บทที่ 181 ฆ่าอีกจะได้ชิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 181 ฆ่าอีกจะได้ชิน

ด้านนอกสถานศึกษากระบี่ที่สาม

ถนนสายที่ 3

โรงเตี๊ยมฮุยปิน ห้องรับประทานอาหารส่วนตัวบนชั้น 3

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินอยู่ในอาการสงบเยือกเย็น เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังใช้สายตาสำรวจมองหลิงฉือที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะอาหารด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

บุรุษหนุ่มเป็นคนหล่อเหลา แต่ให้ความรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นยามเดิน ยามยืนหรือยามนั่ง เวลาหันซ้ายหรือเวลาหันขวา ทุกอย่างจะถูกคำนวณมาเป็นอย่างดี หลินเป่ยเฉินไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนนี้จะมีท่าทีผ่อนคลายเลยสักครั้ง

ท่านผู้ว่าการเมืองหลิงจุนเซวียน ช่างมีลูกชายและลูกสาวที่แตกต่างกันเหลือเกิน

บุตรชายคนโตให้ความรู้สึกเหมือนยามเย็นที่เงียบสงบ บุตรชายคนรองให้ความรู้สึกเหมือนยามกลางวันที่ร้อนแรง ส่วนบุตรสาวคนเล็กให้ความรู้สึกเหมือนยามเช้าที่สดใส

พวกเขาทั้งสามคนนี้ถูกเรียกขานว่าเป็นสองมังกรหนึ่งหงส์ฟ้า

นอกจากหน้าตาดีแล้ว ยังเก่งกาจมีพรสวรรค์

รอบ 20 ปีที่ผ่านมา สำหรับในมณฑลเฟิงอวี่ มีชื่อของคนหนุ่มคนสาว 4 คน ที่ไม่ว่าผู้ใดได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม ก็ต้องยอมก้มหัวให้ด้วยความคารวะ คนหนุ่มสาวทั้ง 4 นั้นประกอบไปด้วย…

เว่ยหมิงเฉิน

หลิงฉือ

หลิงอู๋

และหลินถิงซาน

เว่ยหมิงเฉินขณะนี้อาศัยอยู่ในเมืองไป๋หยุน

หลิงฉือกับหลิงอู๋เป็นนายทหารดาวรุ่งอยู่ในกองทัพ

ส่วนหลินถิงซานหายตัวลึกลับไม่ทราบชะตากรรม

ความเก่งกาจของบุคคลเหล่านี้ถูกเล่าขานกันแบบปากต่อปากจากชาวเมือง และด้วยความที่เป็นคนสอดรู้สอดเห็นอยู่แล้ว หลินเป่ยเฉินจึงได้รับทราบเรื่องราวมาบ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้พบหลิงฉือตัวจริง เด็กหนุ่มจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้

ผู้มีฝีมือเป็นอันดับ 2 ประจำมณฑล มาหาเขาด้วยเหตุอันใดกัน?

มิหนำซ้ำ ยังมาตั้งแต่เช้า หรือว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน?

หรือว่าชายหนุ่มจะมาหาเขา เพื่อโยนเหรียญทองคำ 1,000 เหรียญใส่หน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคนเสเพล อย่ามายุ่งกับน้องสาวของข้าอีกเด็ดขาด” หรือบางทีอาจเป็นคำข่มขู่ อย่างเช่น “ถ้าเจ้ากล้ามองน้องสาวข้าอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมาซะ เข้าใจหรือไม่?”

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…

หลินเป่ยเฉินขบคิดด้วยสีหน้าจริงจัง รู้สึกได้ว่าเขาสมควรรับข้อเสนอของหลิงฉือ

นอกจากมันเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำแล้ว

บัดนี้ เหรียญทองคำจำนวน 1,000 เหรียญ มีค่าสำหรับหลินเป่ยเฉินยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

ความรักมันกินไม่ได้นี่นา

บางครั้ง คนเราก็ต้องแยกให้ได้ระหว่างเรื่องหัวใจกับชีวิตจริง

ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังแอบสำรวจหลิงฉือ หลิงฉือก็กำลังสำรวจหลินเป่ยเฉินอยู่เช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มได้ยินชื่อเสียงของหลินเป่ยเฉินมาพักใหญ่แล้ว

ในฐานะนายทหารดาวรุ่งประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ เขามีความเคารพเทิดทูนนายทหารระดับสูงอย่างหลินจิ้นหนานตลอดมา

นั่นเป็นเพราะว่าแม่ทัพท่านนั้นเป็นเพียงคนเดียวจากสิบสุดยอดแม่ทัพประจำกองทัพ ที่มีถิ่นฐานมาจากเมืองหยุนเมิ่ง แต่มีชื่อเสียงโด่งดังถึงขนาดที่ว่าเคยเอาชนะกองทัพเทพเจ้ามาแล้วด้วยซ้ำ และก่อนหน้านี้เพียงปีเดียว หลินจิ้นหนานยังคงมีสถานะสูงส่ง กองทัพของเขาแข็งแกร่งไม่ต่างจากกองทัพเทพเจ้า ยามลงสมรภูมิรบที่ใด ไม่เคยสัมผัสคำว่าพ่ายแพ้

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ หลิงฉือจึงมีความเคารพเทิดทูนหลินจิ้นหนาน และทำให้เขาพลอยรู้จักหลินเป่ยเฉินไปโดยปริยาย

ก่อนหน้านี้ หลิงฉือไม่เคยคิดให้ความสนใจต่อหลินเป่ยเฉินมาก่อน

แต่เมื่อเช้า ตอนที่เขาเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าตำหนักไม้ไผ่ มุมมองทั้งหมดที่หลิงฉือเคยมีต่อเจ้าแกะดำผู้นี้ ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น

ภายในห้องอาหารค่อนข้างเงียบงัน

“เจ้าฆ่าคนมาใช่หรือไม่?”

หลิงฉือถามน้ำเสียงราบเรียบ

หลินเป่ยเฉินวางข้อศอกไว้บนโต๊ะและยกมือเท้าคางด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ตอบรับในลำคอว่า “อืม”

“ฆ่าไปเยอะหรือไม่?”

หลิงฉือถามออกมาอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เยอะเกินไปด้วยซ้ำ”

“นี่คงเป็นการฆ่าคนครั้งแรกของเจ้า?”

หลิงฉือถามอย่างต่อเนื่อง

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

ในฐานะบุตรชายคนโตของท่านผู้ว่าการเมือง มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลิงฉือจะรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหุบเขาชายแดนเหนือ แต่มันคงเป็นเรื่องแปลกหากชายหนุ่มจะรู้ว่า นี่คือการฆ่าคนครั้งแรกของหลินเป่ยเฉิน

“พี่ขะ…พะ พี่ชายรู้ได้อย่างไรกัน?”

หลินเป่ยเฉินเกือบจะหลุดปากเรียกอีกฝ่ายว่าพี่เขยอยู่แล้วเชียว

“เพราะจิตใจของเจ้ายังไม่มั่นคง” หลิงฉือพูด “ตอนนั้นที่เจ้าลงมือ เจ้ายังไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ เจ้ากำลังเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป”

หลินเป่ยเฉินยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมแล้ว

เพราะว่าหลิงฉือพูดถูกต้องทุกประการ

ตอนอยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ ชีวิตของหลินเป่ยเฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย จิตใจของเขามุ่งมั่นอยู่กับการสังหารเหล่าวายร้าย ไม่มีความคิดอื่นใดแทรกซ้อนเข้าหา ดังนั้น การฆ่าคนจึงไม่ใช่เรื่องที่รบกวนจิตใจเขาเลย

แต่เมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองหยุนเมิ่ง มาพบเจอกับบรรยากาศที่ปราศจากอันตราย เด็กหนุ่มก็นึกเสียใจกับการที่เขาฆ่าคนเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ เขาเป็นเพียงโอตาคุติดอินเทอร์เน็ตจากโลกมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

เรื่องฆ่าคนน่ะหรือ?

ให้ตบยุงสักตัว เขายังไม่กล้าทำเลยด้วยซ้ำ

และเขาเพิ่งมาอยู่ที่โลกจอมยุทธ์ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น

เมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์บนยอดเขาสุสานอินทรี คิดถึงกองซากศพและหัวมนุษย์ที่เกลื่อนกลาดอยู่ข้างทาง คิดถึงความเป็นจริงว่าเขาสังหารคนหลายร้อยคนในเวลาเพียงคืนเดียว มันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินตัวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวแล้ว

เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้เลยว่าในจำนวนผู้คนที่เขาสังหารไปนั้น มันจะเป็นพวกโจรร้ายทั้งหมดเลยหรือ? ถ้าเกิดมีคนบริสุทธิ์รวมอยู่ด้วยล่ะ ถ้าเกิดคนที่ตายไป ยังมีพ่อแม่ให้เลี้ยงดู ยังมีบุตรและภรรยาที่รอให้กลับไปหา…

เพียงเท่านี้ การฆ่าคนก็ไม่ใช่เรื่องสนุกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินเคยเป็นเกรียนคีย์บอร์ดปั่นคนอื่นให้หัวร้อนเล่นๆ ในอินเทอร์เน็ต นั่นคงจะเป็นความผิดที่ร้ายแรงที่สุดที่เขาเคยทำในชีวิตก่อนหน้านี้ แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการฆ่าคนด้วยน้ำมือตัวเอง เด็กหนุ่มก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์เป็นอย่างมาก

เมื่อวิเคราะห์ทุกอย่างดูแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า ตัวเขาเองยังเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ เขาไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร เขาไม่ใช่ฆาตกร แน่นอนว่าเขายิ่งไม่ใช่พระเอกในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์

ไม่มีใครเป็นวีรบุรุษมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว

หลินเป่ยเฉินเข้าใจมาตลอดว่าตนเองสามารถปิดบังความหวั่นไหวที่แท้จริงได้มิดชิด

ไม่คิดเลยว่าหลิงฉือกลับมองออกทะลุปรุโปร่ง

“ครั้งแรกที่ฆ่าคน ข้าก็รู้สึกเหมือนเจ้านี่แหละ”

หลิงฉือกล่าว

หลินเป่ยเฉินรู้ว่าหลิงฉือกำลังพูดความจริง

เพราะสีหน้าชายหนุ่มจริงจังมาก

น้ำเสียงก็จริงจังมาก

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าคนอย่างหลิงฉือไม่มีวันโกหก

“แล้วหลังจากนั้นท่านทำอย่างไร?” หลินเป่ยเฉินสอบถาม “ท่านลืมเลือนความรู้สึกทั้งหมดนั้นได้อย่างไร?”

“ข้าไม่เคยลืม” หลิงฉือตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพราะฉะนั้น ข้าจึงฆ่าพวกมันอีก เพื่อให้เกิดความรู้สึกเคยชิน”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

เชี่ยแล้วไง

เด็กหนุ่มเข้าใจว่าอัจฉริยะประจำเมืองอย่างหลิงฉือ จะต้องให้คำตอบที่คมคายและล้ำลึกแน่นอน ใครจะไปคิดเลยว่าคำตอบที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้ไปได้

แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูให้ดี หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ว่า มันเป็นคำตอบที่มีเหตุผลไม่น้อย

ในเมื่อไม่ได้เกิดมามีจิตใจเป็นปีศาจร้ายตั้งแต่แรก

ก็ต้องหาวิธีแก้ไขให้ได้

ในเมื่อไม่เคยชินกับการฆ่าคน

ก็มีแต่ต้องฆ่าคนเพิ่มอีกเท่านั้น ถึงจะรู้สึกเคยชิน

หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกเศร้าสลดในหัวใจขึ้นมา

หลิงฉือพูดออกมาอีกครั้งว่า “คนที่เจ้าฆ่า เป็นคนเลวใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินรีบพยักหน้าตอบรับทันที

ไม่ว่าจะเป็นพวกของโจวเฉิงที่ข่มเหงรังแกสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ หรือพวกถ้ำหมื่นพิษที่จับคนบริสุทธิ์ไปทดลองยาพิษ หรือพวกนักพนันจากสังเวียนต่อสู้สัตว์ประหลาด คนเหล่านี้ลงมือก่ออาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนเหนือมานานหลายปี และสมควรต้องลงนรกชั่วกัปชั่วกัลป์

“เจ้าคิดว่าเมื่อพวกมันตายแล้ว พ่อแม่ลูกเมียและญาติพี่น้องของพวกมันจะเสียใจหรือไม่?” หลิงฉือถาม

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอีกครั้ง

คำถามนี้กระแทกใจเขาเหลือเกิน

หลิงฉือให้คำตอบออกมาว่า “ในเมื่อพวกมันเลือกเดินทางสายคนชั่ว ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องพบเจอกับจุดจบเช่นไร แม้รู้ทั้งรู้ว่าพ่อแม่พี่น้องของตัวเองจะต้องเสียใจ แต่พวกมันก็ไม่คิดจะสนใจหรือกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ ดังนั้น ในเมื่อพวกมันเองยังไม่คิดสนใจญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วเจ้าจะไปสนใจแทนพวกมันทำไม?”