ตอนที่ 631 วันลงชื่อรับสมัครของสำนักศึกษาหมอกดารา + ตอนที่ 632 งามดุจเทพจุติ

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 631 วันลงชื่อรับสมัครของสำนักศึกษาหมอกดารา

ได้ยินเช่นนี้เฟิ่ง จิ่วก็ยิ้มเอ่ยอย่างหยอกล้อ “สิบผู้มีพรสวรรค์? นั่นล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลในสำนักศึกษา หากข้าเข้าเรียนในสำนักศึกษาหมอกดาราจริง พี่เซียวจะปกป้องข้าจริงหรือ?”

“ฮ่าๆๆ พูดได้ดีๆ” เขาตบๆ ไหล่เฟิ่งจิ่วด้วยท่าทางว่าทุกเรื่องข้าจัดการได้

หลังจากสองคนชมการประลองไปสองสามรอบ เซียวอี้หานลงเดิมพันไปสองรอบชนะไปรอบเดียว รวมชนะทั้งหมดห้าร้อยเหรียญทอง และออกไปยังโรงเตี๊ยมก่อนพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว

สองวันต่อมา เฟิ่งจิ่วนอกจากฝึกบำเพ็ญในโรงเตี๊ยม บางครั้งก็ยังออกมากินข้าวพูดคุยด้วยกันกับเซียวอี้หาน รออยู่ในโรงเตี๊ยมสองวันก็ยังคงไม่เห็นว่าพี่ชายเธอจะมาหา จึงอดไม่ได้เป็นห่วงขึ้นมา

เช้าตรู่วันที่สาม เธอออกมาสอบถามเจ้าของร้านที่โรงเตี้ยมแต่เช้าก็ยังคงไม่มีข่าวคราว ทำให้เธอเป็นกังวลอยู่บ้าง ตอนที่ออกไปทำภารกิจกับพวกทหารรับจ้างคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง?

เซียวอี้หานเดินออกจากห้องมายังชั้นหนึ่ง เห็นร่างสีแดงนั่งกินอาหารอยู่ตรงนั้น ก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “เช้าเพียงนี้เชียว? คงจะไม่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างกระมัง?”

เห็นเขามาหา เฟิ่งจิ่วจึงเชิญเขานั่งลง และให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเช้าเขาเข้ามา จากนั้นบอกว่า “เพิ่งตื่นมาสักพัก อยากจะลองไปดูทางด้านสำนักศึกษาแต่เช้าหน่อย หนำซ้ำจากที่นี้ไปต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม จึงต้องตื่นเช้ามาเตรียมตัวเป็นธรรมดา”

เซียวอี้หานนั่งลง ยิ้มบอกว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อวานข้าสั่งคนไว้แล้ว ประเดี๋ยวจะมีรถลากสัตว์วิญญาณเข้ามารับ ประมาณหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงสำนักศึกษา”

เขากินอาหารเช้าที่เสี่ยวเอ้อร์ยกเข้ามาพลางเอ่ย “หลักๆ ข้าจะฝึกพลังวิญญาณ รอบนี้ที่ลงชื่อคือทางสำนักพลังวิญญาณ น้องเฟิ่ง ข้าเห็นบนตัวเจ้าไม่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณ วรยุทธ์พลังเร้นลับก็อยู่แค่ปรมาจารย์นักรบขั้นต้น พลังเช่นนี้อยากจะเข้าสำนักพลังเร้นลับยังยากไปบ้าง ไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนเช่นไร?”

เฟิ่งจิ่วยกยิ้ม กล่าวว่า “ข้าหาข้อมูลการประเมินรับสมัครนักเรียนของสำนักศึกษาหมอกดารามาแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูระดับสูงต่ำของพลัง แต่ขอแค่ผ่านการประเมินทั้งสามด่านก็พอ”

“เหอะๆ ถูกต้อง การประเมินครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ผู้ฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณนอกจากมีพรสวรรค์ยังต้องดูแรงกายกับความสัมพันธ์กันของธาตุทั้งห้า ขอแค่ได้ถึงมาตรฐานปกติจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาหมอกดาราได้ ส่วนการประเมินพลังเร้นลับ ข้าไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ว่ากันว่านอกจากความแรงกาย ยังต้องดูความเร็วกับศิลปะการต่อสู้ด้วย”

“อืม เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าคิดจะสมัครเข้าร่วมการประเมินสำนักกลั่นยาเซียน” เธอกล่าวยิ้มๆ กินข้าวต้มในชามเสร็จแล้วก็วางตะเกียบลง

ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาแปลกใจเล็กน้อย “อ้อ? เจ้าอยากเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ? แม้บอกว่าไม่เป็นที่นิยม แต่ความยากยิ่งมากกว่า ถึงจะเป็นการประเมินผู้เรียนปรุงยาก็เข้มงวดยิ่งนัก”

“ไม่เป็นไร ข้าทำการบ้านมาอย่างดี ถึงเวลาก็พยายามให้ถึงที่สุดเป็นพอ หากไม่ได้ข้าก็กลับบ้าน” เธอพูดทีเล่นทีจริง

“ถูกแล้ว พยายามให้ถึงที่สุดก็พอ” เขาพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากจัดการอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว รถลากสัตว์วิญญาณที่เข้ามารับพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม

เฟิ่งจิ่วพาเหล่าไป๋ไปด้วยแต่ไม่ได้ขี่มัน แค่ล่ามมันไว้ด้านหลังรถลากสัตว์วิญญาณ ส่วนตัวเองก็นั่งรถคันเดียวกับเซียวอี้หาน ตรงไปยังสำนักศึกษาหมอกดาราพร้อมๆ กัน…

ส่วนทางเหนือของเมือง กวนสีหลิ่นที่ร่างกายแข็งแรงกำยำและทั่วร่างมีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวกระจายอยู่ถอดชุดทหารรับจ้างบนตัวออก พลางหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากในถุงฟ้าดินมาสวมบนร่าง ถึงขั้นมาไม่ทันหาที่อาบน้ำ แค่ใช้น้ำล้างหน้าอย่างง่ายๆ แล้วมุ่งไปยังสำนักศึกษาหมอกดาราด้วยความรีบร้อน

………………………………………………….

ตอนที่ 632 งามดุจเทพจุติ

วันรับสมัครนักเรียนของสำนักศึกษาหมอกดาราจัดสามปีครั้ง ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์จากแต่ละแคว้นและผู้ลากมากดีจากแต่ละถิ่นต่างมารวมตัวกันหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาหมอกดารา รถลากสัตว์วิญญาณแต่ละคันเรียงรายเต็มสองฝั่ง เหล่าคนหนุ่มสาวที่รวมกลุ่มกันสามถึงห้าคนรวมตัวกันพูดคุยพลางรอประตูสำนักศึกษาเปิด สายตามองไปล้วนแน่นขนัดไปด้วยเหล่าคนหนุ่มสาวที่สวมชุดผ้าแพรหรูหรา

เมื่อเฟิ่งจิ่วกับเซียวอี้หานมาถึง ด้านหน้ามีรถลากสัตว์วิญญาณมากเกินไป แทรกเข้าไปไม่ได้ พวกเขาจึงจำใจต้องลงรถเดินไป แล้วส่งเหล่าไป๋ให้คนที่คุมรถลากสัตว์วิญญาณเฝ้าไว้

ยามมาถึงด้านหน้า เห็นว่าทั้งหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาหมอกดาราหนาแน่นไปด้วยคน ความคึกคักและฝูงชนที่คับคั่งทำให้เฟิ่งจิ่วพูดไม่ออกทันที

“ไม่นึกเลยว่าคนจะมากมายเพียงนี้”

“ที่นี่มีอย่างน้อยหลายพันคน แต่ตามสถิติ ผู้ผ่านการประเมินในอดีตที่ผ่านมาจะมีแค่หนึ่งในร้อยคน ด้วยเหตุนี้สุดท้ายอย่างมากหลายร้อยคนถึงจะมีโอกาสเข้าเรียนในสำนักศึกษา และกลายเป็นนักเรียนสำนักศึกษาหมอกดารา” เขาคลายความสงสัย สายตาหยุดลงบนประตูใหญ่สำนักศึกษาที่ยังไม่เปิดออก

“ภายในชั่วยามประตูสำนักศึกษาถึงจะเปิด ถึงเวลานั้นจะมีผู้เล่าเรียนด้านในคอยจัดการต้อนรับ แต่ละจุดลงชื่อกับสถานที่ประเมินล้วนแตกต่างกัน รอเดี๋ยวพวกเราคงไม่ได้เจอกัน เจ้าต้องตั้งใจให้มากหน่อย ตอนที่ประเมินก็อย่าเครียด พยายามให้ถึงที่สุดพอ” เขากำชับ อันที่จริงในใจคิดว่าเฟิ่งจิ่วคงไม่ได้เข้าเรียน ถึงอย่างไรสำนักกลั่นยาเซียนเทียบกับสำนักอื่นๆ แล้ว ความยากก็ยิ่งสูงกว่า มิเช่นนั้นคงไม่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนั้น

“อืม ข้ารู้แล้ว” เธอยิ้มน้อยๆ สายตามองไปรอบๆ อยากดูเสียหน่อยว่าพี่ชายเธอหรือไม่

เสียงพูดคุยของผู้คนรอบๆ ปะปนเข้าด้วยกัน วุ่นวายอยู่บ้างอย่างชัดเจน ขณะที่เดินไปยังประตูเบื้องหน้าสองคนก็ถูกคนพวกนั้นที่พุ่งไปข้างหน้าเบียดเสียกจนแยกจากกัน เซียวอี้หานมองร่างสีแดงนั้นที่โดนฝูงชนผลักออกไปไกลเรื่อยๆ คิดจะดึงเขาไว้ กลับเห็นว่าแค่ชั่วพริบตาก็ไม่รู้ว่าถูกผลักไปถึงไหนแล้ว

“ช่างเถอะ หากเขาเข้าสำนักศึกษาได้ อยู่ด้านในสุดท้ายเดี๋ยวก็เจอกัน” เขาพึมพำเสียงเบา ไม่ตามหาเฟิ่งจิ่วอีก ก่อนจะถูกผู้คนด้านหลังผลักดันไปยังประตูใหญ่เบื้องหน้า

ขอแค่ยิ่งเข้าใกล้จะยิ่งได้อยู่แถวด้านหน้าและเข้าประเมินก่อน ไม่ต้องแออัดอยู่ท่ามกลางผู้คน ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่เข้ามาประเมินจึงต่างพุ่งไปข้างหน้า โดยเฉพาะตอนที่ประตูยังไม่เปิด หากปรี่ไปข้างหน้าก่อน รอแค่ประตูเปิดออก แต่ละคนก็จะวิ่งไปยังสำนักที่เลือกสมัคร

ทว่าแตกต่างกับคนพวกนั้นที่พุ่งไปข้างหน้า ขณะที่โดนผลักเบียดเสียด ในที่สุดเฟิ่งจิ่วก็วิ่งถอยออกไปด้วยทนไม่ไหว เดินมาถอนหายใจเบาๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ

“ฮู่! คนเบียดเสียดกันเสียจนบีบคนตายได้จริงๆ ประตูสำนักศึกษายังไม่เปิด รีบไปเกิดใหม่ยังไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้เลย!”

สิ้นเสียงก็เงยหน้ามองไปโดยไม่ตั้งใจ ทว่ากลับทำให้เธอสะดุ้งตกใจเสียดื้อๆ ร่างกายถอยไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณพลางจ้องมองร่างสีขาวที่นั่งพิงอยู่เหนือต้นไม้ เมื่อเห็นหน้าตาคนคนนั้น เธอก็อึ้งไปทันที

ชายรูปงาม…

เดิมทีไม่ควรใช้คำว่างามมาพรรณนาบุรุษ แต่ตอนนี้นอกจากคำว่างาม เธอก็หาคำอื่นมาบรรยายชายชุดขาวที่นั่งพิงบนต้นไม้คนนั้นไม่ได้

ขณะที่เขานั่งพิงบนกิ่งไม้เงียบๆ ใบไม้เขียวเป็นเช่นพื้นหลัง ดวงตาคู่นั้นทั้งสงบนิ่งและอ่อนโยน ทว่าในความอ่อนโยนนั้นยังมีความเฉยชาและห่างเหินที่ผลักไสผู้คนออกไปไกลพันลี้ เขานั่งมองเธออยู่บนต้นไม้เงียบๆ เช่นนั้น เสื้อคลุมสีขาวลู่ลงกลางอากาศสะบัดไหวเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แถบผ้าสีขาวที่ผูกเส้นผมสีหมึกไว้ด้านหลังยังพลิ้วไปตามสายลม ราวกับเทพจุติที่หลุดมายังโลกมนุษย์ ไม่แปดเปื้อนด้วยเรื่องทางโลกแม้แต่น้อย งามเสียจนทำให้คนแทบลืมหายใจ…

……………………………………………