บทที่ 180 หลิงฉือ

หลังจากนั้น ทุกคนก็มาถึงถ้ำหมื่นพิษ

ภายใต้การนำทางของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาจึงสามารถหลบหลีกงูพิษและกับดักทั้งหลายที่ถูกวางอยู่ในถ้ำได้สำเร็จ

ดวงตะวันขึ้นแล้ว

แสงแดดสดใส

อาจารย์ฉู่ยังคงนอนหลับอยู่ในกระท่อมไม้

ลมหายใจของเขามั่นคง ชีพจรคงที่ ชัดเจนว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจบลงด้วยดี

“ว่าแต่มีใครได้ข่าวไป๋ชินหยุน ฮันปู้ฟู่ กับอาจารย์พานบ้างหรือไม่?”

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ยุติการคุยโวพฤติกรรมของตนเอง และถามคำถามสำคัญออกมาแล้ว

เยว่หงเซียงตอบว่า “ศิษย์น้องไป๋กับศิษย์พี่ฮันสามารถหนีรอดกลับไปถึงสถาบันของเราได้ก่อนใคร ศิษย์น้องไป๋ปลอดภัยดีไม่ได้รับอันตราย ส่วนศิษย์พี่ฮันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทางด้านอาจารย์พานได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่วิหารเทพกระบี่ โดยมีนักพรตชินเป็นผู้คอยรักษาเจ้าค่ะ”

เรื่องทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้เอง

หลินเป่ยเฉินระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

หลังทำความสะอาดบาดแผลและตรวจสอบร่างกายเรียบร้อย นายทหารหน่วยนักรบเมฆาก็จัดส่งพวกของหลินเป่ยเฉินกลับเข้าสู่ตัวเมือง

ตลอดทาง นายทหารเหล่านั้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่ใช้มองอสูรกายตัวหนึ่ง

บรรดาอาจารย์จากสถาบันก็จ้องมองเขาเหมือนไม่เคยรู้จักหลินเป่ยเฉินมาก่อน

ปรากฏว่าเด็กหนุ่มจอมเสเพลประจำเมืองหยุนเมิ่ง สามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้จริงๆ

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรอีกแล้ว

สมาคมนักล่าอสูรถูกกวาดล้างไม่เหลือซาก

ในพื้นที่ชายแดนเหนือ นักล่าอสูรหลายร้อยชีวิตเป็นพวกมือเปื้อนเลือด ฆ่าคนตายมาแล้วจำนวนไม่ถ้วน แต่จอมวายร้ายเหล่านั้นไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดเงื้อมมือหลินเป่ยเฉินได้เลยสักคน

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือหลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

สามารถฆ่าคนทั้งเมืองด้วยตัวเพียงคนเดียว คงมีแต่หลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่ทำได้!

ในไม่ช้า พวกเขาก็ลงมาจากภูเขาและเคลื่อนขบวนออกจากซุ้มประตูชายแดนเหนือ

ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับเข้าสู่ตัวเมือง หลินเป่ยเฉินเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก จึงถามว่า “จริงด้วยสิขอรับ ผู้การเฉิน สมาคมนักล่าอสูรพวกนั้นออกอาละวาดในเขตชายแดนเหนือมานานแล้ว พวกมันทั้งปล้นทั้งฆ่า น่าจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าพวกท่านค้นเจอห้องเก็บสมบัติของพวกมัน รบกวนช่วยแจ้งข้าน้อยด้วยนะขอรับ…”

เฉินเจี้ยนหนานพูดว่า “ไม่มีปัญหา จักรวรรดิของเรามีกฎหมายระบุชัดเจนว่า ผู้ที่ช่วยทางการจับกุมกองโจรได้ จะได้รับรางวัลเป็นทรัพย์สินจำนวนครึ่งหนึ่งของกองโจรกลุ่มนั้น”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแย้มออกมาทันที

เพราะแบบนี้ไง เขาถึงได้รักจักรวรรดิเป่ยไห่

แล้วรถม้าก็เดินทางกลับมาถึงเมืองหยุนเมิ่ง

หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งที่คุ้นเคยดังอยู่สองข้างฝั่งถนน เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชาวเมือง ถนนหนทางที่สะอาดสะอ้าน สภาพแวดล้อมของชีวิตที่ปกติสุข หลินเป่ยเฉินจึงอดรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาไม่ได้

กำแพงเมืองคือสิ่งที่แบ่งแยกโลกออกเป็นสองใบ

ในเมืองมีแต่ความสงบสุข

นอกเมืองมีแต่ความสับสนวุ่นวาย

ในเมืองมีแต่วัดวาอารามสำหรับให้ผู้คนเดินทางมากราบไหว้บูชา

นอกเมืองมีแต่กลุ่มคนอันตราย ผิดพลาดเพียงนิดเดียว ชีวิตก็อาจถึงแก่ความตายได้ทันที

เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าในโลกของจอมยุทธ์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่อ่อนแอหรือผู้คนที่แข็งแกร่ง ต่างก็คอยช่วยเหลือกันและกันเป็นอย่างดี และนั่นน่าจะมาจากระบบการจัดการของทางราชวงศ์ เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เป็นอย่างดี

อย่างน้อย พวกเขาก็คอยคุ้มครองประชาชนคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกผูกพันกับจักรวรรดิเป่ยไห่ขึ้นมาอย่างแท้จริง

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาชายแดนเหนือถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ วีรกรรมที่เจ้าทำเอาไว้บนยอดเขาสุสานอินทรี จึงต้องถูกเก็บเป็นความลับไว้ก่อน จนกว่าจะมีคำตัดสินลงมาจากเบื้องบน ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง อาจารย์หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ”

หลิงไท่ซวีพูดอย่างแช่มช้า

“ว่าไงนะขอรับ?” หลินเป่ยเฉินอุทานสวนกลับไปทันที “หมายความว่าข้าน้อยจะเอาเรื่องนี้ไปคุยโวให้ใครฟังไม่ได้เลยหรือ?”

หลิงไท่ซวียกมือเขกกะโหลกหลินเป่ยเฉินหนึ่งโป๊กใหญ่ แล้วดุว่า “คิดจะเป็นมือกระบี่ที่แท้จริง เจ้าต้องหัดรักษาภาพลักษณ์เอาไว้บ้าง เจ้าคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ไม่อยากคุยโวใส่ผู้อื่นบ้างหรือ? ในเมื่ออาจารย์เคยเป็นถึงทหารแนวหน้าอยู่ในกองทัพ สามารถสังหารกองทัพศัตรูได้ถึง 300 คนด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพขุนศึกระดับสูงของจักรวรรดิจี้กวงคนไหน เพียงได้ยินฉายา ‘แม่ทัพหลิงกระบี่พญายม’ ของอาจารย์ใหญ่ พวกมันก็หวาดกลัวจนหัวหดแล้ว เจ้าคิดว่าอาจารย์เองไม่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้บ้างหรือไง?”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

สีหน้าของเด็กหนุ่มบอกชัดว่าเขาเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดี

เฉินเจี้ยนหนานกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ความจริงแล้ว ลูกศิษย์หลินไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีใครสามารถแย่งความดีความชอบของเจ้าในครั้งนี้ไปได้แน่นอน เมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบลงเรียบร้อย ของรางวัลทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

หลังจากนั้น รถม้าก็วิ่งมาหยุดลงที่หน้าประตูสถานศึกษากระบี่ที่สาม

หลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียง และคณะอาจารย์ในสถาบันก้าวลงมาจากรถม้า

หลิงไท่ซวีไม่ได้ลงมาด้วย เขานำตัวฉู่เหินที่ยังนอนอยู่ในรถม้า เดินทางไปเข้ารับการรักษาที่วิหารเทพกระบี่ในตัวเมือง และไม่ลืมกำชับให้บรรดานักบวชคอยติดตามอาการฉู่เหินอย่างใกล้ชิด

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูสถาบันเคียงข้างเยว่หงเซียง ดวงตาของเขาจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวอยู่ตลอดเวลา

เยว่หงเซียงยกมือขึ้นมาขยับผ้าคลุมใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่หลินคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

เขาสาบานเอาไว้แล้วว่าจะต้องหาทางรักษาใบหน้าของเยว่หงเซียงให้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มันคงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถทำได้ในเร็วๆ นี้เสียแล้ว

เมื่อล่ำลาทุกคนเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่ตำหนักไม้ไผ่

“เย้ นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย!”

เมื่อหวังจงเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน พ่อบ้านเฒ่าก็น้ำตาไหลพรากทันที

“ตาแก่สมองหมา เลิกเสแสร้งได้แล้ว”

หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นเตะก้นชายชราเบาๆ แล้วพูดว่า “ยังไม่รีบไปเตรียมอาหารร้อนๆ ให้ข้าอีก แล้วข้าก็อยากจะอาบน้ำด้วย…”

หลังถูกเตะเล็กน้อย หวังจงก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมาในพริบตา ราวกับว่าได้รับประทานยาวิเศษเข้าไปก็ไม่ปาน บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มขณะพูดว่า “เรื่องทั้งหมดข้าน้อยจัดการให้เรียบร้อยแล้วขอรับ ว่าแต่ว่า หญิงรับใช้ทั้งสองในห้องอาบน้ำ ไม่ทราบว่านายน้อยพอใจหรือไม่?”

ภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เขานอนแช่น้ำผุดขึ้นมาในสมองของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มจำได้ดีถึงเรือนร่างเร่าร้อนที่คอยนวดเฟ้นให้เขาระหว่างอาบน้ำ

เฮ้อ

ถ้าพวกนางยังทำแบบเดิมอยู่อีกละก็…

นายน้อยคนนี้ต้องมีอดใจไม่ไหวขึ้นมากันบ้างล่ะ

หลินเป่ยเฉินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

เขาหันไปมองหน้าพ่อบ้านหวังด้วยแววตาพอใจและกล่าวว่า “พอใจมาก เจ้ารู้นี่นาว่าจะสามารถเอาใจข้าได้อย่างไรบ้าง จริงด้วยสิ แม่นางน้อยทั้ง 2 คนนั้น เมื่อครั้งที่แล้วตัวเปียกมากไปหน่อย ให้พวกนาง….”

หลินเป่ยเฉินกำลังจะบอกให้พวกนางหาเสื้อผ้าใส่บ้างเถอะ ที่ต้องทำอย่างนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเองใจแตก

เด็กหนุ่มยังไม่อยากสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับใครคนอื่น ถ้าไม่ใช่เด็กสาวที่เขาแอบชอบอยู่บนโลกมนุษย์

แต่ในทันใดนั้น เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้ารอที่จะพบเจ้ามานานแล้ว”

ชายหนุ่มผู้นั้นมีผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตาหล่อเหลา กำลังเดินอย่างเชื่องช้าจากถนนทางเดินตรงมายังตำหนักไม้ไผ่

ผู้มาเยือนมีผมยาวสลวยสีดำสนิท อายุประมาณ 25 ถึง 26 ปี ถึงจะแต่งกายด้วยชุดสีขาว แต่กลับไม่มีเศษฝุ่นหรือคราบสกปรกเกาะอยู่บนเสื้อผ้าเลยแม้แต่นิด ผิวพรรณของชายหนุ่มขาวผ่องราวกับหิมะ เขาดูเป็นคนตัวผอม แต่ไม่อ่อนแอ แผ่นหลังเหยียดตรง เวลาก้าวเดินมีสง่าราศี บนใบหน้าประดับด้วยคิ้วเข้ม ดวงตาคม ทุกก้าวเดินของเขาจะมีระยะย่างก้าวเท่ากันทุกๆ ครั้ง

เมื่อบุรุษหนุ่มผู้นั้นเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องเป็นนายทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“คุณชายคือ…”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาชอบกล

เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มผู้นี้ แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน

“ข้ามีนามว่าหลิงฉือ” บุรุษหนุ่มตอบโดยไม่ยิ้มแย้ม “เจ้าอาจไม่รู้จักข้า แต่เจ้าต้องรู้จักน้องสาวข้า นางมีนามว่าหลิงเฉิน”

หืม?

พี่เขยเหรอวะเนี่ย?

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าหมอนี่ชอบกล

ที่แท้ก็มีหน้าตาเหมือนท่านผู้ว่าหลิงจุนเซวียนนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไรดี

เขาอยากจะกระทืบพ่อบ้านหวังให้ตายอยู่ตรงนั้นนัก

ทำไมพ่อบ้านชราถึงไม่รู้เลยว่านายน้อยคนนี้กำลังพยายามกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ ทำไมถึงได้จัดเตรียมหาสาวงามมาปรนนิบัติเขาอีก? แล้วเมื่อสักครู่นี้ ที่พูดออกไปสองประโยคสุดท้ายนั่นน่ะ… เขาจะอธิบายให้พี่ชายของหลิงเฉินฟังว่าอย่างไรดี?