ ขอแค่มีพละกำลังถึงจะพูดอะไรได้ ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด การถือกำเนิดของผู้แข็งแกร่งไม่ใช่แค่เกียรติยศ ทั้งยังหนุนให้ตระกูลของเขายิ่งเรืองอำนาจและไม่มีใครกล้าข่มเหง”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มเยาะ “ตระกูลข้ายื่นคำขาดกับข้า ว่าต้องกลายสิบผู้มีพรสวรรค์ของสำนักศึกษาหมอกดาราให้ได้ภายในหนึ่งปี”

………………………………………………….