“แหม!” ฮูหยินอวิ๋นทำหน้าตาไร้เดียงสา ทว่ากลับทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความคลุมเครือ ท่าทางประหลาดใจนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ของปลอม “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้ติดใจหนักหนา!”
พูดจบก็ถอนหายใจยืดยาว “อันที่จริง ฝ่าบาทก็ไม่ใช่คนมักมากในกาม ผู้หญิงมีไม่มาก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่างหากที่มาก่อนสิ่งอื่นใด ช่วยไม่ได้ที่คุณสมบัติของพวกเชี่ยด่างพร้อย ไม่อาจทำให้ฝ่าบาทโปรดปราน ยากยิ่งนักที่จะมีคนถูกใจ เชี่ยก็เพียงอยากปรนนิบัติฝ่าบาทกลับเท่านั้น ดีเลวอย่างไรวันหน้าฝ่าบาทก็อาจจะนึกถึงความดีของเชี่ยได้บ้าง ด้วยเหตุนี้เชี่ยจึงละเลยที่จะสอบถาม หุนหันพลันแล่นเข้ามาขอคนเสียแล้ว หวังว่ากั๋วเว่ยจะไม่โกรธ”
แม้ว่าการแสดงจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ไม่อาจตบตาซ่งชูอีได้ หากฮูหยินอวิ๋นคิดว่าหมี่จีเป็นแค่เด็กสาวรับใช้ธรรมดาในจวนของกั๋วเว่ยจริง แค่ส่งคนมาบอกกล่าวสักคำก็สามารถพาคนไปได้แล้ว เหตุใดจำเป็นต้องให้ฮูหยินมาขอด้วยตัวเองเล่า?
อย่างไรก็ดีวาจาของนางเช่นนี้กลับต้องการทำให้ซ่งชูอีปฏิบัติต่อเด็กหญิงคนนี้ต่างออกไป การที่ฮูหยินคนหนึ่งสามารถพูดออกมาว่า “ผู้หญิงมีไม่มาก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่างหากที่มาก่อนสิ่งอื่นใด” ในขณะที่ขอนางบำเรอให้แก่สามีตัวเองได้นั้นนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
“แค่ก!” ฮูหยินอวิ๋นไอแรงๆ ทีหนึ่ง
ซ่งชูอีเห็นว่ามันตลก ก้มหน้ายกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“กั๋วเว่ย…” ในที่สุดจื่อเฉาก็ดึงสติกลับมา เรียกนางเสียงพึมพำแต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
นับตั้งแต่กู่จิงจากไป ซ่งชูอีก็มักจะรู้สึกว่าตนเองใจอ่อนลง เมื่อเห็นท่าทางของจื่อเฉาเยี่ยงนี้ ก็รู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย
ความรักลึกซึ้งที่จื่อเฉามีต่อนางนั้นปราศจากความเสียใจ ความรักเช่นนี้ยากที่จะได้รับและก็ควรรักษาให้ดี ทว่านางกลับฆ่าน้องสาวคนเดียวของจื่อเฉา
ฮูหยินอวิ๋นเห็นได้ชัดว่าดวงตาของซ่งชูอีอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อมองไปที่จื่อเฉา จากนั้นก็ได้ยินนางกล่าวขึ้นว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ดูแลจวนที่ข้าทุ่มเทอย่างหนักเพื่อฝึกฝน ไม่อาจส่งออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า หากข้ามีเวลาจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อทูลถามความต้องการ หากฝ่าบาทมีความต้องการจริง ค่อยให้ฮูหยินมารับนางเข้าวังเถิด”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินอวิ๋นก็รู้แล้วว่าไม่อาจฝืนต่อไปได้ ยังดีที่ซ่งชูอีมิได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดซึ่งนับว่ายังไว้หน้านางอยู่บ้าง จากนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก “ลำบากกั๋วเว่ยแล้ว เช่นนั้น…พวกข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”
ฮูหยินอวิ๋นลุกขึ้น ทันใดนั้นจื่อเฉากลับพูดว่า “กั๋วเว่ย ขอเวลาคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีเหลือบมองนาง ลุกขึ้นกล่าวกับฮูหยินอวิ๋น “ฮูหยินล่วงหน้าไปก่อนเถิด ไว้ข้าจะให้คนส่งฮูหยินเฉากลับวัง”
ฮูหยินอวิ๋นลังเลเล็กน้อย เมื่อครู่เห็นว่าสายตาของซ่งชูอีดูเหมือนมีใจให้จื่อเฉา จะปล่อยให้นางสนมในวังพูดคุยกับขุนนางตามลำพังได้อย่างไร?
“ได้” ฮูหยินเลือกที่จะไว้หน้าซ่งชูอี พยักหน้าน้อยๆ นำหน้านางสนมและเด็กรับใช้จากไป
ในห้องโถงหลักเหลือเพียงพวกนางสองคน
“ท่าน” หมอกจางๆ ผุดขึ้นในดวงตาของจื่อเฉา กล่าวด้วยความร้อนใจ “หญิงงามที่ฝ่าบาทโปรดปรานใช่หย่าหรือไม่? ข้าพบนางได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีหลุบตาลง “ไม่ใช่ เฉา จื๋อหย่า…”
จื่อเฉามองดูการแสดงออกของซ่งชูอี ในใจรู้สึกได้เลือนรางว่าสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อจากนี้ไม่ใช่ข่าวดี ร่างกายของนางแข็งทื่อ นิ้วนุ่มลื่นเหมือนต้นหอมกำแขนเสื้อไว้แน่น รอคอยคำตอบเงียบๆ
“ตายแล้ว”
ซ่งชูอีพ่นสองคำนี้ออกมาแผ่วเบา ทว่ามันกลับจู่โจมหัวใจของจื่อเฉาอย่างแรง
ภายในห้องเงียบสงัด
เนิ่นนาน น้ำตาของจื่อเฉาไหลออกมาไม่ขาดสาย มองนางด้วยสายตาว่างเปล่า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เป็นไปได้อย่างไร…”
เดิมทีซ่งชูอีต้องการบอกความจริงจื่อเฉา ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของนางเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนบนโลกใบนี้ที่จะมีหัวใจอันเข้มแข็ง ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับการจากลาด้วยความตายได้ บางทีควรจะปิดบังนางเรื่องนี้ตลอดไป
“เจ้าก็คิดเสียว่านางตายแล้วเถิด” ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย “นางอยู่ในรัฐเยียน ห่างไกลเจ้าจากอีกปลายฝั่งของพระราชวัง ชาตินี้ไม่มีวันได้พบกันตลอดไป เพราะข้าทำผิดต่อพวกเจ้า”
จื่อเฉาอึ้งไปครู่หนึ่งจึงจะเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของซ่งชูอี เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความยินดี “จริงรึ? นางสบายดีก็ดีแล้ว! ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลย หากไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าพวกข้าก็คง…ในใจของเฉาซาบซึ้งต่อท่านมาก”
ในตอนแรกพวกนางสองคนถูกขายให้เป็นนักแสดง มีอาหารและเครื่องดื่มให้อย่างดี ต่อมาโชคชะตาก็ทำให้พวกนางกลายเป็นสินค้าที่ถูกขายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ สำหรับเด็กหญิงที่ไร้อำนาจอย่างพวกนางก็นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ทว่า
จื๋อหย่าไม่ยอม สาบานว่าจะปกป้องนาง แม้ว่านางจะไม่เชื่อทว่าก็รู้จักนิสัยดื้อรั้นของจื๋อหย่าเป็นอย่างดี ไม่วางใจให้จื๋อหย่าออกไปท่องหล้าตามลำพัง ดังนั้นจึงลากร่างที่กำลังป่วยของตนหนีออกไปด้วยกัน ร่วมเป็นร่วมตายดุจพี่สาวน้องสาว
คืนนั้นหลังจากที่ถูกคนไล่ล่าเป็นเวลาสองวัน เพราะความอดอยากและหนาวเหน็บ อาการป่วยของนางแย่ลง จื๋อหย่าเห็นกองเพลิง แบกนางขึ้นหลังภายใต้ความร้อนรนเพื่อไปขอความช่วยเหลือโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับกองทหาร!
จื่อเฉาจดจำแววตาดุจหมาป่าของชายเหล่านั้นในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน
หากไม่มีซ่งชูอี พวกนางสองพี่น้องก็ต้องพบกับจุดจบที่ย่อยยับน่าเวทนา บัดนี้แม้ว่านางจะถูกขังอยู่ในวังหลัง แต่เพราะว่ากลยุทธ์ของซ่งชูอีทำให้นางกลายเป็นผู้สร้างผลงานให้แก่รัฐฉิน ด้วยเหตุนี้องค์จวินจึงเคารพนางมาก นางจะต้องไม่ตกเป็นสัตว์เลี้ยง และนางยังจำคำเตือนของซ่งชูอีได้ตลอดเวลาว่านางต้อง “เก็บซ่อนความรู้สึก” เพื่อปกป้องและดูแลตัวเองในวังหลัง
เดิมทีจื่อเฉานึกว่าซ่งชูอีให้นางเข้าวังแล้วต้องเสี่ยงในการทำสิ่งต่างๆ ทว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
มีเพียงการหลอกใช้ที่ไม่เสี่ยงอันตรายมากครั้งหนึ่ง ในทางกลับกันทำให้นางมีโอกาสได้เดินทางไกล พบเห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันในใต้หล้า และได้รับตำแหน่งที่สูงส่งหลังจากที่นางกลับมา…
อันที่จริงแล้วสำหรับซ่งชูอีนั้น ไม่ว่าจะหยิบยืมชื่อของสาวงามคนใดก็เหมือนกัน
หากบอกว่าหลอกใช้ สู้บอกว่าช่วยนางวางกลยุทธ์จะดีกว่า
ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหน้าตาให้นาง น้ำเสียงอ่อนโยน “เฉา ดูแลตัวเองให้ดี ข้าส่งเจ้าเข้าวัง เดิมทีก็ต้องการหลอกใช้เจ้า ทว่าก็อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดี”
“ท่านรีบส่งข้าเข้าวังฉิน เพราะกำลังปกป้องข้าเช่นนั้นหรือ?” จื่อเฉาถามเสียงเบา
ใช่ แต่ก็ไม่ใช่
ซ่งชูอีเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ปลอดภัย ทำได้เพียงยืมกำลังของผู้อื่นมาปกป้องตัวเองและคนที่อยู่ข้างกาย ฉวยโอกาสตอนที่เข้ามารัฐฉินถวายจื่อเฉาให้กับอิ๋งซื่อ ประการแรกเป็นเพราะวังหลังของฉินกงว่างเปล่า แม้ว่าจื่อเฉาวางแผนไม่เก่งทว่านางก็สามารถวางรากฐานในพระราชวังฉินได้เร็วหน่อย ได้รับความรักเก่าจากอิ๋งซื่อมาบ้าง บางทีอาจโชคดีหรือสามารถตั้งครรภ์รัชทายาทได้ ประการที่สองเพื่อตัดทอนความรับผิดชอบของนางเอง ประการที่สามเพื่อสามารถปกป้องชีวิตของจื่อเฉาได้ดียิ่งกว่า
เมื่อเห็นดวงตาที่คาดหวังของจื่อเฉา ซ่งชูอีไม่อธิบายอีก “อืม”
ครั้นนางให้คำตอบที่แน่วแน่ จื่อเฉาก็ยิ้มสดใส ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้านั้นงดงามจนทำให้รู้สึกหวั่นไหวล้ำลึก
“ข้ากินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็จะออกจากจวน นานๆ ทีเจ้าจะได้ออกจากวัง ก็ไปเล่นที่ลานด้านหลังเถิด ที่นั่นมีบ่อน้ำร้อน ให้เด็กรับใช้ปรนนิบัติเจ้าไปแช่น้ำร้อนก็ได้” ซ่งชูอีเอ่ย
จื่อเฉาเช็ดน้ำตา “ให้เฉาได้ปรนนิบัติท่านรับประทานอาหารเช้าเถิด…”
นี่คือคำขอที่น่าลำบากใจมาก จื่อเฉาเป็นผู้หญิงของอิ๋งซื่อ หากซ่งชูอีต้องการให้นางปรนนิบัติตอนกินข้าวจริงๆ แล้วแพร่งพรายออกไปก็จะกลายเป็นคำซุบซิบนินทา
“ไปเถิด ไปกินข้าวด้วยกัน” ซ่งชูอีเอ่ย
จื่อเฉาลุกขึ้นตามไป
หิมะข้างนอกหยุดตกแล้ว ทั้งลานกลายเป็นสีขาว ก้อนน้ำแข็งห้อยย้อยอยู่ที่ชายคา
ขณะที่ซ่งชูอีเดินเข้าไปยังห้องอาหาร เจ้าอี่โหลวกำลังกินอาหารเช้าอยู่กับไป๋เริ่น เงยหน้าขึ้นเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็ไม่ได้พูดอะไร
“คำนับท่านแม่ทัพเจ้า” จื่อเฉาค้อมตัวเล็กน้อย
เจ้าอี่โหลวตอบรับว่าอืมอย่างเฉยเมยและไม่กล่าวคำทักทายด้วยซ้ำ ในอดีตจื่อเฉามักจะนอนป่วยติดเตียงเป็นส่วนใหญ่ตอนที่ยังอยู่กับซ่งชูอี เจ้าอี่โหลวไม่เคยเห็นนางมาก่อนและไม่รู้สถานะปัจจุบันของนาง อีกอย่างต่อให้เขารู้ เขายังไม่มีความอดทนที่จะทักทายอิ๋งซื่อเลย แล้วเหตุใดต้องเกรงใจผู้หญิงของอิ๋งซื่อด้วย?
“ไม่ต้องสนใจเขา เขาก็เป็นเช่นนี้” ซ่งชูอีให้จื่อเฉานั่งลง สั่งให้คนนำชามและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด
อาหารเช้าเรียบง่ายมาก มีเพียงทังปิ่งและเครื่องเคียงสองอย่าง หลังจากซ่งชูอีล้างตาล้างตาด้วยความรวดเร็วแล้ว ก็กินเสียงดังซู้ดซ้าดไปสองชามใหญ่
จื่อเฉาไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ทว่าคนที่นางเฝ้าคิดถึงเช้าเย็นมาอยู่ตรงหน้า เห็นนางกินอย่างมีความสุขเช่นนี้ก็พลอยเจริญอาหารตามไปด้วย จึงกินไปหนึ่งชามเต็ม
หลังจากไป๋เริ่นกินเนื้อหมดไปหนึ่งหม้อ ในที่สุดก็มีเวลาว่างมาหาจื่อเฉาแล้วเดินไปรอบๆ นาง
“ไป๋เริ่นน้อย เจ้าตัวโตถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” จื่อเฉาลูบๆ หัวของมัน
ไป๋เริ่นหรี่ตา ท่าทางราวกับว่าเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก
ซ่งชูอีเช็ดปาก โยนผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะแล้วจ้องไป๋เริ่น “ไอ้สารเลว!”
จื่อเฉาหัวเราะเบาๆ มองนางกับเจ้าอี่โหลวเดินตามกันออกไปข้างนอก
ซ่งชูอีหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู หันมาพูดกับจื่อเฉา “บัดนี้เจ้าเป็นถึงฮูหยิน ข้าก็เพียงปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะสหาย มิได้มีพิธีรีตองมาก ขอเจ้าอย่าได้ถือสา”
จื่อเฉาลุกขึ้นเอ่ย “ท่านไปทำธุระเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
ซ่งชูอีสั่งให้หนิงยาอยู่เป็นเพื่อนจื่อเฉา แล้วก็รีบออกไปที่ว่าการ
หนิงยาพาจื่อเฉาไปชมดอกไม้ในป่าบ๊วย ไป๋เริ่นตามไปด้วยความเริงร่า
ทั้งสองคนเดินย่ำอยู่ในหิมะที่ทับถมกันหนาด้วยความยากลำบาก หนิงยาเอ่ยว่า “ปีนี้นายท่านบ่มสุราบ๊วยในป่าบ๊วย ยังไม่ได้เติมดอกบ๊วยลงไปทว่าสุราที่นายท่านบ่มนั้นรสชาติหาที่ใดเปรียบ ฮูหยินอยากกลับไปลองชิมหรือไม่?”
“อืม” มุมปากของจื่อเฉามีรอยยิ้ม เอ่ยถามว่า “สุขภาพของท่านไม่ใคร่ดี บัดนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
“ได้รับการรักษาจากท่านหมอเปี่ยนเชวี่ย บัดนี้หายแล้วเจ้าค่ะ สามารถกินทังปิ่งสองชามใหญ่เท่านี้ได้ทุกมื้อเลย” หนิงยายื่นมือออกมาทำท่าให้นางดู
จื่อเฉาอมยิ้ม
“ฮูหยินมาทาบทามพี่หมี่ไปเป็นนางสนมให้ฝ่าบาทหรือเจ้าคะ?” หนิงยาถาม
“ข้ามาหาท่าน” หากไม่ใช่เพราะมาที่จวนของซ่งชูอี นางก็จะไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “ท่านบอกว่าหมี่จีดูแลงานบ้านในจวนรึ เก่งมากจริงๆ”
หนิงยาพยักหน้าเอ่ย “ท่านดูคนเป็นเจ้าค่ะ! พี่หมี่เป็นชาวฉู่ มาจากตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับฮูหยิน รู้หนังสือมีมารยาท ทั้งยังเก่งการเดินหมาก นายท่านไม่ชอบคบค้ากับคนอื่น คนจะเข้าออกในจวนก็ปล่อยให้นางดูแล”
“หย่าก็คงจะโหยหาชีวิตเช่นนี้ด้วยกระมัง…” จื่อเฉาพึมพำ
จื๋อหย่าเป็นฝันร้ายของหนิงยา นางกัดริมฝีปาก “ท่านดีกับหย่ามาก ทั้งยังสอนให้นางรู้หนังสือ ตอนนี้คิดดูแล้วบางทีก็เพราะมีเจตนาเช่นนี้กระมัง…ทว่าหย่าหนีออกไปตอนที่อยู่ในรัฐเว่ย…แล้วเกิดเรื่อง แม้ว่าท่านจะช่วยนางกลับมาทว่าในใจก็โกรธนางมาก”
หนิงยาไม่รู้ว่าจื๋อหย่าหายไปไหนหลังจากนั้น นางเดาว่าคงถูกท่านส่งออกไปข้างนอก นางเคยกังวลเพราะเรื่องนี้อยู่นาน กลัวว่าตนจะถูกส่งออกไปด้วย
จื่อเฉาถอนหายใจเอ่ย “มิน่าเล่าท่านจึงไม่ยอมบอกข้าเกี่ยวกับนาง”
จื่อเฉารู้สึกว่าซ่งชูอีมิใช่คนใจแคบอะไร หากยังปล่อยวางไม่ได้จนถึงบัดนี้ เกรงว่าจื๋อหย่าคงไปทำอะไรให้โมโหหนักเอาเรื่อง ทว่าได้รู้ว่าจื๋อหย่าสบายดี นางก็ไม่ต้องการสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ชวนอารมณ์เสียเหล่านี้อีก
กลิ่นหอมเย็นจางๆ โชยมา จื่อเฉาเงยหน้าขึ้น ผืนดอกบ๊วยสีแดงขนาดใหญ่สะท้อนสู่สายตา และรอยยิ้มที่เร่าร้อนดุจเปลวเพลิงปรากฏขึ้นในดวงตาที่อ่อนโยนอยู่เสมอ
หนิงยาตะลึงงัน เอ่ยพึมพำ “ฮูหยินงามเหลือเกิน”