ซ่งชูอีมาถึงที่ว่าการไม่นาน กู่หานก็มาถึง
แต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมงสีดำ ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่สงบนิ่งเช่นปกติคู่นั้น “มีข่าวส่งมาจากทางรัฐเว่ยขอรับ เว่ยอ๋องวางแผนที่จะส่งสวีจ่างหนิงไปเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น องค์รัชทายาทต้องการจะรั้งไว้ ทว่าองค์ชายซื่อกลับสนับสนุนเว่ยอ๋อง กล่าวว่าพรมแดนระหว่างหานและเว่ยนั้นวุ่นวาย แนะนำให้ปล่อยให้สวีจ่างหนิงไปหาประสบการณ์สักปีครึ่งก่อน เว่ยอ๋องก็ทำตามคำพูดขององค์ชายซื่อ ย้ายสวีจ่างหนิงไปยังฉางเซ่อในฐานะจวิ้นโส่ว (ผู้ว่าราชการจังหวัด)”
สิ่งต่างๆ กำลังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กลยุทธ์ที่ซ่งชูอีเขียนขึ้นในตอนแรกนั้น แน่นอนว่ามีความหมายที่ลึกซึ้งและชัดแจ้ง ทำให้ผู้คนดวงตาเป็นประกายได้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่วาทกรรมที่เขียนขึ้นด้วยความพากเพียรทั้งหมดที่มี จึงพ่ายแพ้ให้แก่การสืบหาความจริงที่ลึกซึ้ง เกรงว่าต่อให้เว่ยอ๋องคิดว่าสวีจ่างหนิงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ก็ไม่ใช่พรสวรรค์ที่โดดเด่นอะไร รัฐเว่ยมีลูกหลานผู้สูงศักดิ์มากมาย บัณฑิตผู้มีความสามารถนั้นมีมากเกินไป ตำแหน่งทางการในเมืองหลวงไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไปที่รัฐเว่ยเพื่อแสวงหาตำแหน่ง หากมิได้เฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว ส่วนใหญ่ก็จะถูกปฏิเสธออกมา
ความสามารถที่สวีจ่างหนิงแสดงออกมานั้นไม่สูงไม่ต่ำ หากมอบตำแหน่งที่อัปยศจนเกินไป ก็จะบั่นทอนกำลังใจของบัณฑิตใต้หล้าที่จะเข้ามาแสวงหาตำแหน่งในรัฐเว่ย แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับตำแหน่งสำคัญในต้าเหลียง ดังนั้นจึงเป็นไปได้เก้าส่วนที่จะถูกส่งออกไปรับตำแหน่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ซ่งชูอีคาดเดาความคิดของเว่ยอ๋องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงสั่งให้สวีจ่างหนิงตีสนิทองค์รัชทายาทอย่างลับๆ
บัดนี้เว่ยอ๋องแก่ชราแล้ว มีองค์ชายซื่อเป็นผู้เข้าชิงบัลลังก์ ส่วนองค์รัชทายาทก็กะตือรือร้นที่จะดึงดูดผู้ที่มีความสามารถและเห็นว่าสวีจ่างหนิงใช้งานได้ เมื่อเว่ยอ๋องต้องการที่จะย้ายสวีจ่างหนิงออกไปจึงเอ่ยปากปกป้องเขา
องค์ชายซื่อดูภายนอกสบายๆ เหมือนองค์ชายอั๋ง แต่อันที่จริงกมลสันดานชั่วร้ายบิดเบี้ยว ขัดขวางมิให้องค์รัชทายาทดึงดูดผู้มีพรสวรรค์เข้ามามากกว่าครั้งสองครั้งแล้ว คราวนี้หาได้ยากยิ่งที่องค์รัชทายาทจะมีความเห็นไม่ตรงกับเว่ยอ๋อง ในเมื่อสามารถทำเป็นเชื่อฟังต่อหน้าเว่ยอ๋องและสามารถเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทได้อย่างโจ่งแจ้งในเวลาเดียวกัน เขาจะปล่อยให้โอกาสอันยิ่งใหญ่นี้หลุดลอยไปได้อย่างไร?
องค์ชายซื่อเพราะต้องการข่มผู้ที่มีพรสวรรค์และต้องการจะแย่งผู้มีพรสวรรค์มาจากองค์รัชทายาท ทันทีที่มีโอกาสก็จะต้องดึงเข้ามาอยู่ข้างตัวเองอย่างแน่นอน
นครฉางเซ่ออยู่ตรงรอยต่อของหานและเว่ย ตามข่าวจากสายลับของรัฐฉิน นายพลที่ดูแลเมืองใกล้เคียงมีการติดต่อใกล้ชิดกับองค์ชายซื่อ หากสวีจ่างหนิงได้เป็นจวิ้นโส่วแห่งฉางเซ่อ จะต้องติดต่อกับนายพลที่รักษาการณ์นครอย่างแน่นอน หากสามารถนำเสนอแผนการอันชาญฉลาดได้หลายครั้ง ไม่ช้าก็เร็วก็จะสามารถได้รับความไว้วางใจจากองค์ชายซื่อ
เป้าหมายของซ่งชูอีมิใช่องค์รัชทายาทแต่เป็นองค์ชายซื่อ
กู่หานรับผิดชอบเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็สามารถคาดเดาได้อยู่บ้าง เพียงแต่งุนงงเล็กน้อยเท่านั้น “องค์รัชทายาทเป็นคนซื่อสัตย์ วางแผนไม่เก่ง ทั้งยังกะตือรือร้นที่จะแสวงหาผู้มีพรสวรรค์ ไม่ยิ่งถูกหลอกใช้ได้ง่ายหรือ?”
“พวกเรายังมองออกว่าเขาหลอกใช้ง่าย คนอื่นจะมองไม่เห็นหรือ?” ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อพลางลูบคลำนิ้วก้อย ดวงตาเงียบสงบราวกับสระน้ำ “มีเว่ยอ๋องอยู่เบื้องหน้า หมิ่นฉือจะต้องเลือกที่จะสนับสนุนองค์รัชทายาทเป็นแน่!”
หากเลือกได้ กุนซือทุกคนต่างไม่ต้องการมีองค์เหนือหัวที่เข้มแข็งและมีความคิดเห็นมากจนเกินไป เว่ยอ๋องและองค์ชายซื่อล้วนเป็นเช่นนี้ ทว่าองค์รัชทายาทมีนิสัยตรงกันข้าม ทันทีที่สามารถเป็นแขนซ้ายแขนขวาของเขาได้ แม้ว่าเขาจะไม่ฟังสิ่งที่แนะนำ แต่ก็จะพึ่งพากุนซือเป็นอย่างมาก
หากเอาใจตนไปวัด หากซ่งชูอีอยู่ในรัฐเว่ยก็เลือกที่จะสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน
องค์รัชทายาทรัฐเว่ยมีชื่อเสียงในด้านที่ดี ทว่าปรับตัวได้ไม่เก่งพอ หากมีผู้ช่วยที่ชาญฉลาด ในอนาคตก็จะสามารถเป็นจวินที่ดีองค์หนึ่ง ส่วนองค์ชายซื่อ หากตัดสินจากการกระทำที่เขามีต่อองค์รัชทายาทซ้ำๆ แล้วก็เป็นคนใจร้อน ค่อนข้างมีความคิดคล้ายกับเสด็จพ่อในวัยหลังสี่สิบห้าปีของเขา
“ไปบอกสวีจ่างหนิง ผู้กระทำการใหญ่ จำต้องใจเย็น วันเวลายังอีกยาวไกล” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” กู่หานเอ่ยต่อ “กั๋วเว่ยคาดเดาถูกต้อง องค์รัชทายาทมีความตั้งใจที่จะดึงหมิ่นฉือ คนที่ถูกจับในหลีสือชื่อว่าอิ่นชวน มือสังหารสาวที่ตายไปแล้วมีชื่อว่าจื่อชวน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้อารักขาลับที่องค์รัชทายาทแห่งรัฐเว่ยองค์ก่อนเลี้ยงไว้ ต่อมาก็มีองค์รัชทายาทรับช่วงต่อ! ตอนนั้นที่หมิ่นฉือเดินทางเข้าสู่ปาสู่ก็พาคนเหล่านี้ไป นอกเหนือจากอิ่นชวนและจื่อชวนแล้ว ที่เหลือล้วนสิ้นชีพในปาสู่”
“อิ่นชวน…” ซ่งชูอีกล่าวชื่อนี้ซ้ำๆ นึกขึ้นมาได้เลือนราง เหมือนเจ้าอี่โหลวบอกว่าได้รับ “เหลียวจื่อ” เล่มนั้นมาจากพ่อค้ารัฐเว่ยที่มีชื่อว่าอิ่นชวน
นางบ่นพึมพำ “หากถามไม่ได้ความก็ฆ่าเสียเถิด”
แม้ว่าความภักดีของมือสังหารชาวเว่ยสองคนนี้ทำให้กู่หานนึกถึงกู่จิง ทว่าเขายังคงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “ขอรับ!”
ซ่งชูอีมองเขา ยังต้องการกล่าวอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดกลับเอ่ยเพียง “ไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ออกไปเถิด”
“ขอรับ!” กู่หานค้อมตัวถอยออกไป
เขาเป็นคนที่ระมัดระวังและเข้มงวดมาโดยตลอด เมื่อตอนที่ยังมีกู่จิงยังดีหน่อย แต่นับตั้งแต่กู่จิงจากไปแล้ว เขาก็ยิ่งระมัดระวังและเงียบขรึมกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ ซ่งชูอีต้องการจะเอ่ยคำปลอบใจ อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นพี่น้องที่ยาวนานหลายปีของพวกเขา ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เห็นได้ชัดกว่าไม่สะทกสะท้าน
“กั๋วเว่ย ท่านอ๋องเรียกพบขอรับ” คนมีรายงานอยู่ข้างนอก
ซ่งชูอีจัดกระชับเสื้อผ้า คลุมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
หิมะหนักปกคลุมทั่วทั้งพระราชวังเสียนหยาง ขาวโพลนทั่วบริเวณแต่ไม่ทิ้งความสง่างาม
อิ๋งซื่อยังคงพบนางที่หอคอย
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีมาที่นี่ตั้งแต่สงครามหลีสือเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“ถวายบังคมองค์จวิน” ซ่งชูอีค้อมตัวเอ่ย
“นั่ง” อิ๋งซื่อวางพู่กันลง
หลังจากซ่งชูอีนั่งลงแล้ว เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่เย็นชาเช่นเคย เพียงแต่ขมับสองข้างมีผมขาวแซมเล็กน้อย “ช่วงนี้ฝ่าบาทสุขภาพไม่ดีรึ?”
“ไม่มีอะไร” นัยน์ตาสีเข้มของอิ๋งซื่อมองไปที่ซ่งชูอีอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง “กระปรี้กระเปร่ากว่าหลายเดือนก่อนมาก”
วาจานี้ไม่รู้ว่าหมายถึงตัวเขาเองหรือนาง
“อา” ซ่งชูอีตบหน้าตัก รีบประสานมือเอ่ย “ขอแสงความยินดีกับองค์จวินที่ได้ลูกชายลูกสาวฝาแฝดพ่ะย่ะค่ะ”
มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วและดวงตาของอิ๋งซื่อ ในฐานะพ่อครั้งแรก ครั้นเอ่ยถึงเจ้าตัวเล็กที่นุ่มนวลคู่นั้น ความเย็นชาและเฉียบคมของเขาลดลงไปมาก “หลังจากผ่านไปร้อยวัน กั๋วเว่ยก็ไปเยี่ยมสิ หน้าตาของพวกเขาเหมือนพ่อมาก”
ซ่งชูอีคิดในใจ ท่านเผด็จการขนาดนั้น จะกล้าไม่เหมือนท่านหรือ!
“ขอแสดงความยินดีกับองค์จวิน” ซ่งชูอีเอ่ย
ขันทีเถาเตือนสติเสียงเบา “กั๋วเว่ย ควรเปลี่ยนเป็นเรียกว่าท่านอ๋องได้แล้ว!”
ซ่งชูอีมองดูอิ๋งซื่อ ยิ้มเอ่ยว่า “เปลี่ยนในเวลานี้แล้วจะมีความหมายอะไร! จวินก็ดี อ๋องก็ดี สุดท้ายแล้วก็เป็นองค์
จวินแห่งฉินตะวันตกอยู่ดี ในใจของกระหม่อม อ๋องแห่งใต้หล้าไม่ได้มีหมายความเช่นนี้!”
ความหมายของนางก็คือ บัดนี้อิ๋งซื่อก็ยังคงเป็นองค์จวินแห่งรัฐฉินในหล่งซี มันก็เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีเรียกเท่านั้น ไม่ได้สำคัญนัก ในสายตาของนาง วันใดที่อิ๋งซื่อได้เป็นองค์เหนือหัวที่ปกครองใต้หล้าต่างหาก “ท่านอ๋อง” สองคำนี้จึงจะมีความหมายอย่างแท้จริง ตอนนี้เป็นเพียงการหยิบขึ้นมาเรียกให้คล่องปากก็เท่านั้น
ขันทีเถาเหลือบมองอิ๋งซื่อเงียบๆ เขารู้ดีว่าฝ่าบาทเกลียดคนที่ไม่รักษากฎเกณฑ์มากที่สุด เหตุผลที่ฝ่าบาทเกลียดฮูหยินหวานก็เพราะว่านางหยิ่งผยองและหยาบคาย
“ฮ่าๆๆ!”
คาดไม่ถึงว่าอิ๋งซื่อจะปรบมือและหัวเราะเอ่ย “เยี่ยมนัก! ความยิ่งใหญ่ของกั๋วเว่ยตรงกับใจของกว่าเหรินนัก องค์
จวินหรือท่านจวินก็ไม่มีสิ่งไหนผิด”
จะหารือเรื่องในสวนหลังบ้านกับราชสำนักได้เยี่ยงไร? ระบบกฎหมายของบ้านเมืองไม่อาจแตกหัก ทว่าในฐานะองค์
จวินที่มีความทะเยอทะยานคนหนึ่งก็ไม่ชอบขุนนางที่ยึดกฏตายตัวไม่ยอมยืดหยุ่น ในเวลาที่ควรมีความเฉียบคมก็ต้องมีความเฉียบคม มิฉะนั้นจะหารือเกี่ยวกับการพัฒนาได้เยี่ยงไร?!
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด?”
“เรื่องการปฏิรูปกองทัพ” อิ๋งซื่อชี้ไปยังตั่งตัวหนึ่งที่ใกล้พวกเขามากที่สุด “ไปคุยกันข้างหน้า”
ซ่งชูอีลุกขึ้นแล้วเข้าไปนั่ง จวินและขุนนางสองคนจับเข่าคุยกัน
การทหารเป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง การปฏิรูประบบทหารถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ของบ้านเมือง การตัดสินใจทุกครั้งต้องกระทำอย่างระมัดระวัง
การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมหรือการต่อสู้แบบตัวต่อตัวจำเป็นต้องมีคำสั่ง ดังนั้นวิธีการต่อสู้ที่สำคัญคือ “รูปแบบการทหาร” เช่นรูปแบบของกองทัพเว่ยที่สามารถพิชิตทุกอุปสรรคได้ก่อนหน้านี้ วิธีการสร้างรูปแบบทางทหารที่สามารถสังหารศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการฝึกทหาร
ซ่งชูอีรู้จักศิลปะแห่งสงคราม เก่งด้านจัดการกองทัพ “ทฤษฎีโค่นรัฐ – รุกและรับ” เป็นบทที่อุทิศให้กับรูปแบบการทหาร แต่เพียงมันยึดครองพื้นที่ไปเสียหนึ่งในห้าของทั้งเล่มแล้ว
ยุคสมัยชุนชิวเชิดชูสุภาพบุรุษที่มีความเมตตากรุณาและศีลธรรม เมื่อสองรัฐจะทำสงครามกันก็ต้องลงนามหนังสือสงครามก่อน หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามตกลงแล้วจึงจะพูดคุยเกี่ยวกับสถานที่รบ ทั้งสองฝ่ายยืนยันจำนวนคน จากนั้นรอให้ทั้งสองฝ่ายมาถึงสถานที่รบและจัดตั้งกองทัพก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น นอกจากนี้ยังหมายความว่าภูมิปัญญาทั้งหมดของผู้เป็นนายจำเป็นต้องใช้ในกองทัพเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับตาลปัตร สถานการณ์การต่อสู้สามารถเปลี่ยนแปลงได้และสนับสนุนการวางแผนหลอกลวง แต่ละรัฐมิได้ต่อสู้กันเพียงในแง่ของรูปแบบกองทัพเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมี “ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ” ขึ้น
“ฝ่าบาท ค่ำแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเตือนสติ
บัดนี้เผลอคุยมามากว่าหนึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัวแล้ว
อิ๋งซื่อรินน้ำแก้วหนึ่งให้ซ่งชูอี “พักก่อนค่อยคุยต่อ”
“อืม” ซ่งชูอีดื่มรวดเดียวจนหมด ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ อาศัยจังหวะว่างนี้ถามขึ้น “ฝ่าบาทคิดว่าหมี่จีที่อยู่ในจวนของกระหม่อมมีหน้าตาอย่างไร?”